ข่าว
2แชมป์มวยโลกอนาถา-ไร้เงินเผาศพพ่อ

นายสมใจ โพธิ์ทอง บิดาของ "เจ้าเล็ก" รัตนชัย ส.วรพิน หรือ นายไชยา โพธิ์ทอง อดีตแชมป์โลกรุ่นแบนตัมเวต องค์กรมวยโลก (WBO) น้องชายแท้ๆ "เจ้าโบ้" รัตนพล ส.วรพิน อดีตแชมป์โลกมินิมั่มเวต สหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) ซึ่งป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ไร้เงินเยียวยา จนสองแชมป์โลกผู้เป็นลูกต้องออกมาวอนผู้ใจบุญ เมตตาผ่านสื่อไปเมื่อไม่กี่วันมานี้

ล่าสุด รัตนชัย แชมป์โลกผู้น้องเผยว่า ก่อนหน้านี้เพียงสามวัน แพทย์ผู้ดูแลทางโรงพยาบาล ลำสนธิ จ.ลพบุรี ให้พาพ่อกลับมารักษาตัวที่บ้าน และรอทำใจ เนื่องจากไม่สามารถกินอาหารได้แล้ว กระทั่งล่าสุดเมื่อเย็นวันที่ 26 ก.พ. ที่บ้านเลขที่ 2 ม. 8 ต.ห้วยบง จ.นครราชสีมา นายสมใจสิ้นลมอย่างสงบยังความเศร้าโศกให้กับลูกๆ ซึ่งรวมทั้งอดีตแชมป์โลกสองพี่น้องเป็นอย่างยิ่ง รัตนชัย อดีตแชมป์โลกเผยว่า ตอนนี้ต้องปรึกษากับพี่น้องก่อนว่า จะนำศพพ่อไปไว้วัดไหน แต่ละคนก็ยังทำอะไรกันไม่ถูก เรื่องเงินค่าทำศพก็ต้องพยายามรวบรวมกันในบรรดาพี่น้อง มีความคืบหน้าอย่างไรจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง"

สำหรับผู้มีจิตศรัทธา ใจบุญ หากมีความประสงค์ช่วยเหลือ ส่งเงินช่วยงานศพมาได้ที่ นายไชยา โพธิ์ทอง ธนาคารกรุงไทย บัญชีออมทรัพย์ เลขบัญชี 473-0040-678

ในหลวงทรง ทอดพระเนตรทัศนียภาพสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

เมื่อเวลา 16.22 น. วันที่ 27 ก.พ. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงจากที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อเสด็จฯทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถ พร้อมทอดพระเนตรทัศนียภาพสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ชั้น 7 สถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์ โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ ภายหลังจากสำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ฉบับที่ 62 ถึงพระอาการบวมของพระชานุ (เข่า) เมื่อ10 ก.พ.ที่ผ่านมา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระพักตร์แจ่มใส ฉลองพระองค์เชิ้ตแขนสั้นสีฟ้า พระสนับเพลาสีดำ ฉลองพระบาทสีดำ พระหัตถ์ขวาทรงจูงคุณทองแดงสุนัขทรงเลี้ยง โอกาสนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นพ.ดิเรก จุลชาต เป็นผู้ถวายการเข็นรถไฟฟ้าพระที่นั่งระหว่างเส้นทางเสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่ง ตลอดสองข้างทางระหว่างอาคารเฉลิมพระเกียรติไปจนถึงโรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์มีประชาชนที่ทราบข่าวการเสด็จฯ ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเนืองแน่น พร้อมเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้อง

กระทั่งเวลา 16.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ถึงยังโรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ ประทับลิฟต์เสด็จขึ้นไปยังชั้น 7 สถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์ พร้อมทอดพระเนตรทัศนียภาพสองฝั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างนั้นเสวยพระสุธารส ก่อนเสด็จฯ กลับยังที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ในเวลาต่อมา


จบลงด้วยดี อจ.นิติ ทำร้ายร่างกายสาวทอม

จากกรณีมีการแชร์คลิปวิดีโอ "เขาว่าเขา(ใหญ่) แต่ต่อยผู้หญิง" ในโลกออนไลน์กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ของผู้ชายคนหนึ่งกับสาวหล่อทะเลาะวิวาทกันเกี่ยวกับเรื่องการถอยรถ จนสุดท้ายเรื่องราวบานปลายเมื่อฝ่ายชายได้เข้าทำร้ายร่างกายด้วยการตบตี ชกต่อย และเตะ แถมยังมีการผลักหัวและตัวผู้หญิงอีกคนที่มาด้วยจนกระเด็น ซึ่งต่อมาฝ่ายผู้หญิงทราบชื่อว่า น.ส.อัญรัตน์ พันธุ์วิชัยวุฒิ หรือ “เตย” อายุ 27 ปี อาชีพค้าขายอะไหล่รถมอเตอร์ไซด์ทางอินเตอร์เน็ต เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สน.บุคคโล ให้ดำเนินคดีกับผู้ชายในคลิปทราบชื่อภายหลัง คือ นายเกษียร กมลชัยวานิช อายุ 48 ปี ซึ่งอ้างตัวเป็นอาจารย์สอนพิเศษวิชานิติศาสตร์ให้กับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง โดยระบุว่าเหตุเกิดบริเวณซอยรัชดา 6 แขวงบุคคโล เขตท่าพระ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 27 ก.พ. นายเกษียร กมลชัยวานิช อายุ 48 ปี อาจารย์สอนพิเศษวิชานิติศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งพร้อมด้วย น.ส.อัญรัตน์ พันธุ์วิชัยวุฒิ หรือ “เตย” อายุ 27 ปี อาชีพค้าขายอะไหล่รถมอเตอร์ไซด์ ได้เดินมาพบ พ.ต.อ. โชคชัย งามวงศ์ ผกก.สน.บุคคโล เพื่อพูดคุยไกล่เกลี่ย กันที่ สน.บุคคโล โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที พร้อมออกมาจากห้อง ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ทั้งคู่

