เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 9 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุม ครม.ว่าวันนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากดูแลมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางให้ดี และช่วงบ่ายวันนี้จะมีการประชุม เพื่อพูดคุยกับชาวสวนยางอยู่แล้ว เมื่ออยู่ในห้องประชุมเดียวกันก็สามารถเสนอความต้องการได้และหากจำเป็นต้องลงพื้นที่ก็จะลง
"ที่มีบางส่วนเรียกร้องขอ 80 บาทต่อกิโลกรัมนั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอน ทำยาก คิดได้แต่ให้ไม่ได้หรอก ถ้าให้ได้ผมให้ไปนานแล้ว ผมให้ได้แค่ 60 บาท ขอยืนยันที่ 60 บาทก่อน ขณะนี้ราคายางแผ่นรมควันขึ้นมา 3 วันติดต่อกันแล้วที่ 52 บาท เพราะฉะนั้นอีก 8 บาท ก็จะทำทุกมาตการ และคิดว่า น่าจะทำได้ภายในสิ้นปีนี้ ตอนนี้มีความเข้าใจที่ดีต่อกัน " นายอำนวย กล่าว
นายอำนวย กล่าวด้วยว่า ขณะนี้มาตรการในการช่วยเหลือชาวสวนยางออกไปหมดแล้ว ที่เข้าครม.วันนี้เพียงแค่แก้ไขนิดหน่อย คือเร่งให้เร็วขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม. ได้หารือและอนุมัติมาตรการอุดหนุนในส่วนน้ำยางข้น ที่จะใช้งบประมาณ 1 หมื่นล้านบาท วันนี้ขั้นตอนทุกอย่างทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และธนาคารต่างๆ ได้จบสิ้นแล้ว หน่วยปฏิบัติสามารถดำเนินการได้ทันที
เมื่อถามว่า จากนี้ไปใช้เวลาอีกแค่ไหนถึงจะเห็นราคายางพาราสูงขึ้น รมช.เกษตรฯ กล่าวว่า ตนนับเป็นสัปดาห์ เป็นวันเลย ตอนนี้ตนเร่งทุกวัน ทุกชั่วโมงเลย อยากให้ขึ้น ราคายางพาราในตลาดเพื่อนบ้านเราลดลงยิ่งกว่านี้อีก ซึ่งตนคิดว่า ชาวสวนยางรู้ดีว่าราคาคงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว
"ถ้าสถานการณ์เอื้อเมื่อไหร่ ผมจะพาเขาทะยานขึ้นได้แน่ แต่ถ้าบรรยากาศมันไปไม่ได้ ก็ต้องเข้าใจกัน เพราะนี่ก็ถือว่าดีที่สุดที่เราจะทำได้แล้ว และมีการพูดคุยกันแล้ว ทุกคนเข้าใจกันดี และบางคนยังให้กำลังใจผมด้วยซ้ำ " นายอำนวย กล่าว.
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยี่ยมหลานสาวฝาแฝดเอมิ-นามิ ของนางพินทองทา คุณากรวงศ์ ที่โรงพยาบาลพระราม 9 หลังเดินทางกลับ จ.เชียงราย
ขณะเดียวกันนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายคนโตของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ภาพน.ส.ยิ่งลักษณ์ ขณะมาเยี่ยมหลานแฝดผ่านอินสตราแกรมส่วนตัวพร้อมข้อความว่า “ วันนี้โชคดีมาเยี่ยมหลานเจอ พณ. อดีตยายยกหลานพอดี ”
ด้านน.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็กของพ.ต.ท.ทักษิณได้โพสต์ภาพน.ส.ยิ่งลักษณ์ อุ้มหลานแฝดผ่านอินสตราแกรมส่วนตัวเช่นกัน โดยระบุข้อความว่า“ยายปูมาอุ้มหลานค่ะ”
อุทธรณ์ยืนจำคุก 12 เดือน ไม่รอการลงโทษ "อริสมันต์" ฐานหมิ่นประมาทปราศรัยกล่าวหา "อภิสิทธิ์" กู้เงินมาเพื่อทุจริตคดโกง ยื้อคำร้องฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ "ทักษิณ" และสั่งทหารฆ่าประชาชน ขณะที่ทนายความเตรียมยื่นขอปล่อยชั่วคราว ต่อมาเย็นวันเดียวกัน ศาลได้อนุญาตให้ประกันตัวออกไปได้ โดยทนายได้วางหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 9 ธ.ค. ที่ห้องพิจารณา 604 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.4177/2552 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำ นปช. เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา กรณีเมื่อวันที่ 11 ต.ค.52 และวันที่ 17 ต.