คดีสะเทือนขวัญ นายรณชัย ปานชาติ หรือไอ้เก่ง ว่าที่เจ้าบ่าวสวมหมวกไอ้โม่งไหมพรม ใช้ปืนลูกซองสั้นบุกยิง น.ส.นนทิญา ครัวจัตุรัส อายุ 25 ปี ว่าที่เจ้าสาว หรือหมอปอ เจ้าพนักงานทันตกรรมสาธารณสุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสลุย คาบ้านพักข้าราชการ เมื่อกลางดึกวันที่ 18 ธ.ค. 2560 ที่ผ่านมา โดยร่วมมือวางแผนกับกิ๊กสาว น.ส.นฤมล ช่วยสมบัติ ทั้งที่มีกำหนดจะแต่งงานกันอีก 5 วันในวันที่ 24 ธ.ค. 2560
ในที่สุดวันที่ 28 ก.ย. 2561 ศาลได้พิพากษาตัดสินให้นายรณชัย จำเลยที่ 1 และน.ส.นฤมล จำเลยที่ 2 กระทำความผิด โดยฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อนโดยให้โทษประหาร แต่เนื่องจากทั้ง 2 ยอมรับข้อกล่าวหาและให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ศาลจึงลดหย่อนโทษให้เป็นจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งทำให้ครอบครัวหมอปอ รู้สึกดีใจกับคำตัดสิน แม้โทษไม่ถึงประหารชีวิตก็ตาม แต่ทำให้ทั้ง 2 ได้ชดใช้กรรมที่ก่อ พร้อมจะเรียกสินไหมทดแทนในส่วนเงินเดือนของหมอปอ จำนวน 7 ล้านบาท และเงินจัดงานแต่งอีก 9 แสนบาท
ย้อนเหตุการณ์เมื่อเที่ยงคืนวันจันทร์ที่ 18 ธ.ค. 2560 กำลังย่างเข้าสู่วันที่ 19 ธ.ค. 2560 ไอ้เก่ง ว่าที่เจ้าบ่าว ซึ่งเป็นพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหลังสวน มาพร้อมกับ น.ส.นฤมล กิ๊กสาว ทำหน้าที่ขับรถมาส่งและจอดข้างบ้านพักหมอปอ ตั้งอยู่ภายในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสลุย พื้นที่หมู่ 5 ต.สองพี่น้อง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร จากนั้นไอ้เก่ง ได้นำปืนที่กิ๊กสาวหามาให้ ติดตัวมาด้วย โดยสวมถุงมือดำ สวมหมวกไหมพรมคลุมหน้า เดินวนรอบบ้านพักหมอปอเพื่อดูลาดเลา
ก่อนเข้ามาปิดสวิตช์ไฟฟ้าบริเวณห้องครัว ใช้มือดันกล้องวงจรปิดหน้าบ้านพักให้กล้องเงยขึ้น แล้วงัดหน้าต่างเข้าไปในบ้าน ขึ้นไปบนชั้นสองพบหมอปอ นอนหลับอยู่ในห้องโดยไม่ได้ปิดประตู กระทั่งหมอปอ สะดุ้งตื่นขึ้นมา เดินเข้ามาหาไอ้เก่ง และทันใดนั้น ไอ้เก่ง มีอาการสติแตก ได้ลั่นไกปืนยิงหมอปอ ล้มลงบนที่นอนเสียชีวิต ก่อนรีบวิ่งหนีไปขึ้นรถที่กิ๊กสาวจอดรถอยู่ นำปืนไปทิ้งในแม่น้ำ และขับรถกลับถึงบ้านเวลาประมาณตี 3
