ข่าว
มิเชลล์เตือน เข้าตรวจสอบใบอนุญาตร้านค้า

มิเชลล์ ปาร์ค สตีล รองประธานคณะกรรมาธิการภาษีของรัฐแคลิฟอร์เนีย เตือนให้เจ้าของธุรกิจในเขตเมืองด้านล่างนี้ ซึงมีธุรกิจไทยถึงการเข้าตรวจสอบใบอนุญาตต่างๆมากกว่า 19, 000 แห่งจากหน่วยเฉพาะกิจ (S.C.O.P. – Statewide Compliance and Outreach Program) ของเสตทบอร์ดออฟอีควอไรเซชั่น (State Board of Equalization) ซึ่งจะเข้าตรวจสอบธุรกิจทุกแห่งจาก 22 Zip Codes ดังนี้:


- Riverside 92504
- Santa Ana 92704
- Newport Beach 92663
- San Diego 92108
- National City 91950
- El Dorado Hills 95762
- El Dorado 95623
- Placerville 95667
- Camino 95709
- Cabazon 92230
- San Francisco 94110
- Menlo Park 94025
- Pollock Pines 95726
- Shingle Springs 95682
- Sunnyvale 94086
- Santa Maria 93454
- Scotts Valley 95066
- La Canada Flintridge 91011
- Quail Valley 92587
- Whitewater 92282
- Hemet 92545
- Julian 92036

ทั้งนี้ทางสำนักงานเสตทบอร์ดได้ส่งจดหมายแจ้งล่วงหน้าให้ธุรกิจในเขตดังกล่าวกว่า 19,071 ฉบับทราบถึงการเข้าตรวจสอบในครั้งนี้ หน่วยเฉพาะกิจนี้ตั้งขึ้นในเดือนกันยายน 2008 และได้เข้าตรวจธุรกิจกว่า 330,000 แห่งในจุดประสงค์ที่ต้องการเห็นธุรกิจต่างๆ มีใบอนุญาตที่ถูกต้อง โดยการเข้าตรวจสอบแบบเหวี่ยงแหไปทุกธุรกิจและตรวจสอบถึงการชำระภาษีว่า ได้เสียถูกต้องตรงกับความจริงหรือเปล่า

คุณมิเชลล์จึงอยากจะแจ้งให้เจ้าของธุรกิจในเขตดังกล่าวทราบล่วงหน้า เจ้าหน้าที่จะตรวจใบอนุญาตต่างๆ เช่น Seller’s Permit/ABC License/Cigarette License/ City Business License ซึ่งเจ้าของร้านควรจะติดไว้ให้เจ้าหน้าที่เห็นอย่างชัดเจน ถ้ามี การสอบถามอะไรเพิ่มเติม ก็ควรจะพูดคุยกับเจ้าของกิจการเท่านั้น เพราะมีหลายกรณีที่เจ้าหน้าที่มักจะสอบ ถามกับผู้จัดการร้านหรือคนเสิร์ฟเพื่อหาข้อมูล เป็นเหตุผลในการตรวจสอบภาษีย้อนหลังในภายหลัง (Full Audit) ซึ่งคุณ มิเชลล์ไม่เห็นด้วยจากการหารายได้เพิ่มของรัฐแบบนี้

ถ้าท่านมีปัญหากับเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ประพฤติไม่สุภาพ ก็ขอให้แจ้งหัวหน้าชุดเฉพาะกิจในเขตของท่าน ที่เบอร์โทรศัพท์ดังนี้ 800-400-7115 หรือติดต่อกับสำนักงานของมิเชลล์ผ่านคุณ คิด ฉัตรประภาชัย ที่เบอร์โทรศัพท์ (310)377-8016 ได้

หน่วยเฉพาะกิจนี้จะเป็นหน่วยทดสอบ ซึ่งจากการประเมินของเสตทบอร์ดคาดว่า จะมีการหนีภาษีถึง 2 พันล้านเหรียญ (2 Billion) ซึ่งเป็นความแตกต่างจากภาษีที่รัฐควรจะเก็บได้กับภาษีที่รัฐได้รับจากเจ้าของ ธุรกิจ


คิด ฉัตรประภาชัย รายงาน
‘โอบาม่า'พลาดไป5ข้อ ทำให้แพ้ดีเบต’รอมนีย์’