ค.52 จำเลยปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และหน้าทำเนียบรัฐบาลถ่ายทอดสดผ่านช่องพีเพิล แชนแนล กล่าวหาโจทก์ทำนองว่าการบริหารงานรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ กู้ยืมเงินมาเพื่อทุจริตคดโกงโดยการหยิบยกเรื่องสถาบันมากล่าวอ้าง และกล่าวหาว่าโจทก์เป็นผู้หน่วงเหนี่ยวคำร้องฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้ล่าช้า รวมถึงสั่งทหารฆ่าประชาชนปล้นอำนาจจากประชาชน และไม่ดำเนินการตรวจสอบการทุจริตในโครงการต่างๆ การปราศรัยของจำเลยล้วนเป็นเท็จ ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 3 ธ.ค.55 ให้จำคุกจำเลยฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน แต่ด้วยเหตุมีการกล่าวพาดพิงสถาบันจึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ และให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์มติชน และหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณาต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่าสาระสำคัญที่จำเลยพูดปราศรัยมิใช่เป็นการแสดงอุดมการณ์ทางการเมืองแต่จำเลยกล่าวปราศรัยสรุปว่าโจทก์และรัฐบาลของโจทก์มีเรื่องทุจริต ซึ่งเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตและการเมืองเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประชาชน ประเทศชาติและบ้านเมืองจึงมิใช่แต่เพียงการนำเอาถ้อยคำที่ดุเด็ดเผ็ดมันมาพูดปราศรัยโจมตีฝ่ายตรงข้ามตามที่จำเลยกล่าวอ้างข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น สำหรับประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและให้รอการลงโทษนั้นเห็นว่าจำเลยเป็น ส.ส. จะต้องมีความสำนึกและทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติบ้านเมือง มิใช่กล่าวปราศรัยโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยถ้อยคำที่ดุเด็ดเผ็ดร้อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ที่ศาลชั้นต้นไม่รอการลงโทษนั้นศาลอุทธรณ์เห็นว่าเหมาะสมแล้ว พิพากษายืน
ด้านนายธนเดช พ่วงพูล ทนายความนายอริสมันต์ เปิดเผยว่า ศาลชั้นต้นได้วางหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวเป็นเงิน 2 แสนบาท และในวันนี้จะเพิ่มเงินประกันเป็นเงินสดอีก 3 แสนบาท รวมหลักทรัพย์เงินสด 5 แสนบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างฎีกาสู้คดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล.
ขณะที่นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์เฟซบุ๊คแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ "คู่ความ" ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก แต่ "คู่ความ" จะฎีกาต่อศาลฎีกาได้ ก็ต่อเมื่อผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ อนุญาตให้ฎีกา หรืออัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ซึ่งตามรูปคดีแล้ว ไม่น่าจะมีผู้พิพากษาท่านใดอนุญาตให้ฎีกา ส่วนอัยการสูงสุดไม่อาจคาดหมายได้
"ถ้าไม่มีการอนุญาตหรือรับรองให้ฎีกา จำเลยก็ต้องถูกจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คือ 12 เดือน"นายชูชาติระบุ
"ครม.บิ๊กตู่" จ่อเก็บภาษีรร.กวดวิชา ด้านนายกฯสมาคมรร.กวดวิชาออกโรงต้าน ฉะต้นเรื่องมาจาก "ป.ป.ช." ลั่นอย่าเลือกปฏิบัติ ถ้าจะเก็บก็ต้องเก็บให้หมด โดยเฉพาะรร.กวดวิชาเถื่อน ที่สอนภาษา-สอนคอมพิวเตอร์-สอนดนตรี-สอนเสริมสวย-สอนขับรถยนต์ เพราะอยู่นอกระบบ
ในเรื่องนี้ นายอนุสรณ์ ศิวะกุล นายกสมาคมผู้บริหารและครูโรงเรียนกวดวิชา และ CEO โรงเรียนกวดวิชาวรรณสรณ์ (เคมี อาจารย์อุ๊) ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว “เดลินิวส์ออนไลน์” ในประเด็นการจะจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาว่า แนวคิดที่จะจัดเก็บภาษีโรงเรียนสอนกวดวิชานั้น เริ่มเกิดขึ้นจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ตั้งแต่สมัยรัฐบาลที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจาก ป.ป.ช.มองว่าโรงเรียนสอนกวดวิชาเป็นเรื่องเชิงธุรกิจ จึงจะขอเก็บภาษีและมีการเสนอแนวคิดนี้กับทุกรัฐบาล แต่ประเด็นสำคัญคือ กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า “โรงเรียนที่ได้รับอนุญาตถูกต้อง จะได้รับการยกเว้นการเสียภาษี”ฉะนั้นหากจะมีการจัดเก็บภาษีโรงเรียนสอนกวดวิชา จะต้องมีการแก้ไขข้อกฎหมายบางส่วน ทำให้ 2-3 รัฐบาลที่ผ่านมา ไม่มีการแก้ไขหรือจัดเก็บแต่อย่างใด
"สมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ในขณะนั้น ได้เสนอเรื่องนี้ขึ้นมา โดยครั้งนั้น นายอภิสิทธิ์ได้แต่งตั้งให้นายธงทอง จันทรางศุ เป็นประธานคณะกรรมการสภาการศึกษา โดยมีกรมสรรพากรร่วมประชุมด้วย ซึ่งบทสรุปในครั้งนั้นออกมาว่า การจะจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชานั้นไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ แต่เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ การเก็บภาษีเป็นการผลักภาระไปที่ผู้เรียน เพราะการคิดราคาค่าเรียนของโรงเรียนกวดวิชา เป็นไปตามกฎข้อบังคับคณะกรรมการศึกษาเอกชน (สช.) ซึ่งการคิดอัตราค่าเรียนจะคิดจากคอร์สการลงทุน ทุกโรงเรียนจะต้องชี้แจงว่าลงทุนกี่บาท หักค่าเสื่อม ค่าดำเนินการ ทั้งปีเป็นเงินเท่าไร โดยให้คิดกำไรได้ไม่เกิน 20% จากนั้นให้เทียบว่าใน 1 ปี จะสามารถรับนักเรียนได้จำนวนเท่าไร แล้วนำมาทั่วเฉลี่ยเป้นรายหัวว่าจะเก็บค่าเรียนเด็กได้คนละเท่าไร"นายอนุสรณ์กล่าว
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ทางเลขาธิการ สช. ได้ชี้แจงไปกับทุกรัฐบาลที่ผ่านมาแล้วว่า วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ จะต้องมีมาตราการควบคุมดูแลโรงเรียนกวดวิชา 1 เก็บค่าเรียนให้เป็นธรรมตามหลักการ 2 เข้มงวด รร.กวดวิชาเถื่อนที่ไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีใบกำกับดูแล เพราะรร.ที่มีปัญหาการร้องเรียนส่วนใหญ่คือรร.กวดวิชาเถื่อน อาทิ รร.สอนภาษา, รร.สอนคอมพิวเตอร์, รร.สอนดนตรี, รร.สอนเสริมสวย, รร.สอนขับรถยนต์ ฯลฯ ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้ถือเป็นโรงเรียนเอกชนนอกระบบ ไม่ใช่โรงเรียนกวดวิชา
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่าที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(กพ.)เสนอการปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประกอบด้วย 1.การปรับบัญชีเงินเดือนและการแก้ไขกฎหมายขยายเพดานเงินเดือนขั้นสูงของทุกระดับหรือทุกอันดับของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทเพิ่มขึ้น 3 ขั้นสำหรับบัญชีเงินเดือนแบบขั้น หรือร้อยละ 10สำหรับบัญชีเงินเดือนแบบช่วงรวมทั้งปรับปรุงบัญชีเงินเดือนข้าราชการให้สอดคล้องกับการดำรงตำแหน่งให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2557 2.การปรับเงินเดือนข้าราชการให้ข้าราชการได้รับการปรับเงินเดือนเพิ่ม 1 ขั้นสำหรับระบบเงินเดือนแบบขั้น หรือร้อยละ 4 ของอัตราเงินเดือนสำหรับระบบเงินเดือนแบบช่วง ณ วันที่บัญชีเงินเดือนข้าราชการมีผลบังคับใช้
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า 3.การได้รับเงินเดือนกรณีข้าราชการได้รับเงินเดือนถึงขึ้นสูงให้ข้าราชการผู้ได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูง และได้รับค่าตอบแทนพิเศษตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วย การเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษของข้าราชการ และลูกจ้างประจำผู้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างถึงขั้นสูงหรือใกล้ถึงขั้นสูงของอันดับหรือตำแหน่ง พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติมนำค่าตอบแทนพิเศษตามผลการประเมินในรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-30 ก.