ข่าว
คู่รักชาวเกย์มะกัน ดีใจ!! ศาลสูงให้แต่งงาน 50 รัฐ

คู่รักเพศเดียวกันในมะกัน เฮ! ลั่น ศาลสูงสหรัฐฯ มีคำตัดสินเห็นชอบด้วยมติ 5-4 ให้สามารถแต่งงานกันได้ทั่วทั้ง 50 รัฐ สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ที่ทำเนียบขาว ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกา ออกมาระบุว่า ศาลสูงสหรัฐฯได้มีคำตัดสินเห็นชอบให้คู่รักที่เป็นเพศเดียวกัน สามารถแต่งงานกันได้ทั่วทั้ง 50 รัฐในสหรัฐฯ ถือเป็นชัยชนะสำหรับอเมริกา โดยชาวอเมริกันทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการปกป้องโดยเท่าเทียมกันตามกฎหมาย และทุกคนควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือเขาจะรักใคร

ทั้งนี้ ศาลสูงสหรัฐได้มีมติ 5-4 เห็นชอบต่อการสมรสระหว่างผู้ที่มีเพศเดียวกัน โดยระบุว่าคนเหล่านี้มีสิทธิโดยชอบตามรัฐธรรมนูญที่จะทำการสมรส อย่างไรก็ตาม จากคำพิพากษาดังกล่าว ส่งผลให้การแต่งงานระหว่างคู่รักที่เป็นเพศเดียวกัน สามารถทำได้ทั่วทุกรัฐในสหรัฐฯ ตามหลักแห่งความเท่าเทียมกันสำหรับสิทธิในการแต่งงาน ซึ่งได้สร้างความยินดีและดีใจของเหล่าคู่รักเพศเดียวกันที่มารอฟังคำตัดสินในครั้งนี้

ที่ผ่านมา รัฐแมสซาชูเซตส์ เป็นรัฐแรกในสหรัฐฯ ที่ยอมรับการแต่งงานของกลุ่มคนรักเพศเดียวกันในปี 2003 ส่งผลให้อีกหลายรัฐออกกฎหมายยอมรับการแต่งงานสำหรับคนเพศเดียวกันตามมา แต่ขณะเดียวกันได้มีอีกหลายสิบรัฐได้แก้ไขรัฐธรรมนูญประจำรัฐห้ามการแต่งงานดังกล่าว.

“บิ๊กตู่”อารมณ์ค้าง ต่อว่าสื่ออย่าเยอะ

เมื่อเวลา 12.20 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ตอบข้อถามผู้สื่อข่าวถึงกรณีสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหภาพยุโรป (เอียซ่า) จะประกาศท่าทีต่อมาตรฐานการบินของประเทศไทยว่า ไม่มี ยังไม่ประกาศอย่าเพิ่งไปตื่นตระหนก ก็แก้กันต่อไปจะทำอะไรได้ ผิดกติกาต้องยอมรับความผิดบ้าง ในเมื่อเราผิดกติกาก็ต้องแก้ไขปัญหาไม่ใช่ว่ากันไปกันมาจนแย่ไปกว่าเดิม พูดกันแต่เรื่องแบบนี้ถามว่าได้อะไรขึ้นมา การลงทุนที่จะมาลงทุนก็เลิกทั้งหมด ขอถามว่าใครจะรับผิดชอบแทนตน ตนขอสื่อแค่นี้ วันนี้เขียนโจมตีตนเยอะไปหมด แต่ไม่ได้กลัวอยู่แล้ว อยากเขียน เขียนไป แต่ต้องให้ความเป็นธรรมตน

ซึ่งตนจะไปถามคนทั้งประเทศ ว่าเขาจะว่าอย่างไร หลายคนเขาก็ไม่ชอบเขียนแบบนี้ทำไมต้องเขียนแบบนั้น เขียนว่าตนไปกดดันไม่ให้พูด ทำไมสื่อมีอำนาจเหนือตนตรงไหน กลายเป็นตนผิดหมด หรือสื่อต้องมีอำนาจพิเศษ ถามได้ทุกอย่าง ก็เป็นเรื่องของนายกฯอยากตอบก็ตอบ ไม่อยากตอบก็อย่าตอบ สื่อต้องกลับไปถามกันเองบ้าง เรื่องบ้างเรื่องไม่ใช่เรื่องสื่อก็อย่าถาม สิทธิเท่าเทียมกัน ไม่ได้มีสิทธิเหนือกว่าตนเป็นประชาชนเท่ากัน ทุกคอลัมน์ ทุกหนังสือพิมพ์เขียนตลอดว่านายกฯอารมณ์เสีย