ที่ปรึกษาชี้ โอบาม่า ผิดพลาดถึง 5 ข้อ ทำให้พ่ายแพ้ดีเบตยกแรก ขณะที่ 'โอบาม่า' เดินหน้าหาเสียงโจมตี 'รอมนีย์' ว่าไม่ซื่อสัตย์โกหกเรื่องแผนลดภาษี ด้านสำนักวิจัยเรตติ้งชื่อดังชี้มีคนดูถ่ายทอดดีเบตกว่า 67 ล้านคน

5 ต.ค. 55 บรรดาที่ปรึกษาของประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ซึ่งตกเป็นรองนายมิตต์ รอมนีย์ ผู้ท้าชิงจากพรรครีพับลีกัน ในการประชันวิสัยทัศน์ ยกแรกของการดีเบต เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ต่างลงความเห็นว่า นายรอมนีย์ อดีตผู้ว่าการรัฐแมทซาจูเสตส์ ใช้การบิดเบือนความจริงเป็นอาวุุธ แต่ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโอบาม่า กลับไม่สามารถเรียกความสนใจจากผู้ชมได้ ในระหว่างการดีเบท มิหนำซ้ำยังแสดงท่าที่ที่ไขว้เขวและขาดสมาธิเองเสียด้วย

มีเหตุผล 5 ข้อ ที่ทำให้ประธานาธิบดีโอบาม่า ตกอยู่ในสภาพที่ " ไปไม่เป็น " ในการดีเบทครั้งนี้

ข้อแรกคือ เขาติดภาพลักษณ์ของผู้ชายแสนดี ( His nice-guy image) ทีมงานเชื่้อว่า โอบาม่ามีสิ่งที่มีค่าที่สุดในตัวของเขาคือ ความน่ารักน่าคบหา และต้องการให้โอบาม่ารักษาภาพลักษณ์

ตรงนี้เอาไว้ โดยเชื่อว่า ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ไม่ต้องการเห็นเขาทำสงครามน้ำลายกับนายรอมนีย์ ซึ่งหมายถึงว่า เขาก้าวข้ามโอกาสในการเปิดฉากโจมตีนายรอมนีย์ และพลาดการปกป้องผลงานของตัวเอง และไม่ได้รุกตามแคมเปญของตัวเอง ที่ตราหน้านายรอมนีย์ว่า บิดเบือน เพื่อจะรักษาภาพของผู้ชายที่แสนดีต่อไป แต่ตัวเขาก็หาทางลงไม่ได้เช่นกัน

ข้อที่สองคือ ความผิดพลาดในการประเมินสถานที่ (Misjudging the room) ทีมงานของโอบาม่า คิดว่านี่ไม่ใช่แค่การดีเบท แต่เป็นโอกาสแบบเดียวกับการแสดงวิสัยทัศน์ในที่ประชุมแห่งชาติของพรรคเดโมแครต เป็นการหาเสียงโดยตรงกับคนทางบ้าน ไม่ใช่คนที่ร่วมรับฟังในห้องที่จัดการดีเบท ผู้ชมในสถานที่ก็เลยจับได้ว่า ประธานาธิบดีเอาแต่มองกล้องเวลาถ่ายทอดคำพูดออกไป แต่ความจริงแล้ว การดีเบท ยังมีคนเกี่ยวข้องอีกอย่างน้อย 2 คน คือ ผู้ท้าชิงอย่างรอมนีย์และผู้ดำเนินรายการ คือ จิม แลห์เรอร์ ซึ่งการมองข้ามสองคนนี้ไป ก็เลยกลายเป็นเขาไม่ได้นำพาหรือสนใจสองคนนี้ และแน่นอนว่า ความรู้สึกนี้มันจะถ่ายทอดไปถึงคนที่ดูอยู่ทางบ้านด้วย

