ข่าว
นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียเตรียมประกาศเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 พฤษภาคม

27 มีนาคม 2568 เวลา 21:20 น. เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2568 กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี ของออสเตรเลียเตรียมประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเร็วๆ นี้ โดยสื่อท้องถิ่นรายงานว่าจะจัดขึ้นในวันที่ 3 พฤษภาคม

รัฐบาลแรงงานฝ่ายซ้ายของอัลบาเนซีใกล้จะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปีแล้ว และจะต้องจัดการเลือกตั้งภายในวันที่ 17 พฤษภาคมเป็นอย่างช้า

การสำรวจความคิดเห็นล่าสุดแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีคะแนนสูสีกับคู่แข่งฝ่ายอนุรักษนิยมซึ่งถูกโค่นล้มในปี 2022 หลังจากครองอำนาจมาเกือบ 10 ปี

ขณะที่การคาดเดาต่างๆ เพิ่มมากขึ้นในวันพฤหัสบดี อัลบาเนซีกล่าวว่าเขากำลังเตรียมที่จะประกาศการเลือกตั้งเร็วๆ นี้

สื่อหลายสำนัก รวมถึงสถานีโทรทัศน์แห่งชาติเอบีซี (ABC News) รายงานว่า อัลบาเนซีจะประกาศการเริ่มหาเสียงอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ โดยกำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 3 พฤษภาคม

รัฐบาลของชายวัย 62 ปีรายนี้เปิดเผยงบประมาณประจำปีเมื่อต้นสัปดาห์ โดยหาเสียงด้วยการลดหย่อนภาษีแบบกะทันหันและสิ่งจูงใจอื่นๆ อีกมากมาย

ปีเตอร์ ดัตตัน ผู้นำพรรคอนุรักษนิยมฝ่ายค้านวัย 54 ปี วิพากษ์วิจารณ์อัลบาเนซี โดยกล่าวหาว่าเขาเป็นผู้นำที่อ่อนแอ และทำให้เกิดเงินเฟ้อผ่านการใช้จ่ายของรัฐบาล

ขณะที่นโยบายหลักของดัตตันคือ แผนการสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดอุตสาหกรรม 7 เครื่องมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.78 ล้านล้านบาท) ซึ่งจะเป็นการชะลอการเติบโตของโครงการพลังงานหมุนเวียน

ปัญหาของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จะใช้พิจารณาเลือกรัฐบาลใหม่คือ ความกังวลด้านเศรษฐกิจและต้นทุนที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงภายใต้การปกครองของอัลบาเนซี จาก 7.8% ในปี 2022 เป็น 2.4% ในปี 2024 แต่ครัวเรือนจำนวนมากยังคงประสบปัญหาจากราคาที่เพิ่มสูงขึ้นของอาหาร, เชื้อเพลิง และพลังงานไฟฟ้า

ทั้งนี้ เมืองใหญ่ๆ อย่างซิดนีย์และเมลเบิร์นติดอันดับตลาดที่อยู่อาศัยที่ราคาเอื้อมถึงได้น้อยที่สุด 10 อันดับแรกของโลก ตามดัชนีความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยระหว่างประเทศของหน่วยงาน 'Demographia'.

กองทัพเมียนมาแถลงจำนวนผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหว เพิ่มขึ้นเป็น 144 ศพ นอกจากนี้มีผู้บาดเจ็บกว่า 732 ราย เมืองที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือมัณฑะเลย์ และกรุงเนปิดอว์

วันที่ 28 มีนาคม 2568 กองทัพเมียนมาแถลงว่า เหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.7 แมกนิจูดที่มีศูนย์กลางอยู่บริเวณเมืองสะกาย ทางภาคกลางของเมียนมา ทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง จำนวนผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหว เพิ่มขึ้นเป็น 144 ศพ โดยในจำนวนผู้เสียชีวิต 96 รายอยู่ในกรุงเนปิดอว์ 18 รายในสะกาย และ 30 รายในมัณฑะเลย์

ขณะที่ทีมกู้ภัยในเมืองมัณฑะเลย์คาดว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจพุ่งขึ้นสูงกว่านี้ เนื่องจากยังมีประชาชนอีกจำนวนมากติดอยู่ใต้ซากอาคารบ้านเรือนที่พังถล่มลงมา

แถลงการณ์ยังระบุว่า มีผู้บาดเจ็บจากแผ่นดินไหว 732 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในเมืองสะกาย และเนปิดอว์ ส่วนเมืองที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือสะกาย มัณฑะเลย์ และกรุงเนปิดอว์ ขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ยังคงอยู่ระหว่างการประเมินยอดผู้ได้รับผลกระทบเพิ่มเติม