นักข่าวแห่เดินหนีนึกว่าบอยคอต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ บ่นเรื่องสื่อที่ทางเชื่อมตึกสันติไมตรี นักข่าวสายเศรษฐกิจประจำทำเนียบรัฐบาลประมาณ 10 คนที่ยืนฟังคำสัมภาษณ์อยู่ด้วย จู่ๆได้เดินออกจากวงสัมภาษณ์นายกฯ อย่างกะทันหันโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงกับพูดว่า ทำไม เป็นอะไรกันเหรอ ซึ่งนักข่าวสายเศรษฐกิจกลุ่มดังกล่าวได้หันมาตอบว่า จะไปฟังแถลงผลการประชุมเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ตึกนารีสโมสร ขณะที่สื่อสายการเมืองรีบบอก พล.อ.ประยุทธ์ว่า ไม่ได้เดินหนีหรือบอยคอต ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ พูดว่า ทีหลังจะเดินออกกะทันหันแบบนี้ก็ต้องบอกว่า “ขออนุญาตครับสิ นึกว่าโมโหแล้วเดินหนี เดี๋ยวเหอะ ไปฟังแถลงแล้วก็เขียนกันด้วย”

อัดสื่อเลือกข้างจองล้างจองผลาญ

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า “อะไรต่างๆ ที่มันหงุดหงิดไม่ใช่ผมอยากหงุดหงิด และผมไม่เคยดูถูกท่านซักคน เพียงแต่เวลาท่านถามขอให้ดูอารมณ์ผมนิดหนึ่ง ผมจะตอบผมก็ดูอารมณ์ของผม และดูอารมณ์ท่าน ผมไม่ใช่ศัตรูท่านซักสื่อ แต่ทำไมมันจองล้างจองผลาญกันนัก ผมไม่เข้าใจ มันก็เป็นสื่อเลือกข้างเหมือนเดิมนั้นแหละ ไม่อยากจะพูด อยากให้ทุกคนใจเย็นกันบ้าง ถ้าทุกคนใจร้อนหมด ผมก็ใจร้อน ซึ่งผมใจร้อนกว่าท่านอยู่แล้ว เวลา ผมจำกัด ผมเริ่มทุกอย่างให้ได้เป็น 100 เรื่องโดยจะเริ่มทำส่วนที่ 1 ขณะส่วนที่ 2 ที่ทำไม่ได้จะส่งต่อให้รัฐบาลหน้า”

โอดอารมณ์ฟุ่มเฟือย-ก็งานมันหนัก

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เห็นแถลงการณ์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ก็แถลงไป เวลาอย่างนี้เล่นงานตน เวลาพวกคุณทำความผิด ไอ้สมาคมฯทำอะไรให้ตนบ้าง มีไหม เมื่อถามว่า สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯแถลงข่าวปฏิเสธ ไม่ใช่เรื่องจริงจากกรณีที่นายกฯ ระบุว่า นักข่าวได้รับใบสั่งให้เขียนถึงรัฐบาลในทางที่ไม่ดี พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ตนเห็นแล้ว แล้วทำไมไปทำนองนั้น ซึ่งวิธีการเขียน มันเขียนแบบนั้น เอาล่ะไม่ได้โกรธกันอยู่แล้ว เพียงแต่มีอารมณ์บ้าง เพราะต้องคิดงานอะไรต่างๆเยอะเพื่อขับเคลื่อนทั้งประเทศ สั่งการทั้งประเทศไม่ใช่นั่งฟังเสนอมาแล้วอนุมัติอย่างเดียว

