Reuters : นาซาเผยภาพถ่ายดวงจันทร์รูปใหม่ พบหลุมกว้างราว 10 เมตร ที่เกิดจากยานลูนา-25 ของรัสเซีย ตกกระแทกขั้วใต้ดวงจันทร์ หลังเกิดปัญหาระหว่างเตรียมตัวลงจอด ดับฝันการหวนกลับมาส่งยานอวกาศไปดวงจันทร์ของรัสเซียในรอบ 47 ปี
เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2566 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซา ได้เผยแพร่ภาพถ่ายพื้นผิวดวงจันทร์ พบมีหลุมขนาดกว้าง 10 เมตร เกิดขึ้น โดยเกิดจากการที่ยานลูนา-25 (Luna-25) ของรัสเซียตกกระแทกผิวดวงจันทร์ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2566 ขณะกำลังเตรียมตัวลงจอดบริเวณขั้วใต้ดวงจันทร์
ภารกิจ “ลูนา-25” เป็นภารกิจส่งยานอวกาศไปลงจอดขั้วใต้ดวงจันทร์ของรัสเซีย นับเป็นภารกิจส่งยานอวกาศไปลงดวงจันทร์ครั้งแรกของรัสเซียในรอบ 47 ปี หลังจากได้ส่ง ยานลูนา-24 (Luna-24) ไปลงจอดบนดวงจันทร์ เมื่อปี 2519 หรือตั้งแต่สมัยอดีตสหภาพโซเวียต
ภาพถ่ายหลุมกว้าง 10 เมตร บนดวงจันทร์ ถูกถ่ายโดยดาวเทียมโคจรสำรวจดวงจันทร์ (Lunar Reconnaissance Orbiter - LRO) ขององค์การนาซา ซึ่งหลุมดังกล่าวเกิดขึ้นบริเวณเดียวกับที่ยานลูนา-25 พุ่งชนดวงจันทร์ ทำให้นาซาสรุปว่าหลุมนี้เป็นผลกระทบมาจากการที่ยานลูนา-25 ปฏิบัติภารกิจล้มเหลว
ทั้งนี้ การที่รัสเซียสูญเสียยานลูนา-25 ถือเป็นการตอกย้ำถึงความถดถอยด้านอวกาศของประเทศ รัสเซียเป็นอย่างมาก หลังจากที่ก่อนหน้านี้สหภาพโซเวียตเคยยิ่งใหญ่จนสามารถส่งดาวเทียมดวงแรกของโลก สปุตนิก 1 (Sputnik 1) เข้าสู่วงโคจรโลกได้สำเร็จ ทั้งยังเป็นชาติแรกที่ส่งมนุษย์เดินทางไปยังอวกาศ
รัสเซียผิดหวัง ยานสำรวจดวงจันทร์ ลูนา-25 (Luna-25) ชนกระแทกผิวดวงจันทร์ไปเรียบร้อย หลังก่อนหน้า ยานเกิดปัญหา ไม่สามารถควบคุมได้ จนถือเป็นการดับฝันภารกิจส่งยานสำรวจของรัสเซียไปลงจอดดวงจันทร์เป็นครั้งแรกในรอบ 47 ปี
สำนักงานอวกาศแห่งชาติรัสเซีย “รอสคอสมอส” ( Roskosmos) ออกแถลงการณ์เมื่อ 21 สิงหาคม 2566 ว่า ได้ขาดการติดต่อกับยานสำรวจลูนา-25 โดยยานสำรวจได้ชนกับผิวดวงจันทร์ไปแล้ว เพียงไม่นานหลังจากก่อนหน้านี้ รอสคอสมอสเพิ่งแจ้งข่าวว่า ยานลูนา-25 เจอสถานการณ์ผิดปกติ เกิดปัญหาขึ้น และทีมผู้เชี่ยวชาญกำลังวิเคราะห์สถานการณ์
ก่อนหน้านี้ สำนักงานอวกาศแห่งชาติรัสเซียได้กำหนดให้ยานลูนา-25 ลงจอดบริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์ ในวันที่ 21 สิงหาคม 2566 หลังจากส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศเมื่อ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา
เมื่อเวลา 06.10 น. ของวันที่ 11 สิงหาคม ตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นการหวนกลับมาส่งยานสำรวจไปยังดวงจันทร์ของรัสเซีย เป็นครั้งแรกในรอบ 47 ปี นับตั้งแต่อดีตสหภาพโซเวียต ได้ส่งยานลูนา-24 ไปยังดวงจันทร์ เมื่อปี 2519 และยานได้นำตัวอย่างหินจากดวงจันทร์กลับมาได้ 170 กรัม
อย่างไรก็ตาม การส่งยานลูนา-25 เพื่อจะไปลงจอดที่ขั้วใต้ของดวงจันทร์ของรัสเซีย ซึ่งตามกำหนดการเดิมจะให้ลงจอดวันที่ 21 สิงหาคมนั้น ถือว่าจะเป็นการแซงหน้า ยาน “จันทรายาน 3” ของอินเดีย ที่มีกำหนดจะลงจอดบริเวณขั้วใต้ดวงจันทร์ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 เพราะหากอินเดียทำสำเร็จ จะถือเป็นชาติแรกของโลกที่ส่งยานสำรวจไปลงจอดขั้วใต้ของดวงจันทร์
Cr ภาพปก:@Roskosmos
ที่มา : Dailymail
nextshark.com : ตำรวจรวบตัวกระบวนการโจรกรรมที่เล็งเป้าหมายไปที่ร้านขายเครื่องประดับมีค่าของชาวเอเชียในหลายรัฐ ระหว่างปี 2565-2566 มีทรัพย์สินสูญหายไม่ต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ
ตำรวจสหรัฐแถลงการจับกุมผู้ต้องสงสัยจำนวน 16 คนที่เกี่ยวข้องกับคดีปล้นชิงทรัพย์จากร้านขายเครื่องเพชรและเครื่องประดับมีค่าในรัฐฟลอริดา, นิวเจอร์ซีย์, เพนซิลเวเนีย และเวอร์จิเนีย
ระหว่างเดือน ม.ค.65-ม.ค.66 โดยแก๊งโจรเหล่านี้มีฐานสั่งการหลักอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี มีการประเมินว่า แก๊งอาชญากรปล้นเครื่องเพชรกลุ่มนี้ได้ขโมยสินค้าและทรัพย์สินของทางร้านไปมากกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 35 ล้านบาท) นอกจากนี้ยังมีสมาชิกในกลุ่มบางคนที่ขโมยรถยนต์ไปด้วย
ขณะนี้ผู้ต้องสงสัยทั้ง 16 คนอยู่ในความควบคุมของตำรวจ ทั้งหมดโดนตั้งข้อหาอาชญากรรมเกี่ยวกับการปล้นชิงทรัพย์ รวมทั้งข้อหาเพิ่มเติมด้านการโจรกรรมรถยนต์และฟอกเงิน ตลอดจนใช้อาวุธปืนในการก่ออาชญากรรม
กระนั้นก็เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งที่โจรแก๊งนี้เล็งเป้าหมายไปที่ร้านค้าที่มีชาวเอเชียเป็นเจ้าของ แต่กลับไม่มีการตั้งข้อหาการก่ออาชญากรรมด้วยความเกลียดชัง ซึ่งทางทีมอัยการรัฐชี้แจงว่า เหตุที่ร้านของชาวเอเชียเป็นเป้าหมายก็เพราะโจรเหล่านี้เชื่อว่าเป็นร้านค้าที่จำหน่ายทองบางประเภทซึ่งขายต่อได้ง่ายกว่าร้านของคนเชื้อชาติอื่น
กิจการและที่พักอาศัยของชาวเอเชียในสหรัฐ กลายเป็นเป้าหมายในการบุกปล้นชิงทรัพย์ของมิจฉาชีพมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เช่นในสัปดาห์นี้ ตำรวจเมืองซีแอตเทิลต้องออกประกาศเตือนประชาชนให้ระวังแก๊งโจรวัยรุ่นพร้อมอาวุธที่ออกปล้นทรัพย์ตามชุมชนต่างๆ โดยเล็งเป้าหมายไปที่บ้านของชาวเอเชียหรือชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย
เมื่อวันที่ 1 กันยายน ภายหลังจากที่ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชหัตถเลขาพระราชทานอภัยลดโทษ ทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี ด้วยเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อถูกดำเนินคดีและศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกดังกล่าวด้วยความเคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษาขณะนี้อายุมาก มีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยต้องเข้ารักษาพยาบาลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั้น
สำนักข่าวต่างประเทศ ต่างรายงานข่าวกรณีพระราชทานอภัยลดโทษจำนวนมาก โดยรอยเตอร์ รายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชหัตถเลขาพระราชทานอภัยลดโทษนายทักษิณ จากจำคุก 8 ปี เหลือ 1 ปี โดยได้ประกาศผ่านราชกิจจานุเบกษา โดยในเอกสารได้ระบุว่า ทักษิณ ได้ยอมรับในการกระทำ และมีความสำนึกผิด รวมทั้งมีการบันทึกว่า อดีตนายกฯ ไทยนั้นมีอาการป่วย
ขณะที่ แชนแนล นิวส์ เอเชีย รายงานว่า ทักษิณ ได้เดินทางกลับประเทศไทยด้วยเครื่องบินส่วนตัว เมื่อสัปดาห์ที่แล้วๆ หลังจากใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมากว่า 15 ปี และถูกนำตัวเข้าเรือนจำเพื่อรับโทษ 8 ปี ซึ่งในคืนแรก ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากการเจ็บหน้าอกและความดันโลหิตสูง รวมทั้งได้ระบุถึงเนื้อหาในราชกิจจานุเบกษาเช่นกัน
เช่นเดียวกับ ซีเอ็นเอ็น ที่รายงานข่าวพระราชทานอภัยลดโทษทักษิณ ชินวัตร เช่นกัน โดยได้รายงานเพิ่มเติมว่าอย่างไรก็ตามไม่เป็นที่แน่ชัดว่าได้ยื่นขอเมื่อใด แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีการรับสนองพระบรมราชโองการโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่งนายกฯ อดีตผบ.ทบ.ที่โค่นล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ของน้องสาวนายทักษิณ ชินวัตร