จากนั้นไอ้เก่ง พยายามสร้างหลักฐานเหมือนว่าอยู่ที่ห้อง มีการส่งข้อความทางไลน์ "ขอโทษนะหลับเพิ่งตื่น" ไปหาหมอปอ เท่านั้นยังไม่พอในเช้าวันรุ่งขึ้น ยังทำทีโทรหาหมอปอ แต่ท้ายที่สุดตำรวจได้นำตัวมาสอบปากคำนานหลายชั่วโมง จนยอมรับสารภาพเป็นคนลงมือสังหารว่าที่เจ้าสาว เพราะจำนนต่อหลักฐาน เป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่ขณะลงมือฆ่า ถูกพบในบ้านพักของไอ้เก่ง พร้อมนำตัวกิ๊กสาวมาสอบปากคำด้วยเช่นกัน ซึ่งร่วมวางแผนก่อเหตุ มีการจัดหาปืนมาให้ ก่อนก่อเหตุประมาณ 1 อาทิตย์
ส่วนปมการสังหารนั้น เริ่มจากหมอปอ จับได้ว่าไอ้เก่งแอบไปมีกิ๊กกับคนที่ทำงานเดียวกัน มีการคบหากันมา 1 ปี จนมีปากเสียงทะเลาะบ่อยครั้ง รวมถึงเรื่องเงินทอง อีกทั้งไอ้เก่ง ไม่อยากแต่งงานกับหมอปอ จึงก่อเหตุงัดเข้าบ้านพักพยายามค้นหาเงินจำนวน 4 แสนบาท ที่หมอปอได้เบิกมาเก็บไว้ เพื่อเตรียมใช้จ่ายในงานแต่งงาน จนถูกว่าที่เจ้าบ่าวฆ่าตาย อีกทั้งสัมพันธ์ของทั้งหมอปอ และไอ้เก่ง ก่อนมาเป็นแฟนกัน ได้เป็นเพื่อนรักตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม และตลอดที่ผ่านมาครอบครัวหมอปอ ช่วยเหลือไอ้เก่ง เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจน จนเรียนจบและสอบเข้าทำงานเป็นพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีการคบหากับหมอปอเป็นแฟน ระยะเวลา 6 ปี จนตกลงจะแต่งงานกัน ในวันที่ 24 ธ.ค. 2560
ท้ายสุดจากงานวิวาห์วันแห่งความสุขที่กำหนดจะมีขึ้น กลายเป็นโศกนาฏกรรม จากปมรักสามเส้า หมอปอ ถูกว่าที่เจ้าบ่าว ฆ่าตาย ก่อนงานแต่ง 5 วัน จนไอ้เก่ง และกิ๊กสาว ถูกจับกุม ศาลพิพากษาประหารชีวิตทั้งคู่ และลดหย่อนโทษให้เป็นจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากมีการยอมรับข้อกล่าวหา ถือว่าได้ชดใช้กรรมกันไปในคุก กับสิ่งที่ก่อกับหมอปอ ต้องมาเสียชีวิตด้วยน้ำมือคนรักผู้ไม่ซื่อสัตย์.