ลั่น “สื่อกับผม” ไม่มีใครเหนือใคร

เมื่อถามว่า สื่อที่เป็นมิตรกับนายกฯก็มีเยอะ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “เป็นมิตรทุกสื่อ ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับท่าน แต่ไม่ใช่มีอำนาจเหนือผมไม่ใช่ ผมไม่มีอำนาจเหนือท่าน และท่านไม่มีอำนาจเหนือผมแค่นั้นเอง เราต้องร่วมกันทำให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าให้ได้ ให้ต่างชาติเขาให้เกียรติเรา ให้ต่างชาติมองว่าประเทศไทยคลี่คลายความขัดแย้งได้ในเวลานี้ ทำไมไม่เขียนทำนองนี้ อย่างอื่นก็กระเซ้าเย้าแหย่ธรรมดา ผมไม่ได้โกรธ แต่เขียนในเชิงที่ว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลย และเรื่องการเมืองอยู่นั้นแหละ ซึ่งวันนี้การเมืองยังไม่เกิด ยังไม่มี เดี๋ยวค่อยไปทะเลาะกันตอนมีการเมืองก็แล้วกัน ผมไม่ทะเลาะกับใครอยู่แล้ว คนจะเป็นจะตายน้ำท่าก็ไม่มี คิดอยู่ทำอย่างไรจะให้มีน้ำ มีรายได้ให้เกษตรกร

สมาคมฯแถลงการณ์โต้ใบสั่ง

นายมานพ ทิพย์โอสถ อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ และโฆษกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวถึงการทำงานของสื่อมวลชนว่ารับใบสั่งมาเพื่อเขียนข่าวถึงรัฐบาลในทางที่ไม่ดี เพื่อให้ได้เงินว่า เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมและไม่มีหลักฐานใดๆ ยืนยันว่าผู้สื่อข่าวคนใด ได้รับใบสั่งมาเขียนโจมตีรัฐบาล เพื่อให้ได้เงินตามที่นายกรัฐมนตรีกล่าวอ้าง แม้ว่าสิ่งที่กล่าวมานั้นจะเกิดจริง แต่ในฐานะผู้นำประเทศที่มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากพบการกระทำดังกล่าว นายกฯ ในฐานะหัวหน้า คสช. ย่อมชอบธรรมที่จะใช้อำนาจนั้น ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อเอาผิดได้ การกล่าวหาของนายกฯที่ว่ารู้ว่าทุกคนก็รับใบสั่งมา เป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่งของผู้สื่อข่าว


กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดโวย จนท.รัฐ กดดันจับดาวดิน

เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด จ.เลย ออกคำประกาศ ระบุว่า จากการที่หมู่บ้านทั้ง 6 หมู่บ้านของเรา ได้รับผลกระทบจากการการทำเหมืองแร่ทองคำ จนกระทั่งมีการรวมกลุ่มกันขึ้นมา เป็นกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดที่มีสมาชิกจาก 6 หมู่บ้านรอบเหมืองสิ่งที่พวกเราทำมาโดยตลอด คือการอนุรักษ์และปกป้องทรัพยากร ปกป้องป่าไม้ ปกป้องภูเขา ปกป้องแหล่งน้ำ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเรามาตั้งแต่เกิด และเพื่อให้สิ่งเหล่านี้ได้อยู่กับลูกหลานเราต่อไปในวันข้างหน้า เรามีสิทธิตามกฎหมาย มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ในการปกป้องดูแลทรัพยากรของเราเอง เรามีความชอบธรรมในการลุกขึ้นมาสู้

เมื่อพวกเราเลือกที่จะต่อสู้ ก็มีบุคคล และกลุ่มบุคคลมากมายเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นลูกๆนักศึกษา หรือองค์กรต่างๆ ที่พร้อมเข้ามาช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน พวกเขาเหล่านี้ คือลูกหลาน คือแขกของเรา ที่ช่วยเหลือกัน ดูแลกันและกันมาโดยตลอด ลูกๆนักศึกษาที่มาพร้อมกับความรู้ที่มอบให้ชุมชน ในขณะเดียวกันก็ได้ความรู้วิชาชีวิตจากชุมชน กลับไป องค์กรต่างๆที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนในการรณรงค์ต่างๆ ทำให้กลุ่มของพวกเรามีความเข้มแข็งขึ้น สำหรับเราแล้ว พวกเขาก็เหมือนพี่น้องเราเช่นกัน

แต่หลังจากเหตุการณ์รัฐประหาร ก็ทำให้พวกเราถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ ทำการเคลื่อนไหวได้แต่เพียงในพื้นที่ และมักโยงเรากับเรื่องการเมืองเสมอ เมื่อมีเหตุการณ์วันที่ 22 พฤษภาคม ที่ทำให้ลูกๆ ของเราดาวดิน ถูกตั้งข้อหา และเราได้ไปร่วมให้กำลังใจในวันที่ 8 มิถุนายน นั้น จึงทำให้กลุ่มของเราถูกจับตามองมากขึ้น