ย.2557 มารวมเป็นเงินเดือนตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2557 ในกรณีที่อัตราค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวรวมกับเงินเดือนแล้วมีเศษไม่ถึงสิบบาทให้ปัดเป็นสิบบาท ทั้งนี้การปรับเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ จะครอบคลุมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทต่างๆ รวมประมาณ 1.98 ล้านคน ประกอบด้วย ข้าราชการพลเรือนสามัญข้าราชการทหาร ทหารกองประจำการ และนักเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม ข้าราชการตำรวจข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ข้าราชการรัฐสภาสามัญพนักงานราชการ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในองค์กรอิสระและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญได้แก่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลปกครอง และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติโดยสำนักงบประมาณได้จัดเตรียมงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแล้ว
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า นอกจากนี้ให้ปรับเพดานบัญชีค่าตอบแทนขั้นสูงพนักงานราชการในกลุ่มงานบริการ กลุ่มงานเทคนิคทั่วไป กลุ่มงานบริหารทั่วไปและกลุ่มงานวิชาชีพเฉพาะ ร้อยละ 4 และให้มีผลใช้บังคับวันเดียวกับการปรับเพิ่มเพดานเงินเดือนขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งคาดว่ามีพนักงานราชการที่จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มจำนวน 126,200 คน ทั้งนี้เพื่อยกระดับรายได้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐชั้นผู้น้อยโดยรวมให้สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นโดยไม่สร้างภาระงบประมาณมากจนเกินควรและคำนึงถึงผลกระทบต่อต้นทุนการจ้างงานภาคเอกชน
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 9 ธ.ค. ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการปปง. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรมโดยมีการพิจารณาสำนวนคดีการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) และพวก ซึ่งมีพฤติการณ์ร่วมกันเรียกรับผลประโยชน์จากการแต่งตั้งข้าราชการ เรียกรับประโยชน์จากการค้าน้ำมันเถื่อน เปิดบ่อนการพนันผิดกฎหมาย และฟอกเงินซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาหลักฐานข้อเท็จจริงเบื้องต้นแล้วเห็นว่าการกระทำของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และพวก เข้าข่ายความผิดเกี่ยวกับการพนัน อันเป็นมูลฐานความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน จึงมีมติให้เจ้าหน้าที่ ปปง. ตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และพวก โดยทรัพย์สินที่มีมติอายัดทรัพย์ชุดแรกตามที่พนักงานสอบสวนส่งมอบให้ คือ โฉนดที่ดิน 136 รายการในจำนวนนี้คณะกรรมการธุรกรรมพบว่ามี 32 รายการที่ได้มาก่อนที่พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ จะเข้ารับตำแหน่ง ผบช.ก. เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2553 ดังนั้น จึงอายัดโฉนดที่ดินไว้เพียง 104 รายการ ที่ได้หลังรับตำแหน่งคิดเป็นมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท ทั้งนี้ โฉนดดังกล่าวมีชื่อ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เป็นผู้ครอบครองเพียงเล็กน้อยส่วนใหญ่ถือครองโดยนอมินีที่เป็นเครือญาติซึ่งรวมถึงกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ ซึ่งตามขั้นตอนจะเปิดโอกาสให้แสดงหลักฐานชี้แจ้งที่มาของทรัพย์ภายใน 30 วัน โดย ปปง. มีอำนาจอายัดทรัพย์ไว้ตรวจสอบได้ภายใน 90 วัน
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012