วันนี้เป็นสุดท้ายในการปฏิบัติหน้าที่ราชการของผม นับตั้งแต่ผมเข้ารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2527 นับเป็นเวลา 34 ปี 8 เดือน ถือเป็นงานแรกและงานเดียว เป็นบ้านหลังที่สองก็ว่าได้ ผมจึงขอถือโอกาสนี้ ขอบพระคุณกระทรวงการต่างประเทศ ที่ให้โอกาสผมได้มีงานทำ ให้ผมได้ดูแลครอบครัว ช่วยให้บุตรธิดามีโอกาสได้เรียนหนังสือในสถาบันที่ดี มีวิชาความรู้จนสามารถนำมาประกอบอาชีพได้
ผมขอขอบพระคุณท่านผู้บังคับบัญชาในอดีตและรุ่นพี่ในกระทรวง ที่ได้กรุณาสอนงาน ให้คำแนะนำในการทำงานและการดำรงชีวิต ขอขอบคุณเพื่อนและน้องในกระทรวงฯที่ได้กรุณาให้ความร่วมมือและความเอื้ออาทรกับผม
ชีวิตราชการในกระทรวงการต่างประเทศของผม ไม่ได้เดินทางอยู่บนเส้นทางที่ราบเรียบ บางครั้งก็เจอเส้นทางที่ขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ มีทั้งสมหวังและผิดหวัง (ทั้งที่พยายามไม่หวัง) มีวันที่มุ่งมั่นตั้งใจและวันที่ท้อแท้ แต่ในเส้นทางเดินตลอดเวลากว่า 34ปี ผมมีภรรยาและลูก เดินอยู่เคียงข้างผมเสมอในทุกช่วงเวลาของชีวิต ถือเป็นรางวัลชีวิตที่มีค่าที่สุด
ผมไม่ใช่ข้าราชการแถวหน้าของกระทรวง (not even in a vicinity) แต่ผมให้หมดเท่าที่มี สติปัญญา ความรู้ความสามารถ อีกทั้งแรงกายแรงใจ ไม่มีกั๊ก ผลงานของผมในช่วงที่ผ่านมาหลายท่านอาจบอกว่าไม่ได้ความ บางท่านอาจเห็นว่างั้นๆ หลายท่านอาจชื่นชมว่าดีมีประโยชน์ แต่ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้ตัวเองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แล้วทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนหรือไม่
วันนี้ ผมจบชีวิตราชการด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจว่าได้มีโอกาสทำประโยชน์ให้ประเทศชาติบ้าง ไม่มากก็น้อย ได้มีโอกาสตอบแทนบุณคุณของกระทรวงการต่างประเทศและแผ่นดินไทย และไม่เคยจะมีแม้สักวันเดียวที่รู้สึกเสียใจที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงการต่างประเทศอันทรงเกียรติแห่งนี้
เรียนท่านทูตพี่จักร
ขอบพระคุณพี่จักรอย่างสูงครับ ผลงานพี่จักรมีมากมาย ผมยังกล่าวถึงพี่จักรเสมอที่แอลเอด้วยความภาคภูมิใจเรื่องบัตรประชาชนที่พี่จักรผลักดันจนสำเร็จถือเป็นคุณูประการต่อคนไทยที่นี่และเป็นบริการพื้นฐานของ สกญ.ไปแล้วครับ อีกเรื่องหนึ่งคือ การใช้เครือข่ายของทูต/ กสญ.ในการดึงคนเก่งในประเทศต่าง ๆ ไปแบ่งปันประสบการณ์กับไทยและประเทศที่ประจำอยู่ เรื่องนี้ผมก็พยายามใช้แนวพี่จักรอยู่ครับ จะนำไปใช้ที่เวียดนามด้วยและบทเรียนการทำงานอีกมากมายหลายเรื่องครับ
ผมขอแบ่งปันข้อความนี้กับชุมชนไทยในเขตอาณาของ สกญ.นะครับ (แล้วพบกันครับ ;)
(28 ก.ย.) พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานพรรคเพื่อไทย นายเผด็จ ภูรีปฏิภาณ สื่อเจ้าของนามปากก “พญาไม้” และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ร่วมกันแถลงข่าว “ทางออกประเทศไทย” ณ บ้านพักของ พล.อ.ชวลิต ซอยกาญจนาภิเษก 10/4 รามอินทรา เขตคันนายาว กทม.