และในวันที่ 19 มิถุนายน ลูกๆดาวดิน ก็ได้เดินทางมาที่หมู่บ้านของเรา มาทำกิจกรรม มาไถนา หลกกล้า ดำนาตามที่พวกเขาเคยทำ พร้อมประกาศอย่างเป็นทางการว่าถ้าหากทางตำรวจจะมาจับก็พร้อมจะถูกจับ ซึ่งทางกลุ่มก็เข้าใจและยอมรับการตัดสินใจโดยจะไม่มีการขัดขวางใดๆทั้งสิ้น แต่เมื่อลูกๆกลับไป กลับมีหน่วยงานของรัฐเข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ หรือแม้แต่ฝ่ายปกครอง เข้ามาในพื้นที่มาถามหานักศึกษาดาวดินมีท่าทีคุกคาม ข่มขู่ทั้งชาวบ้าน และแขกของหมู่บ้าน มีการใช้คนจำนวนมาก เพื่อมากดดันหาคำตอบ พร้อมพูดว่าบ้านนาหนองบงเป็นแหล่งซ่องสุมโจร และถ่ายภาพตลอดเวลา

ทางชุมชนจึงมีข้อสงสัยว่าถ้าหากทางภาครัฐบริสุทธิ์ใจจริงๆ ทำไมในแต่ละวันที่เข้ามาติดตาม จึงไม่มีการลงมาพูดคุยซักถาม แต่ใช้วิธีการขับรถวนไปมารอบหมู่บ้าน แล้วถ่ายภาพมากมาย ซึ่งเป็นการก่อให้เกิดความกังวลและความรำคาญ แก่พี่น้องเป็นอย่างมาก เหมือนหมู่บ้านนี้ต้องจับตามองอาจก่อเหตุร้ายได้ทุกเมื่อ ทั้งยังสั่งไว้ด้วยว่า หากมีคนจะเข้าจะออกหมู่บ้าน ต้องรายงานทหารก่อนหากจะเข้ามาเกิน 5 ห้าคน ทำให้ชาวบ้านตั้งคำถามอีกเช่นกันว่าเหตุใดภาครัฐจึงต้องมากดดันเฉพาะทางชาวบ้าน แล้วการที่เหมืองนำรถเข้าออกเพื่อเตรียมการในการเปิดเหมืองอีกครั้งนั้นต้องมีการรายงานทหารเช่นกันใช่หรือไม่

การกระทำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทางกลุ่มเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรสำหรับหน่วยงานของรัฐ เป็นการกระทำที่มีการปกปิด ซุ่มซ่อน เหมือนพวกโจรผู้ร้ายมากกว่า ทางหมู่บ้านนาหนองบงซึ่งได้รับความคุ้มครองความเป็นส่วนตัวภายใน จึงขอประณามการกระทำดังกล่าวไร้ความเป็นตำรวจของประชาชนร่วมถึงทหารที่กระทำการสนับสนุน และขอประกาศว่าหากมีการเข้ามาในชุมชนในลักษณะเช่นนี้อีก ทางชุมชนจะไม่ขอต้อนรับ

นอกจากนั้นพวกเราจะดำเนินการเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ถ้าหากยังคงคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ปกติของพวกเรา โดยการข่มขืนใจให้ต้องปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำตอบที่อยากได้เพื่อภารกิจใดๆ ทำการให้ตกใจทำร้ายจิตใจไม่แจ่มใสและเสรีภาพการไปมาหาสู่กันภายใน และภายนอกชุมชน พวกเราจะดำเนินการให้ถึงที่สุด

ด้วยความเคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด จ.เลย

25 มิถุนายน 2558


จับ14นักศึกษา ส่งตัวเข้าเรือนจำ

นำตัวไปฝากขังแล้ว 14 นักศึกษา หลังถูกจับและพาไปที่สน.พระราชวัง มีประชาชนตามไปให้กำลังใจร้องเพลงปลุกใจอยู่หน้าศาลทหาร ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่วางกำลังคุมเข้ม ล่าสุดศาลทหาร อนุญาตให้ฝากขังผัดแรกเป็นเวลา 12 วัน...

เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 26 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอหมายจับจากศาลทหารฯ เข้าจับกุมตัวนักศึกษากลุ่มดาวดิน และกลุ่มหน้าหอศิลป์ ที่รวมตัวในนามขบวนการประชาธิปไตยใหม่ จำนวน 14 ราย บริเวณบ้านสวนเงินมีมา มูลนิธิเสฐียรโกเศศ นาคะประทีป ตั้งอยู่ระหว่างซอยเจริญนคร 20-22 แขวงบางลำภูล่าง เขตคลองสาน กทม. และถูกนำตัวไปที่สน.พระราชวัง โดยมีนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ศ.ศิวลักษณ์ อายุ 80 ปี นักเขียนและวิชาการอิสระ พร้อมนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ เดินทางมาพบตำรวจ ก่อนที่นักศึกษาที่ถูกจับกุมทั้งหมด ถูกนำขึ้นรถตู้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3 คัน เดินทางไปยังศาลทหาร ถนนหลักเมือง เพื่อฝากขัง

ขณะเดียวกัน ประชาชนที่ปักหลักให้กำลังใจนักศึกษาทั้ง 14 คน อยู่ที่หน้าสน.พระราชวัง ได้ตามมาให้กำลังใจอยู่ที่หน้าศาลทหาร พร้อมกับร้องเพลงปลุกใจตลอดเวลา โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจกว่า 50 นาย รักษาการอยู่โดยรอบพื้นที่ ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปด้านในโดยเด็ดขาด

ทั้งนี้ นักศึกษา 14 คน ถูกจับตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ ที่ 11-24/2558 ลงวันที่ 26 มิ.ย. 2558 ข้อหาร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่จำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปอันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558 ข้อ 12 และประมวลกฎหมายอาญามาตราที่ 116,83 ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงเกิน 3 ปี

มีรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 22.50 น. ศาลทหาร ได้ดำเนินการไต่สวนฝากขังนักศึกษาทั้ง 14 ราย และในเวลาต่อมาได้อนุญาตให้ฝากขังนักศึกษาทั้ง 14 ราย เป็นเวลา 12 วัน โดยทนายคัดค้านคำร้องขอฝากขังแต่ไม่เป็นผล มีการนำตัวนักศึกษาทั้งหมดไปยังเรือนจำ โดยผู้ชาย 13

คน ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ขณะที่ผู้หญิง มีคนเดียว ถูกส่งตัวไปยังทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งนี้ การฝากขังผัดแรก จะครบกำหนดในวันที่ 7 ก.ค.นี้.


ประชา พรหมนอกหย่าเมีย "เงินหด" 300 ล้านบาท!

จากกรณี สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ได้เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 6 และ 7 พ.ค.2558 หลังมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรีอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยมิชอบ ซึ่งทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 579,308,428 บาท ขณะที่บุคคลสำคัญอื่น ๆ ก็ได้ชี้แจงรายละเอียดทางการเงินที่สำคัญ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวมาแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตรองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 75,014,334 บาท เมื่อเทียบกับสมัยที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินครั้งล่าสุด เมื่อช่วงพ้นตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 พ.ค.57 ที่มีทรัพย์สิน 396,696,211 บาท พบว่าพล.ต.อ.ประชามีทรัพย์สินลดลงถึง 321 ล้านบาท เนื่องจากพล.ต.อ.ประชาได้แจ้งสถานะการยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 6 พ.ค.58 ว่า ได้หย่าขาดกับคุณหญิงวารุณี พรหมนอก คู่สมรสแล้ว เมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมาทำให้ทรัพย์สินในส่วนของคู่สมรสหายไปถึง 286 ล้านบาท ประกอบกับทรัพย์สินส่วนตัวของ พล.ต.อ.ประชา ก็ลดลง 30 กว่าล้านบาทในส่วนของที่ดิน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ยานพาหนะทำให้ทรัพย์สินปัจจุบันของ พล.ต.อ.ประชาเหลือเพียง 75 ล้านบาท

ทั้งนี้ในหนังสือใบสำคัญการหย่าระหว่าง พล.ต.อ.ประชาพรหมนอก กับคุณหญิงวารุณี พรหมนอก(บำรุงสวัสดิ์) ที่จดทะเบียนที่ อ.เมืองจ.อุดรธานี ในวันที่ 16 ก.พ.2558 ระบุรายละเอียดว่า เป็นหนังสือหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย โดยตามที่ทั้ง 2 คน ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2510 และมีบุตรด้วยกัน 4 คน คือ1.พ.ต.อ.ชัชธรรม พรหมนอก (เสียชีวิต) 2.นางธารศรี ศรีวรขาน 3.นางบุดีพรเพชรพนมพร และ 4.พ.ต.อ.จิรวัฒน์ พรหมนอก