ด้านเอพี รายงานข่าวดังกล่าว พร้อมย้อนประวัติว่า ทักษิณ ชินวัตร ถูกรัฐประหารเมื่อปี 2549 และถูกกล่าวหาว่าทุจริต ใช้อำนาจโดยมิชอบ โดยออกจากประเทศไทยไปเมื่อ 2551 และต้องเผชิญกับคำกล่าวหาว่าเขาครอบงำทางการเมือง
โดยเว็บไชต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชหัตถเลขาพระราชทานอภัยลดโทษ ตามที่ ทักษิณ ชินวัตร ได้ยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา จำนวน 3 คดีคดีที่ 1 คดีหมายเลขแดง ที่ อม.4/2551 ความผิดต่อหน้าที่ราชการ กำหนดโทษจำคุก 3 ปี คดีที่ 2 คดีหมายเลขแดง ที่ อม.10/2552 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กำหนดโทษจำคุก 2 ปี ซึ่งคดีที่ 1 กับคดีที่ 2 นับโทษซ้อนกันรวมกำหนดโทษจำคุก 3 ปี และคดีที่ 3 คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 5/2551 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมกำหนดโทษจำคุก 5 ปี รวมกำหนดโทษจำคุก 8 ปี รับโทษมาแล้ว 10 วัน เหลือโทษจำคุก 7 ปี 11 เดือน 20 วัน อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
ความว่า เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อถูกดำเนินคดีและศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกดังกล่าวด้วยความเคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษาขณะนี้อายุมาก มีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยต้องเข้ารักษาพยาบาลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั้น
ซึ่งความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว จึงพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้เหลือโทษจำคุกต่อไป อีก 1 ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษาเพื่อจะได้ใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ช่วยเหลือและทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ สังคม และประชาชน สืบไป
(นอกจากนี้ ยังมี บีบีซี และ อัลจาซีร่า ที่ได้รายงานข่าวเช่นเดียวกัน)
วันที่ 1 กันยายน 2566: สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า หน่วยงานสภาพอากาศของญี่ปุ่นได้เผยเมื่อวันที่ 1 กันยายนว่า ฤดูร้อนปีนี้ของประเทศญี่ปุ่นได้ทำสถิติเป็นฤดูร้อนที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกมาตั้งแต่ปี 1898 เช่นเดียวกับประเทศออสเตรเลียและอินเดียที่มีการบันทึกสถิติอากาศร้อนที่สุดในรอบกว่า 100 ปี
หน่วยงานสภาพอากาศญี่ปุ่นระบุในแถลงการณ์ว่า “อุณหภูมิเฉลี่ยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ที่สามารถตรวจวัดได้ในพื้นที่ 15 จุด ได้เพิ่มสูงขึ้น 1.76 องศาเซลเซียส แซงหน้าอุณหภูมิที่วัดได้ในปี 2010 ที่ร้อนขึ้น 1.08 องศาเซลเซียสซึ่งเป็นสถิติเดิมของอุณหภูมิสูงที่สุดตั้งแต่มีการเริ่มบันทึกมาในปี 1898 และเป็นอุณหภูมิสูงที่สุดในช่วงฤดูร้อน”
ตั้งแต่เดือนมิถุนายนไปจนถึงเดือนสิงหาคม ทางหน่วยงานยังได้ตรวจจับอุณหภูมิเฉลี่ยช่วงฤดูร้อนที่สูงขึ้นอย่างมากในภูมิภาคตอนเหนือ ตะวันออก และตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้น ฤดูร้อนของญี่ปุ่นในปีนี้นอกจากจะทุบสถิติอุณหภูมิสูงที่สุดแล้ว แต่ยังทุบสถิติอุณหภูมิต่ำสุดที่สูงที่สุดตั้งแต่มีการบันทึกมาเช่นกัน
ในหลายพื้นที่ของญี่ปุ่น อาทิ เมืองอิโตอิกาวะ ในจังหวัดนีงาตะ ที่ตรวจจับอุณหภูมิต่ำสุดได้ที่ 31.4 องศาเซลเซียสเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ถือเป็นอุณหภูมิต่ำสุดของวันที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
และเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยช่วงฤดูร้อนที่สูงเป็นพิเศษ เช่นปี 2010, 2013, 2018 และ 2022 แล้ว จำนวนวันที่มีอุณหภูมิร้อนจัดได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนเป็นต้นมา จนมีจำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัดมากที่สุดตั้งแต่ปี 2010
ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่ญี่ปุ่นที่เผชิญกับอากาศที่ร้อนขึ้น ฤดูหนาวปีนี้ของออสเตรเลียยังทำสถิติเป็นฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดตั้งแต่มีการบันทึกสถิติเมื่อปี 1910 ตามรายงานของสำนักอุตุนิยมวิทยาออสเตรเลีย นายไซมอน เกรนเจอร์ นักอุตุนิยมวิทยาอาวุโสให้ข้อมูลว่า อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงฤดูหนาวของประเทศออสเตรเลียตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมนั้นอยู่ที่ 16.75 องศาเซลเซียส ทุบสถิติเดิมที่มีการบันทึกไว้ในปี 1996 ซึ่งอยู่ที่ 16.68 องศาเซลเซียส
“วอลเลย์บอลหญิง” ทีมชาติไทย คว้าชัยเหนือ มองโกเลีย สามเซตรวด ทะลุผ่านเข้าสู่รอบสอง ไปพบกับ เกาหลีใต้ ในศึก ชิงแชมป์เอเชีย 2023
การแข่งขัน “วอลเลย์บอลหญิง” รายการ ชิงแชมป์เอเชีย 2023 (Asian Women’s Volleyball Championship 2023) ที่สนามชาติชายฮอลล์ จังหวัดที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 66 ที่ผ่านมา นัดที่ 2 รอบแรก กลุ่ม A ระหว่าง “วอลเลย์บอลหญิง” ทีมชาติไทย ทีมอันดับ 16 ของโลก พบ ทีมชาติมองโกเลีย ทีมอันดับ 68 ของโลก
ก่อนพบกันคู่นี้ “วอลเลย์บอลหญิง” ทีมชาติไทย ผ่านผลงาน นัดแรก กลุ่ม A ประเดิมชนะ ออสเตรเลีย 3-0 เซต มี 3 คะแนน รั้งจ่าฝูงของกลุ่ม ส่วนทีมชาติมองโกเลีย ประเดิมพ่าย ออสเตรเลีย 0-3 เซต ยังไม่มีคะแนน รั้งอันดับ 3 ของกลุ่ม
สำหรับวันนี้ ทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทีมของ โค้ชด่วน ดนัย ศรีวัชรเมธากุล ส่งผู้เล่น 6 คนแรก ประกอบไปด้วย หัตยา บำรุงสุข, พรพรรณ เกิดปราชญ์, อัจฉราพร คงยศ, พิมพิชยา ก๊กรัมย์, วิภาวี ศรีทอง โดยมีลิเบอร์โร่ ปิยะนุช แป้นน้อย
ผลปรากฎว่า ทีมชาติไทย เอาชนะ ทีมชาติมองโกเลีย 3-0 เซต 25-12 , 25-7 และ 25-11
อย่างไรก็ตาม “วอลเลย์บอลหญิง” ทีมชาติไทย ชนะรวด 2 นัด มี 6 คะแนน จบอันดับแชมป์กลุ่ม A โดยจะเข้าไปพบกับ ทีมชาติเกาหลีใต้ ทีมอันดับ 2 จากกลุ่ม C
ส่องอันดับโลกล่าสุด “วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย” หลังไล่ทุบ “วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติมองโกเลีย” 3-0 เซต ในศึก “วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์เอเชีย 2023”
วันที่ 1 ก.ย. 66 ความเคลื่อนไหวหลังจากที่ “ตบลูกยางสาว” วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ภายใต้การนำทีม “โค้ชด่วน” ดนัย ศรีวัชรเมธากุล นำทีม เอาชนะ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติมองโกเลีย 3-0 เซต ด้วยคะแนน 25-12, 25-7, 25-11 ในศึก วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์เอเชีย 2023 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอ นัดสอง ที่เพิ่งจบลงไป
ทั้งนี้ก่อนเกมดังกล่าว “ตบลูกยางสาว” วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย อยู่ในอันดับที่ 16 ของโลก มี 180.51 คะแนน และหลังจากเกมที่เอาชนะ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติมองโกเลีย ในครั้งนี้ ทำให้ล่าสุดลูกทีมของ “โค้ชด่วน” ดนัย ศรีวัชรเมธากุล ขยับขึ้นมาอันดับที่ 15 ของโลก มีเพิ่มเป็น 183.24 คะแนน