สื่อท้องถิ่นของเมียนมาระบุว่า นับเป็นแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในเมียนมาตั้งแต่ปี 1946 และอาจเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในยุคปัจจุบัน โดยแผ่นดินไหวในปี 1946 มีขนาดประมาณ 7.6 ถึง 7.7 แมกนิจูด และเกิดขึ้นตามแนวรอยเลื่อนสะกายเช่นกัน ขณะที่สถานการณ์การเมืองและความมั่นคงในเมียนมายังคงซับซ้อน เนื่องจากประเทศอยู่ภายใต้ความวุ่นวายทางการเมืองนับตั้งแต่กองทัพเข้ายึดอำนาจในปี 2564 ทำให้การรับข้อมูลข่าวสารจากพื้นที่เป็นไปอย่างยากลำบาก

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลทหารเมียนมาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินใน 6 ภูมิภาค หลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง พร้อมกันนี้ได้ร้องขอความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากนานาชาติ

... ทางด้านองค์การอนามัยโลก ประกาศเปิดระบบบริหารจัดการภาวะฉุกเฉินเพื่อตอบสนองต่อเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมียนมา โดยเตรียมระดมเวชภัณฑ์จากศูนย์โลจิสติกส์ในนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ๆเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ

นางมาร์กาเร็ต แฮร์ริส โฆษกองค์การอนามัยโลก แถลงว่า กำลังประสานงานจากสำนักงานใหญ่ที่เจนีวา เนื่องจากเหตุการณ์นี้ถือเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ต่อชีวิตและสุขภาพของชาวเมียนมา โดยขณะนี้กำลังเตรียมส่งเวชภัณฑ์ โดยเฉพาะอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ อาทิ ยาที่จำเป็น และอุปกรณ์ยึดกระดูกภายนอก เพราะคาดว่าจะมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยจะอาศัยประสบการณ์จากเหตุแผ่นดินไหวในตุรกี-ซีเรียปี 2023 เป็นแนวทางในการจัดเตรียมความช่วยเหลือ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลจากพื้นที่เพื่อกำหนดจุดส่งความช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้รับแจ้งจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง เกี่ยวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมียนมา ว่าขณะนี้เกิดความเสียหายกว้างขวางในหลายพื้นที่ และอาจมีแผ่นดินไหวต่อเนื่อง (aftershock) ระดับ 6-7 ภายใน 2-3 วัน และระดับ 4 - 5 ภายใน 7 วันนี้

โดยระบุว่า ทางการเมียนมาได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ภาคสะกาย มัณฑะเลย์ มะก่วย พะโค กรุงเนปีดอว์ และรัฐฉานตะวันออกเฉียงเหนือ จึงขอให้คนไทยในเมียนมา เตรียมอุปกรณ์ยังชีพฉุกเฉินให้เพียงพอสำหรับ 3 วัน และมีเอกสารสำคัญ รวมถึงเงินสดติดตัวไว้ด้วย

ขณะนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีคนไทยในเมียนมาได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ขอให้คนไทยทุกคนในเมียนมาติดตามข่าวสารของสถานทูตฯ และทางการเมียนมาอย่างใกล้ชิด

โดยคนไทยที่ได้รับผลกระทบ สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ที่หมายเลข +95 9880916795 หรือ Facebook ของสถานเอกอัครราชทูตฯ

แผ่นดินไหวเขย่าเชียงใหม่ ตึกคอนโดสูงปูนกระเทาะ วัด-บ้านเสียหาย 7 อำเภอ 8 ตำบล...

ป้องกันจังหวัดเชียงใหม่ รายงานความเสียหาย หลังเกิดแผ่นดินไหว ตึกคอนโดสูงของเชียงใหม่ ปูนกระเทาะ ,วัด,บ้านเรือนราษฏร์ เสียหายฯ

วันที่ 28 มี.ค.2568 จากกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหว โดยกรมอุตุนิยมวิทยา รายงาน เมื่อเวลา 13.20 น.วันนี้เกิดเหตุแผ่นดินไหว ศูนย์กลางในประเทศเมียนมา ขนาด 8.2 ความลึก 10 ก.ม. ผลกระทบรู้สึกสั่นไหวในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย

โดยที่จ.เชียงใหม่ นายดุสิต พงศาพิพัฒน์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สถานการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13.20 เกิดแผ่นดินโหวบนบก พิกัด 21,682 N ลองจีจูด 96.6.12 E ขนาด 7.4 ความลึก 10 กิโลมตร บริเวณประเทศเมียนมา ทางทิศศตะวันตกเฉียงเหนือของ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ประมาณ 726 กิโลเมตร...