บัดนี้คู่สมรสทั้งสองฝ่ายไม่ประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภรรยากันอีกต่อไป เนื่องจากฝ่ายชายประพฤตินอกใจฝ่ายหญิงหลายครั้ง จนฝ่ายหญิงจับได้และฝ่ายชายจำนนด้วยหลักฐาน จึงได้ยอมรับผิดการกระทำของฝ่ายชาย ทำให้ฝ่ายหญิงเกิดความอับอายต่อเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง ผู้หลักผู้ใหญ่ที่สนิทสนมกันแม้การกระทำดังกล่าว จะไม่เป็นที่รับรู้ของคนทั่วไป เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นผู้มีชื่อเสียง และเป็นที่นับหน้าถือตา จึงไม่อยากให้ข่าวแพร่ออกไปการกระทำของฝ่ายชายดังกล่าวนำมาซึ่งความอับอายและทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสต่อฝ่ายหญิงหลายต่อหลายครั้งหากยังเป็นสามีภรรยากันต่อไป ก็จะมีแต่ความทุกข์ใจไม่รู้ที่สิ้นสุด ทั้งสองฝ่ายยินยอมที่จะจดทะเบียนหย่าและได้ตกลงกันทำหนังสือสัญญานี้ โดยให้มีผลนับแต่วันที่นายทะเบียน จดทะเบียนแล้วเหตุแห่งการหย่าครั้งนี้ เกิดจากการกระทำของฝ่ายชายแต่ฝ่ายเดียว ฝ่ายหญิงเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์สิน ซึ่งฝ่ายชายก็ยินยอม โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.บ้านพร้อมที่ดิน หรือที่ดินเปล่า ที่เป็นชื่อฝ่ายหญิง รวมทั้งทรัพย์สินอื่นที่เป็นชื่อฝ่ายหญิงให้เป็นของฝ่ายหญิง 2.บัญชีเงินฝากธนาคารที่เป็นชื่อฝ่ายหญิงให้เป็นของฝ่ายหญิง 3.บัญชีเงินฝากธนาคารที่เป็นชื่อฝ่ายชายให้เป็นของฝ่ายชาย 4.ทอง ทองรูปพรรณ สร้อยแหวน นาฬิกา เครื่องประดับทั้งหมด ที่เป็นของฝ่ายหญิงให้เป็นของฝ่ายหญิง 5.ทองทองรูปพรรณ สร้อย แหวน นาฬิกา เครื่องประดับทั้งหมดที่เป็นของฝ่ายชายให้แบ่งกับฝ่ายหญิงคนละครึ่ง

6.แบ่งรถยนต์ให้ 4 คัน ได้แก่ยี่ห้อ โรลศ์-รอยซ์ 1 คัน ยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ 2 คัน โตโยต้า 1 คัน 7.ที่ดินเปล่าตามโฉนดเลขที่ 28439 ต.ปากคลอกอ.ถลาง จ.ภูเก็ต และสิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดินตามโฉนดเลขที่ 4958 แขวงตลาดบางเขนเขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ในส่วนที่เป็นของฝ่ายชาย ยกให้นางนุดีพร เพชรพนมพร (บุตรสาว)และให้ฝ่ายชายมีสิทธิ์พักอาศัยได้ 8.หนี้สินทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนจดทะเบียนหย่าให้ฝ่ายชายรับผิดชอบ และ

9.บ้านเลขที่ 19/199 แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพฯให้ฝ่ายมีสิทธิพักได้เป็นครั้งคราว ทั้งนี้หากมีการแบ่งทรัพย์สินนอกจากระบุไว้ในสัญญานี้ ให้ทำเป็นข้อตกลง และให้มีพยานรับรองส่วนการใช้คำนำหน้านาม ฝ่ายหญิงประสงค์ใช้คำนำหน้านามตามยศ/ฐานัดรศักดิ์เดิม โดยนายธวัชชัย ศิริสธนพันธ์ ผอ.สำนักตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินภาคการเมืองกล่าวว่า เป็นเพียงการตรวจสอบเบื้องต้นเท่านั้น ยังไม่ได้ตรวจสอบเชิงลึกว่า ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเพราะเหตุใด ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประชาที่ได้หย่ากับคู่สมรสแล้ว จึงไม่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินในส่วนของคู่สมรส ซึ่งกรณีนี้เราต้องตรวจสอบว่า เป็นการนำทรัพย์สินไปไว้กับภรรยาหรือไม่ด้วย “


ป.ป.ช. เปิดกรุ รบ.ยิ่งลักษณ์ ปลอดประสพ รวยสุด 966 ล.