ตอนหนึ่ง พล.อ.ชวลิต และคณะระบุว่า ทิศทางการเมืองในขณะนี้กำลังจะก่อให้เกิดวิกฤตทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง โดยเสนอให้มีการแก้ปัญหาโดยให้มีการปกครองเฉพาะกาลซึ่งบัญชาการโดยพระราชอำนาจ
“เป็นแง่มุมมองกันแล้วก็เป็นคำถามกันถึงทางออกของประเทศไทย เพราะว่าคนที่ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ กันมายาวนานนั้นก็ย่อมจะเห็นว่าเดินกันไปอย่างไร และจบกันไปอย่างไร เพราะขณะนี้ก็เห็นปรากฏการณ์กันว่าถ้าไม่มีการดำเนินการอะไรกันเลยนั้น ภายใต้กติกาที่เป็นอยู่กับการดำเนินการที่เป็นอยู่นั้นมันก็จะนำพาสู่วิกฤต เพราะว่ากรรมการกับผู้เล่นนั้นเป็นคนคนเดียวกันซึ่งก็ไม่ควรที่จะเป็น หลังจาก 35/1 ก่อนที่จะเลือกตั้ง 35/2 เราก็ควรจะมีคนกลางเข้ามาทำหน้าที่ เพราะฉะนั้นความเป็นคนกลางเข้ามาทำหน้าที่ส่งไม้ให้ประชาธิปไตยนั้นยังมีความจำเป็น ผมก็เสียดาย พล.อ.ประยุทธ์ เพราะถ้าท่านเล่นบทกรรมการจนส่งไม้ แล้วลงจากเวทีอย่างสง่างาม ทุกอย่างก็สบายใจ แต่นี่ก็เป็นที่ทางปรากฏชัดว่าท่านบอกสนใจการเมือง ซึ่งความจริงท่านจะสนใจเมื่อไหร่อย่างไร แต่องคาพยพท่านแสดงตนชัดเจนในที่พรรคการเมืองในวันพรุ่งนี้ ผมว่าทางเดินทางไปข้างหน้า เราไม่ได้กลัวเรื่องผลการเลือกตั้งอะไร แต่ผมว่าสถานการณ์ต่างๆ จะนำพาประเทศเข้าสู่มุมวิกฤต” นายจตุพรระบุ
จากนั้น พล.อ.ชวลิต ในวัย 86 ปี ระบุว่า มีบุคคลคนหนึ่งที่มีทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีน้ำใจ และมีพระราชอำนาจอย่างแท้จริง
“ไม่ใช่ว่าผมพูดอย่างนี้ เพราะว่าจะให้ท่านทำ ไม่ใช่ แต่ท่านพลิกกาย พลิกองค์นิดเดียวเท่านั้นเอง เพราะท่านทำได้ คนอื่นทำไม่ได้ พวกเราก็รู้อยู่แล้ว เพราะว่าใครทำก็โดยมาตรา 44 บ้าง 45 บ้าง 46 บ้าง เยอะแยะไปหมด แล้วทำไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นถึงบอกไง บอกว่ากระบวนการที่ทำอยู่ถึงแม้ห่างไกล คือกระบวนการประชาธิปไตยที่เริ่มขึ้นแล้ว กระบวนการของนิสิตนักศึกษา กระบวนการของชาวนา กระบวนการของกรรมกร กระบวนการของชนกลุ่มน้อย โอ้โหเยอะแยะ กำลังเคลื่อนไหวแล้วอย่างเต็มที่ เพื่อกราบบังคมทูลว่าข้าพระพุทธเจ้าไม่ไหวแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าไม่ไหวแล้ว สิ่งนี้ก้องอยู่ในหูท่านตลอดเวลา ท่านรู้ ท่านทราบลูก แล้วพระองค์ท่านเป็นคนที่รักประชาชน รักประเทศชาติที่สุด พวกเราก็รู้ดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นนั่นคือสิ่งที่ผมมุ่งหวังอย่างสูงสุด และสิ่งนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แน่นอนที่สุด แต่ว่าอย่างไร ผมไม่ทราบ” พล.อ.ชวลิตกล่าว โดยเมื่องนายเผด็จถามว่า ทางออกในสายตาของ พล.อ.ชวลิตมีทางอื่นหรือไม่ พล.อ.ชวลิตก็ตอบว่ามี