นายเกษียร เผยว่า ที่มาในวันนี้เพราะอยากที่จะมาขอโทษ น.ส.อัญรัตน์ ต่อหน้า สื่อมวลชน และไม่ขอพูดถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยากให้มันผ่านๆไป และยอมรับการกระทำในวันนั้น ที่ทำไปด้วยอารมณ์ บันดานโทษะ และยอมรับว่า สิ่งที่ทำไปเป็นสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งในวันนี้ ตนต้องการมาหาข้อยุติกับคู่กรณี และก็ได้ถูกสังคมลงโทษไปแล้ว

ด้าน น.ส.อัญรัตน์ เปิดเผยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า ในส่วนตนก็ไม่ได้ติดใจเอาความตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และพร้อมจะถอนคดี ส่วนกรณีที่มีกระแสว่า ตนเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีจำนวน2หมื่นบาท เพื่อขอยอมความนั้น ขอยืนยันว่า ตนไม่ได้เรียกร้องใดๆทั้งสิ้นไม่ได้มีการนัดแนะกันลับหลัง ก่อนนี้ทั้งสองจะจับมือยุติข้อพิพาท และขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อกัน

เบื้องต้น พนักงานสอบสวนระบุว่า ในข้อหาใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท หากผู้เสียหายยอมความ จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการเปรียบเทียบปรับนายเกษียร ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายกันลงจาก สน.กลับไป

ป.ป.ช.อายัดทรัพย์ ‘พล.อ.เสถียร’ อดีตปลัดกห. รวยผิดปกติ

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.และนายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการ ป.ป.ช.ร่วมกันแถลงข่าวกรณี ป.ป.ช.มีมติให้อายัดทรัพย์สิน พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ในคดีร่ำรวยผิดปกติ เป็นเงินกว่า 65 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินฝาก 5 บัญชี ที่ดิน 9 แปลง และรถยนต์ 2 คัน โดยนายวิชา กล่าวว่า การสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลัง ป.ป.ช.ตรวจสอบพบสิ่งผิดปกติ คือมีเงินไหลเข้าบัญชีของคู่สมรส นางณัฐณิชาช์ และบุตรบุญธรรม น.ส.ณิชาพัฒน์ โดยเฉพาะระหว่างปี 2553-2554 ที่มีเงินไหลเข้าออกกว่า 100 ล้านบาท ซึ่ง ป.ป.ช.พิจารณาเห็นว่า จากฐานะของคู่สมรสและบุตรบุญธรรมของ พล.อ.เสถียร ไม่น่าจะมีเงินไหลเข้ามากขนาดนั้น จึงสรุปว่าน่าจะเป็นเงินที่มาจาก พล.อ.เสถียร

“จากการตรวจสอบเพิ่มเติมว่าเงินไหลออกไปทางไหน ก็พบตัวละครร่วมอีกคนก็คือนายสมบัติ จันทรวงศ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ที่ปรึกษาในการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาของ น.ส.ณิชาพัฒน์ ซึ่งพบว่ามีการนำเงินไปฝากไว้ในบัญชีของนายสมบัติถึงกว่า 20 ล้านบาท (ป.ป.ช.มีมติอายัดไว้กว่า 10 ล้านบาท) และจากการเรียกนายสมบัติมาสอบถามก็ได้รับข้อมูลว่า นางณัฐณิชาช์เป็นคนมาขอฝากไว้ โดยอ้างว่ามีปัญหากับทางครอบครัว ซึ่งนายสมบัติก็บอกว่าจะมาถอนเมื่อไรก็ได้ ลักษณะของอาจารย์ท่านนี้จึงเข้าข่ายว่าจะเป็นนอมินี” นายวิชากล่าว

ภายหลังจากที่คณะกรรมการป.ป.ช. ได้มีมติให้อายัดทรัพย์สินของพล.อ.เสถียร อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม เนื่องจากพบว่าร่ำรวยผิดปกติเป็นเงินกว่า 65 ล้านบาท พร้อมทั้งยังตรวจสอบพบว่ามีเงินไหลเข้าและออกบัญชีของนางณัฐณิชาช์ ภรรยา และ น.ส.ณิชาพัฒน์ บุตรบุญธรรม โดยเฉพาะระหว่างปี 2553-2554 กว่า 100 ล้านบาทนั้น ผู้สื่อข่าวได้พยายามโทรศัพท์ติดต่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับพล.อ.เสถียรหลายครั้งแล้ว แต่พล.อ.เสถียรก็ไม่รับสายโทรศัพท์แต่อย่างใด ขณะที่นางณัฐณิชาช์นั้นได้ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวถึงประเด็นดังกล่าว