ทั้งนี้ ได้ติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าว พบว่า ประชาชนได้รับความรู้สึกสั่นไหว 25 อำเภอ และได้รับรายงานความเสียหาย จำนวน 7 อำเภอ 8 ตำบล บ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบ 5 หลัง อาคารสูง 3 แห่ง วัด เจดีย์ 2 แห่ง โรงเรียน 1 แห่ง และโรงเก็บพืชผลทางการเกษตร 1 แห่ง ทั้งนี้ ไม่ได้รับรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ผู้บาดเจ็บ ความเสียหาย สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่มี... ตัวเมืองเชียงใหม่ – อาคารจอดรถโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ผนังเกิดความเสียหาย ทั้งนี้ไม่กระทบโครงสร้างอาคาร– อาคารคอนโดศุภาลัย มอนเต้ 1 และ 2 ผนังเกิดความ เสียหาย โครงสร้างไม่ได้รับความเสียหาย – อาคารดวงตะวันคอนโดมิเนียม สูง 8 ชั้น โครงสร้างได้รับ ความเสียหาย (เทศบาลนครได้สั่งห้ามเข้าพื้นที่แล้ว)

– วัดสันทรายต้นกอก ต.สันผีเสื้อ อ.เมือง มีเจดีย์ร้าว มีเศษซากหลุด เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบ

– ส่วนต่อเติมบ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบ จำนวน 1 หลัง – บ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบ 2 หลัง – บ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบ 1 หลัง– หลังคาของอาคารหอพักรัชดาได้รับความเสียหายจาก

แทงค์น้ำตกจากเสา – กำแพงบ้านของน.ส.พิชญา ล้มประมาณ 10 ม. – โรงเก็บกระเทียมของนายศรัณย์ พังถล่มทับ

รถไถ– อาคารโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 มีรอยร้าวตามอาคารเรียนวัดน้ำล้อม ต.บวกค้าง อ.สันกำแพง วิหารมีรอยร้าว

การดำเนินการของจังหวัดเชียงใหม่

1. ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้สังการให้ ฝ่ายปกครอง โยธา สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธาธารณภัย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าสำรวจความเสียหาย ความมั่นคงแข็งแรง อาคาร บ้านเรือน

2. สาธารณสุขเข้าปฏิบัติทางการแพทย์ ไม่มีผู้บาดเจ็บ สูญหาย และเสียชีวิต

3. มีการบริหารสถานการณ์ในพื้นที่อ่อนไหว 3 จุด คือ 1) รพ.สวนดอก 2) รพ.นครพิงค์ เคลื่อนย้ายผู้คน ออกนอกอาคาร ขณะนี้เปิดให้คนเข้าอาคารตามปกติแล้ว 3) สนามบินเชียงใหม่ บริหารการใช้อาคาร ลดคนเข้าออก

ประมาณ 1 ชั่วโมง มีเที่ยวบินดีเลย์ 13 เที่ยวบิน ขณะนี้เปิดใช้อาคารผู้โดยสารตามปกติแล้ว

4. สำหรับอาคารสูงอื่นๆ มีการปฏิบัติตามแผนความปลอดภัย ขนย้ายคนออกนอกอาคาร ตามแผน

5.การป้องกันข่าวลือและสร้างความตระหนกในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้ไลฟ์สุดผ่านรายการเฉพาะกิจ ผ่าน FB live, PR Chiang Mai ของศนย์ประชาสัมพันธ์ร่วม (IC) เพื่อเป็นช่องทางให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ สอบถาม และแจ้งประชาสัมพันธ์ จนกว่าสถานการณ์คลี่คลาย...


กษัตริย์ชาร์ลส์เข้ารพ.อีก หลังมีอาการข้างเคียงจากการรักษามะเร็ง

พระราชวังบักกิงแฮมแถลงว่ากษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลช่วงสั้น ๆ หลังมีผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็ง กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการเมื่อวันพฤหัสบดี หลังจากมี “ผลข้างเคียงชั่วคราว” ที่เกี่ยวข้องกับการรักษามะเร็ง ตามแถลงการณ์ของพระราชวังบักกิงแฮม ส่งผลให้หมายกำหนดการของพระองค์ในช่วงบ่ายวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ถูกยกเลิก