“ทางอื่นมีเหมือนกัน แต่ว่ามันยุ่งเหยิงไง เป็นต้นว่าผมใช้คนแค่ 20 คน อาจจะออกได้เหมือนกัน พรุ่งนี้โน่น หน้าทำเนียบลูกนึง หน้าตลาดนัดสามเสนลูกนึง หน้า อ.ต.ก.2 ลูก หน้าเสาไฟโน่น 5 ลูก หน้าเชียงใหม่ 3 ลูก ภูเก็ต 2 ลูก ระเบิดทั้งเมือง ทั้งประเทศ นี่ไงทางออก! (เผด็จ - ผิดกฎหมาย) ก็ผิดไง (หัวเราะ) เป็นแนวทางที่ไม่ถูก เป็นแนวทางที่ผิด แต่ถามว่าทำได้ไหม ทำได้ ทำไมจะทำไม่ได้ แต่เราไม่ทำ” อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าว โดยเมื่อนายเผด็จถามต่อว่าหากให้มีการเลือกตั้งแล้วค่อยปรับมาทำตามแนวทางนี้ได้หรือไม่ พล.อ.ชวลิตตอบว่า “ชาติหน้า”
นายจุลภาส (ทอม) เครือโสภณ นักบริหารธุรกิจชื่อดัง โพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Tom Julpas Kruesopon" เมื่อวันที่ 20 ก.ย.61 ที่ผ่านมา กล่าวถึงการตอบโต้ระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่ครบ 12 ปีรัฐประหารว่า ตกลงประเทศไทยยังเหลือผู้ใหญ่อยู่หรือไม่ กระแนะกระแหนกันอยู่ได้ระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร กับกลุ่มรัฐบาลนี้ ตนว่าทั้งสองฝ่ายนี้คงต้องทำตัวโตๆกันหน่อย เพราะตอนนี้เหมือนกับเด็ก 5 ขวบ ทะเลาะกันบนสนามเด็กเล่น
“นายทักษิณก็ทวิตเข้ามา ประวิตรก็ตอบโต้ทันที นักข่าวเขียนอะไร ประยุทธ์ก็โมโหเหมือนกับเด็ก 7 ขวบ คุมอารมณ์กันไม่อยู่เลย นี่มันประเทศชาตินะครับ ส่วนพวกคุณเป็นผู้ใหญ่ ประเทศไทยไม่ใช่สนามเด็กเล่น พอกันเถอะ” นายทอม กล่าว
นายทอม กล่าวอีกว่า ตนเห็นด้วยกับนายทักษิณ ที่เขียนมาว่าเราต้องมาเริ่มเจรจาหรือคุยกันแล้ว แต่อยากบอกนายทักษิณว่า การที่เขียนมาอย่างนี้ก็ต้องเริ่มต้นมาจากตัวเองก่อนด้วย ส่วนพล.อ.ประวิตร และพล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องรู้ว่าผ่านการรัฐประหารมา 12 ปีแล้ว ประเทศไทยก็มีทั้งพัฒนาขึ้นและถอยหลังก็มีเยอะ มันไม่มีอะไรเลวไปหมด หรือดีไปหมดหรอก
“แต่สิ่งที่สำคัญคือพวกคุณต้องโตกันได้เลย เพราะประเทศนี้ก็คือชีวิตของผม ภรรยาผม และลูกๆของผม และมันคือชีวิตของคนไทยทุกๆคน แต่พวกคุณเล่นกันเหมือนอะไรก็ไม่รู้ มาทะเลาะกันเหมือนเด็ก 5 ขวบ” นายทอม กล่าวทิ้งท้าย
28 ก.ย.61 นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Watana Muangsook แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีศาลอาญา มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง โดยไม่ต้องวางหลักประกัน ในคดีชุมนุมขับไล่ คสช. ว่า “ผมขอแสดงความชื่นชมกับการใช้ดุลพินิจของศาลอาญา ที่มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวน้องๆ กลุ่มคนอยากเลือกตั้งโดยไม่ต้องวางหลักประกัน การใช้ดุลพินิจดังกล่าวตั้งอยู่บนหลักนิติธรรมที่หาได้ยากยิ่งในยุคเผด็จการครองเมือง เป็นการปลุกความหวังของประชาชนที่มีต่อกระบวนการยุติธรรม”