ข้อที่สามคือ (Not enough prep) ไม่มีการเตรียมการที่ดีพอ โอบาม่าจัดการประชุมเชิงยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการดีเบทมากกว่าการจัดดีเบทเลียนแบบของจริง ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า เป็นเพราะเขาหาเวลาในการเตรียมตัวได้ยากเต็มที ในเมื่อเขาอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี ไม่ใช่ผู้ท้าชิง แต่ถ้าต้องการแก้ตัว เขาก็ต้องหาเวลา เป็นที่รู้กันดีว่า เขามีพรสวรรค์ในการพูด ซึ่งแหล่งข่าวบอกว่า มันเลยทำให้เขาไม่ค่อยจะยอมฟังความแนะนำของคู่ฝึกสักเท่าไหร่ เพราะเขาชื่อว่า เขามีความสามารถในชั้นเชิงการพูดที่เหนือกว่าใคร เขารู้ไปหมดทั้งวิธีการพูด และอะไรที่จะพูดออกมา

ข้อที่สี่ คือ โรคยึดติดตำแหน่ง (Incumbency syndrome) นั่นคือ การไม่อยากขึ้นเวทีดีเบท เพราะมันชัดเจนว่า เขาซึ่งเป็นประธานาธิบดีอยู่แล้ว ต้องมาแสดงวิสัยทัศน์อีก มันทำให้เขาอึดอัด ซึ่งไม่แตกต่างจากประธานาธิบดีที่อยู่ในตำแหน่งคนอื่น ๆ รวมทั้ง จอร์จ ดับเบิลยู บุช เมื่อปี 2004 ด้วย ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่า ถ้าประธานาธิบดีคนไหนต้องรับมือกับปัญหาภายในประเทศ และทั่วโลกมากเกินไป เขาก็ย่อมจะถูกระดมยิงด้วยคำถามเกี่ยวกับคำสัญญาที่ให้ไว้เมื่อครั้งหาเสียงเป็นธรรมดา จนนำไปสู่การพ่ายแพ้การดีเบทครั้งแรกเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

ข้อที่ห้า คือ ไม่ยอมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ( Doesn't take criticism well) โอบาม่าไม่มีความอดทนฟังเหล่าที่ปรึกษาที่พยายามแนะนำสไตล์การพูดที่จะช่วยทำคะแนน ตอนที่อัล กอร์

ถอนใจระหว่างการดีเบท เมื่อปี 2000 ได้พิสูจน์ให้เห็นอากัปกิริยาของเขา เมื่อรู้สึกว่า สิ่งที่เขาไม่พูดกลับมีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่เขาพูด

แหล่งข่าว เปิดเผยว่า ในระหว่างการเตรียมสู้ศึกดีเบท มีเพียงคนวงในใกล้ชิดประธานาธิบดีเท่านั้น ที่สามารถตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์ได้ หลังจากเขาจำลองการดีเบท และตามด้วยการไปต่อไม่ได้ เมื่อประธานาธิบดีหมดความอดทน ซึ่งเป็นไปได้ว่า คราวหน้า พวกเขาอาจต้องเอาเทปการดีเบทเมื่อวันพุธมาให้ดูว่า โอบาม่าเผลอจ้องและทำหน้าตาบูดบึ้งขนาดไหน ตอนที่ฟังคำตอบของรอมนีย์ และปล่อยให้เขาวิจารณ์ตัวเองเสียบ้าง ก่อนจะไปขึ้นเวทีดีเบทครั้งต่อไปที่มหาวิทยาลัยฮอฟสตร้า เฮมพ์สตีด รัฐนิวยอร์ค

ยังมีอีกสามสิ่้ง ที่เป็นเงาตามติดโอบาม่า นั่นคือ เขาเป็นนักสู้ที่น่ากลัว , เกลียดการพ่ายแพ้และมีวินัย หลังจากประสบการณ์เมื่อคืนวันพุธ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาจะปรับปรุงตัว และพร้อมที่จะแสดงออกในรูปแบบที่แตกต่างออกไปในการดีเบทยกสอง ที่รวมถึงการลดความขมึงทึงลง แต่ก็ต้องหลีกเลี่ยงที่จะเป็นแบบเดียวกับอัล กอร์ เมื่อปี 2000 กอร์ดูเรื่อยเฉื่อยเกินไปในการดีเบทครั้งหนึ่ง อีกครั้่งหนึ่งก็ระวังความผิดพลาดมากเกินไป และอีกครั้งก็ดูบุกตะลุยเกินไป ซึ่งหลายฝ่ายกำลังจับตามองว่า ครั้งต่อไปโอบาม่าจะแก้ตัวได้หรือไม่

ฟื้นสภาพป้ายสัญลักษณ์ 'ฮอลลีวู้ด'