ป.ป.ช. เปิดบัญชีทรัพย์สินครม.ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังพ้นตำแหน่งด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครบ 1 ปี โดยอดีตนายกฯทีทรัพย์สินเพิ่ม 38 ล้านบาท ขณะที่พลเอกประชา พรหมนอก มีทรัพย์สินลดลงกว่า 300 ล้านบาท

วันที่ 26 มิ.ย. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายหลังจากพ้นตำแหน่งรัฐมนตรี จากการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งกรณีโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ จำนวน 10 คน 13 ตำแหน่ง โดยพบว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินประมาณ 612 ล้านบาท หนี้สิน 33 ล้านบาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 579 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนเข้ารับตำแหน่ง นางสาว ยิ่งลักษณ์ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 38 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรัฐมนตรีที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากที่สุด นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง

ส่วนรัฐมนตรีที่มีทรัพย์สินมากที่สุด คือ นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 967 ล้านบาท หนี้สิน 1 ล้าน 6 แสนบาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 966 ล้านบาท รองลงมา คือ นางสาวยิ่งลักษณ์ และพลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม มีทรัพย์สิน 323 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน ส่วนรัฐมนตรีที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุด คือ นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีทรัพย์สิน 18 ล้านบาท หนี้สิน 3 ล้าน 7แสนบาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 14 ล้านบาท

สำหรับรัฐมนตรีที่มีทรัพย์สินลดลงมากที่สุด นับจากวันเข้ารับตำแหน่ง คือ พลเอกประชา พรหมนอก อดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีทรัพย์สินลดลง 319 ล้านบาท เนื่องจากหย่ากับคู่สมรสจึงไม่ต้องแสดงทรัพย์สินในส่วนนี้

นอกจากนี้ ยังเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 68 คน กรณีพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี โดย ผู้ที่มีทรัพย์สินมากที่สุด คือนายธันว์ ออสุวรรณ อดีตส.ว.ประจวบคีรีขันธ์ มีทรัพย์สิน 2,518 ล้านบาท หนี้สิน 7 ล้าน 1 แสนบาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 2,511 ล้านบาท น้อยที่สุด คือ นายสิริวัฒน์ ไกรสิทธุ์ อดีตส.ว.นครศรีธรรมราช มีทรัพย์สิน 39 ล้านบาท หนี้สิน 220 ล้านบาท มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน 220 ล้านบาท

สหรัฐรายงานสิทธิมนุษยชน ไทยโดนเน้นเหตุรัฐประหาร

เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2558 นายจอห์น แคร์รี รมว.การต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดแถลงรายงานการสำรวจและประเมินผลด้านสิทธิมนุษยชนของนานาประเทศทั่วโลก ประจำปี 2557 ว่า เข้าใจว่ารัฐบาลบางประเทศคงไม่พอใจรายงานฉบับนี้ ไม่เพียงแต่ประเทศที่มีปัญหาร้ายแรงอย่างเกาหลีเหนือ หรือซีเรีย แต่ยังหมายรวมถึงประเทศที่สหรัฐอเมริกาทำงานด้วยอย่างใกล้ชิด

"ผมขอพูดถึงเรื่องนี้อย่างนี้แล้วกัน เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ว่าถึงอย่างไรความจริงก็คือความจริง ไม่อาจกลบเกลื่อน ลบเลือนได้ แทนที่จะมามัวหักล้างคุณค่าและความน่าเชื่อถือของรายงาน ผมขอแนะนำถึงหัวหน้ารัฐบาลใดก็ตามที่ผิดหวังกับรายงานฉบับนี้ ขอให้เอาไปไตร่ตรองตรวจสอบตัวเองและดูสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศ พร้อมตระหนักว่าวิธีที่จะเปลี่ยนมุมมองและการตัดสินของโลกต่อประเทศตนได้ ก็คือการปรับเปลี่ยนในสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศนั่นเอง นี่เป็นคำแนะนำ ซึ่งสหรัฐเองก็ใช้กับประเทศเราเองด้วย