อย่างไรก็ตาม สำนักพระราชวังระบุว่าหลังออกจากโรงพยาบาล ขณะนี้พระองค์ได้เสด็จกลับไปยังพระตำหนักคลาเรนซ์เฮาส์แล้ว และยังคงทรงงาน เช่น ตรวจเอกสารของรัฐ และโทรศัพท์จากห้องทรงงานของพระองค์ แต่กำหนดการของวันพรุ่งนี้ ที่จะเดินทางไปยังเมืองเบอร์มิงแฮมเพื่อทรงร่วมงาน 4 กิจกรรมสำคัญจะถูกเลื่อนออกไป เพื่อเป็นมาตรการป้องกันตามคำแนะนำของแพทย์ แต่สำนักพระราชวังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการข้างเคียงของพระองค์

ทั้งนี้ กษัตริย์ชาร์ลส์ พระชนมายุ 76 พรรษา กำลังเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งซึ่งไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นชนิดใด มานานกว่าหนึ่งปี และแม้ว่าพระองค์จะทรงงดเว้นจากภารกิจสาธารณะบางส่วน แต่ยังคงปฏิบัติพระราชกรณียกิจของรัฐ เช่น ตรวจสอบเอกสารราชการและพบปะกับนายกรัฐมนตรี อย่างต่อเนื่อง

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา พระองค์ทรงเดินทางเยือน ไอร์แลนด์เหนือ เปิดตัว เพลย์ลิสต์เพลงโปรด และเสด็จเข้าร่วม พิธีวันเครือจักรภพ ซึ่งปีที่แล้วพระองค์พลาดเข้าร่วมเนื่องจากการรักษาโรคมะเร็ง

เมื่อไม่นานมานี้ พระองค์ทรทางสำนักมีบทบาทสำคัญในเวทีการทูประดับโลก พระองค์ทรงเชิญประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้มาเยือนสหราชอาณาจักรเป็นครั้งที่สอง และยังทรงแสดง การสนับสนุนต่อประธานาธิบดียูเครน โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี หลังจากการพบปะกับทรัมป์ที่ทำเนียบขาวซึ่งไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

นอกจากนี้ พระองค์ยัง ทรงให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นแก่ มาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา ซึ่งประเทศของเขาตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากทรัมป์

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าพระองค์ยังทรงมีพลังและความมุ่งมั่น และการเลื่อนหมายกำหนดการเยือนวาติกันที่ประกาศไปเมื่อต้นสัปดาห์นี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ สุขภาพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ไม่ใช่ของพระองค์เอง โดยกำหนดการเสด็จเยือนอิตาลีส่วนที่เหลือยังคงดำเนินต่อไปตามแผน

แม้จะมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสุขภาพของพระองค์ในอนาคต แต่ พระราชวังยืนยันว่า กษัตริย์ชาร์ลส์คาดว่าจะกลับมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามปกติในสัปดาห์หน้า.

ที่มา : BBC


ทรัมป์จ่อเก็บภาษียานยนต์นำเข้าร้อยละ 25

วันศุกร์ ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568, อชิงตัน/โตเกียว (รอยเตอร์ส/บีบีซี นิวส์)-ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเริ่มเก็บภาษีนำเข้ายานยนต์จากต่างประเทศทั้งหมด ร้อยละ 25 เริ่ม2 เมษายนนี้ หลังจากขึ้นภาษีสินค้านำเข้าหลายอย่างตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคมแย้มจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน เพื่อให้บรรลุข้อตกลงกับไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ในจีนของติ๊กต็อก ในการขายกิจการแอปพลิเคชั่นแชร์วีดีโอสั้นยอดนิยม

ประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งหาเสียงไว้ว่า จะฟื้นฟูอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันพุธที่ 26 มี.ค. ว่า จะเก็บภาษีร้อยละ 25 กับยานยนต์นำเข้าจากต่างประเทศทุกคันที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ เริ่มจากอัตราฐานที่ร้อยละ 2.5 ซึ่งเป็นอัตราปัจจุบันไปจนถึงอัตราสูงสุดที่ร้อยละ 25 ภาษีใหม่นี้จะมีผลตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน เป็นวันเดียวกับที่สหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษีตอบโต้กับประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ จำนวนมาก และจะเริ่มเก็บในวันถัดไป เขาระบุด้วยว่า หากบริษัทต่างชาติมาผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ก็จะไม่ต้องเผชิญภาษา

คำประกาศใหม่ของทรัมป์ทำให้แวดวงยานยนต์สั่นสะเทือนไปทั่วโลก เพราะเกือบครึ่งหนึ่งของยานยนต์ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วเป็นยานยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่จากแคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี และแคนาดา นั่นทำให้นายกรัฐมนตรี มาร์ก คาร์นีย์ ของแคนาดา แถลงทันทีว่า ประกาศของผู้นำสหรัฐฯ เป็นการโจมตีแคนาดาโดยตรง เขาจะประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อหารือมาตรการตอบโต้ ด้านโฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นแถลงว่า เป็นเรื่องน่าเสียใจอย่างยิ่ง และขอให้รัฐบาลสหรัฐฯ ยกเว้นญี่ปุ่นจากมาตรการนี้ แต่รัฐบาลจะพิจารณาแนวทางทุกทางเลือกในการรับมือ แม้จะยังมีข้อข้องใจว่า ญี่ปุ่นจะถูกปฏิบัติเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ หรือไม่ หากพิจารณาจากระดับของการลงทุนในสหรัฐฯ

ในอีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีทรัมป์เผยว่า เขามีความตั้งใจที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน รวมถึงขยายเส้นตายในเดือนเมษายนออกไป เพื่อให้บรรลุข้อตกลงกับไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ในประเทศจีนของติ๊กต็อก ในการขายกิจการแอปพลิเคชั่นแชร์วีดีโอสั้นยอดนิยมที่มีชาวอเมริกันใช้งานราว 170 ล้านคน เขารับทราบว่า จีนมีบทบาทสำคัญในการทำให้ข้อตกลงเกิดขึ้น รวมถึงการอนุมัติให้ความเห็นชอบ

ไบต์แดนซ์ มีเวลาจนถึงวันที่ 5 เมษายนนี้ ในการหาผู้ซื้อกิจการติ๊กต็อกที่ไม่ใช่ชาวจีน มิฉะนั้นแล้วจะถูกห้ามใช้งานในสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ซึ่งคำสั่งที่เป็นกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่เลื่อนการบังคับใช้ออกไปตามคำสั่งของทรัมป์ สหรัฐฯ ผ่านกฎหมายเรื่องติ๊กต็อกนี้เนื่องจากความกังวลว่า ไบต์แดนซ์ ที่เป็นเจ้าของติ๊กต็อก อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีนและรัฐบาลจีนจะใช้ติ๊กต็อกในการใช้อิทธิพลครอบงำสหรัฐฯ และเก็บข้อมูลชาวอเมริกันไปใช้

นายกฯ แคนาดา “สะบั้นสัมพันธ์สหรัฐ” หลังทรัมป์เตรียมขึ้นภาษีนำเข้ารถ-อะไหล่

นายกฯ แคนาดา – บีบีซี รายงานวันที่ 28 มี.ค. ว่า นายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์ ผู้นำแคนาดา กล่าวว่าความสัมพันธ์เก่าแก่ระหว่างแคนาดากับสหรัฐอเมริกาซึ่งมีพื้นฐานมาจากการบูรณาการทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้ง ความมั่นคงที่แน่นแฟ้น และความร่วมมือทางทหารนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว

นายคาร์นีย์กล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่าชาวแคนาดาจะต้องคิดทบทวนใหม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศเมื่อเผชิญกับมาตรการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ

และว่าแคนาดาจะตอบโต้ด้วยภาษีนำเข้าที่จะ “ส่งผลกระทบสูงสุด” ต่อสหรัฐ ภายหลังนายทรัมป์ประกาศเมื่อวันพุธที่ 26 มี.ค. ว่าจะขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าและชิ้นส่วนรถยนต์ที่ร้อยละ 25 พร้อมย้ำว่าเป็นนโยบายขึ้นภาษีแบบถาวร

นายคาร์นีย์เรียกข้อตกลงผลิตภัณฑ์ยานยนต์ระหว่างแคนาดาและสหรัฐฉบับดั้งเดิมที่ลงนามในปี 2508 ว่าเป็นข้อตกลงที่สำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ของทั้งสองประเทศ แต่ข้อตกลงนี้สิ้นสุดลงแล้วจากผลของแผนขึ้นภาษีรถยนต์

แคนาดาจำเป็นต้องสร้างเศรษฐกิจที่ชาวแคนาดาสามารถควบคุมได้ นั่นรวมถึงการคิดทบทวนความสัมพันธ์ทางการค้ากับพันธมิตรอื่นๆ ด้วย และต้องรอดูว่าชาวแคนาดาจะมีความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งกับสหรัฐต่อไปได้หรือไม่

ทั้งนี้ สหรัฐกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าของแคนาดาบางส่วนที่อัตราร้อยละ 25 ร่วมกับภาษีนำเข้าอลูมิเนียมและเหล็กทั้งหมดร้อยละ 25

ขณะที่แคนาดาตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐคิดเป็นมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือราว 1.4 ล้านล้านบาท ส่วนภาษีนำเข้ารถยนต์ใหม่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย.นี้ และภาษีชิ้นส่วนรถยนต์จะเริ่มเรียกเก็บในเดือนพ.ค. หรือหลังจากนั้น...