“การที่กลุ่มคนอยากเลือกตั้งออกมาเรียกร้องสิทธิเลือกตั้งนั้น นับเป็นการกระทำที่สมควรยกย่องและไม่อาจถือเป็นความผิด เพราะมิได้เกิดจากแรงจูงใจทางอาญา (criminal motive) อีกทั้งการที่เจ้าของสิทธิเรียกร้องสิทธิของตัวเองคืนจากผู้ที่ไม่มีสิทธิย่อมไม่อาจเป็นความผิดได้เลย คนที่ปล้นสิทธิของประชาชนไปต่างหากที่ควรละอายที่บังอาจไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เป็นเจ้าของอำนาจ ทำไปโดยไม่เคยสำเหนียกเลยว่าอำนาจดังกล่าวตนกับพวกไปปล้นเอาของประชาชนมา”
“เผด็จการใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเครื่องมือจัดการผู้เห็นต่าง ที่เลวไม่แพ้กันคือองค์กรในกระบวนการยุติธรรมจำนวนหนึ่งกลับสยบและยอมเป็นเครื่องมือให้กับเผด็จการทำร้ายประชาชน ดังนั้น การที่ศาลอาญากล้าใช้ดุลพินิจผดุงครรลองที่ถูกต้องย่อมทำให้ประชาชนมีความหวังว่า วันใดก็ตามที่อำนาจกลับคืนมาเป็นของประชาชน เผด็จการและลิ่วล้อที่สร้างเวรกรรมกับประชาชนไว้จะต้องถูกนำตัวมาขึ้นศาลเพื่อลงโทษซึ่งไม่ใช่การเช็คบิลหรือการแก้แค้น หากแต่เป็นการทำตามกฎหมาย ส่วนใครก็ตามที่รักจะเป็นโจรอย่าใจเสาะ หัดอายกระโปรงของน้องกลุ่มคนอยากเลือกตั้งบ้าง ริจะเป็นโจรแต่กลัวถูกเช็คบิล กระจอกเกิ๊น”
27 ก.ย.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เกิดสึนามิ คลื่นยักษ์สูงนับ 2 เมตร ซัดชายฝั่งทั่วเมืองปาลู บนเกาะสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย หลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ขนาด 7.5 เขย่าเกาะสุลาเวสี เมื่อ27 ก.ย. และสำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหวอินโดนีเซียได้แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมชายฝั่งทะเลในจังหวัดสุลาเวสีกลางและสุลาเวสีตะวันตกรีบไปอยู่บนที่สูง เพราะอาจเกิดสึนามิตามมาหลังแผ่นดินไหวรุนรุนแรง
บีบีซีรายงานว่า มีชาวบ้านในพื้นที่ได้ถ่ายคลิปวิดีโอ ขณะเกิดสึนามิ สูงซัดเข้าหาชายหาดอย่างน่ากลัว ขณะที่ได้ยินเสียงผู้คนกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกขณะวิ่งหนีคลื่นยักษ์ ขณะเดียวกันยังมีรายงานด้วยว่า มีมัสยิดแห่งหนึ่งได้รับความเสียหายด้วย
ด้านเจ้าหน้าที่อินโดนีเซีย เผยว่าเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงเขย่าเกาะสุลาเวสีสองครั้งซ้อน ในบริเวณเดียวกัน ในวันศุกร์นี้ โดยครั้งแรก มีความรุนแรงขนาด 6.1 และครั้งที่2 มีความรุนแรงขนาด 7.5 ปรับลดลงมาจากตอนแรกที่สำนักสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯรายงานมีขนาด 7.7 นั้น เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 5 ราย
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012