เมื่อสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องสำคัญ ก็เป็นเรื่องที่ทุกประเทศ รวมถึงสหรัฐต้องปรับปรุง ดังนั้นรายงานฉบับนี้ต้องการให้แต่ละรัฐบาลเคารพและให้เกียรติพลเมืองของตนเอง เพราะในรายงานฉบับนี้ ระบุถึงการจับกุมคุมขังนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน การที่นักข่าวถูกจับกุมเพียงเพราะรายงานความจริง เด็กและผู้หญิงถูกกีดกันไม่ให้ได้รับการศึกษา

รายงานฉบับนี้ยังขยายการสำรวจไปสู่เรื่องค้ามนุษย์ การกีดกันทางเพศ ปัญหาคอร์รัปชั่นและระบบราชการที่มีผลด้านลบต่อสิทธิมนุษยชน รวมไปถึงการก่อการร้ายที่ทำลายสิทธิมนุษยชน ตามที่ได้เห็นว่ากลุ่มไอเอสทำร้าย ทารุณ ลักพาตัว ตัดศีรษะ และเผาคนทั้งเป็น การเติบโตของไอเอสเป็นผลต่อเนื่องมาจากการสังหารทำลายล้างของรัฐบาลซีเรียและความล้มเหลวของระบบบริหารราชการในอิรัก"

นายแคร์รีเขียนในคำนำของรายงานฉบับนี้ด้วยว่า รัฐบาลในจีน อียิปต์ เอริเทรีย เอธิโอเปีย อิหร่าน รัสเซีย และซาอุดีอาระเบีย อยู่ในกลุ่มที่ยังปิดกั้นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน และการพัฒนาของสังคมพลเมือง ด้วยการจำคุกนักข่าว บล็อกเกอร์ และผู้วิจารณ์ที่ปราศจากความรุนแรง

ในประเทศไทย ทหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามวิถีประชาธิปไตย ฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ และจำกัดเสรีภาพของพลเมืองอย่างเข้มงวด จากนั้นมีความพยายามของรัฐบาลทหารที่ตามมาคือให้เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ด้วยการคัดเลือกกลุ่มการเมืองซึ่งเป็นที่รู้กันขึ้นมาใหม่ ทำให้เกิดข้อวิตกว่าจะไม่ครอบคลุมกลุ่มคนต่างๆ ในกระบวนการ"

นายแคร์รีกล่าวต่อว่า ในการเผชิญภาวะทั้งหมดนี้ เรายังเห็นถึงความมุ่งมั่นปรารถนาอย่างแรงกล้าให้เกิดเสรีภาพทางการเมือง รัฐบาลที่สุจริต ไม่กดขี่ ดังที่หลายๆ ประเทศทั่วโลก มีประชาชนออกไปเลือกผู้นำในการแข่งขันอย่างสูสีในสนามเลือกตั้งมากกว่าที่เคยเป็นมา

"จากการที่ผมเดินทางไปหลายประเทศ ผมได้พบบุคคลกล้าหาญที่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองในทุกๆ วัน เพื่อให้สิทธิมนุษยชนก้าวหน้าไปได้ พวกเขาลุยทั้งที่ถูกความรุนแรงคุกคาม และต้องเผชิญกับรัฐบาลที่พยายามกลบเสียงของพวกเขา ดังนั้นเราในกระทรวงการต่างประเทศจะเดินหน้ากดดันให้รัฐบาลนานาประเทศ ยึดถือในเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เราจะเป็นตัวแทนของสังคมพลเรือนที่จะพูดถึงการปกต้องสิทธิมนุษยชนสำหรับคนทุกคนต่อไป" รมว.ต่างประเทศสหรัฐกล่าวในตอนท้าย

สำหรับรายงานการศึกษาเจาะลึกสถานการณ์ในแต่ละประเทศที่เผยแพร่ในเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐนั้น ในส่วนของไทยมีความยาว 64 หน้า เริ่มจากบทสรุปสถานการณ์ในปี 2557 ที่เกิดเหตุรัฐประหาร ทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มาจากการเลือกตั้งและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมต้องถูกโค่นล้มไป

จากนั้นรายงานแบ่งเป็นหัวข้อต่างตามเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่่วงการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลพรรคเพื่อไทย การขัดขวางการเลือกตั้ง คดีลอบยิงและสังหารแกนนำคนเสื้อแดง นอกจากนี้ยังเกิดคดีการหายไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย การกักขังนักโทษทางการเมืองในคดีหมิ่นสถาบัน รวมไปถึงกรณีล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กและสตรี สถานการณ์แรงงานต่างด้าว เป็นต้น