คนทั่วโลกจะรู้จักชื่อ "ฮอลลีวู้ด" ในฐานะอุตสาหกรรมผลิตภาพยนตร์อันดับหนึ่งของโลก ที่สร้างภาพยนตร์ยอดนิยมระดับโลกตั้งแต่อดีตเกือบหนึ่งศตวรรษ โดยมีฐานกำเนิดในสหรัฐอเมริกาเพียงเท่านั้น และมีป้ายอักษรคำว่า "ฮอลลีวู้ด" เป็นสัญลักษณ์ตั้งตระหง่านบนยอดเขาสูงในรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ใครจะรู้บ้างว่า แท้จริงแล้ว ป้ายอักษรที่เห็นนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เข้ามาตั้งฐานในเขตฮอลลีวู้ด รัฐแคลิฟอร์เนียแม้แต่น้อย แต่ถูกเหมารวมไปอยู่ในวงการมายาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ป้ายอักษรขนาดยักษ์สูงเกือบ 14 เมตร จำนวน 9 ตัว ที่เรียงเป็นคำว่า ฮอลลีวู้ด บนเนินเขาฮอลลีวู้ด ถูกสร้างขึ้นในปี 2466 โดยมีตัวอักษรเรียงเป็นคำว่า ฮอลลีวู้ดแลนด์ ซึ่งเป็นชื่อของโครงการบ้านจัดสรรในย่านฮอลลีวู้ด และแต่แรกเจ้าของโครงการมีความตั้งใจว่าจะตั้งป้ายโฆษณานี้ไว้เพียง 1 ปีเศษ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีการปลดป้ายนี้ลงมาแต่อย่างใด

จนเมื่อปี 2492 เจ้าของป้ายก็ได้ลดตัวอักษรลงมาเหลือเพียงคำว่า ฮอลลีวู้ด ดังที่เห็นอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ และได้ทาสีป้ายนี้ใหม่เพื่อฟื้นความสดใสของป้ายให้กลับมาอีกครั้ง

ด้วยความคุ้นตาของผู้ที่อยู่ในย่านฮอลลีวู้ด และนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปเยี่ยมชมกองถ่ายภาพยนตร์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เลยมีการคิดไปว่า ป้ายอักษรทั้ง 9 ตัวนี้คือเป็นผลงานของสตูดิโอผู้ผลิตภาพยนตร์จัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในเขตฮอลลีวู้ด และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ความฝันและชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์ของสหรัฐ รวมทั้งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก

ในวาระที่ป้ายอักษรสัญลักษณ์ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และความฝันของคนทั่วโลกจะมีอายุครบ 90 ปี ในปี 2556 องค์กรฮอลลีวู้ด ไซน์ ทรัสต์ และนายคาร์ลอส เปไรร่า ช่างทาสี จึงมีความคิดที่จะทาสีป้ายฮอลลีวู้ดให้มีความสดใสอีกครั้ง เพื่อรับกับโอกาสพิเศษแห่งการเฉลิมฉลองอายุ 9 ทศวรรษของป้ายอักษรโลหะขนาดยักษ์ที่เป็นมากกว่าป้ายชุดนี้

ในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ คนงานเริ่มเตรียมการทาสีป้ายตัวอักษรขนาดยักษ์สูงเกือบ 14 เมตร บนเนินเขาฮอลลีวู้ดเมื่อวาน หลังจากสีเริ่มหลุดล่อน โดยจะปลดตัวอักษรลงมาทาสีขาวตามเดิมให้ดูสดใสอีกครั้ง คาดว่าจะต้องใช้สีมากถึง 1,133 กก.และอาจใช้เวลา 8-10 สัปดาห์ตั้งแต่แรกเริ่มปลดตัวอักษรจนถึงทาสีเสร็จ โดยใช้งบประมาณกว่า 5 ล้าน 4 แสนบาท ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นค่าสี และที่เหลือเป็นเงินค่าอนุญาตติดตั้งป้ายดังกล่าว

งานทาสีป้ายนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนงานต้องปีนหน้าผาที่มีช่องทางเดินแคบๆ ทุกวัน เพื่อไปยังจุดที่ตั้งป้าย

แต่เพื่อรักษาความหวังและความฝันของผู้คนในวงการมายาฮอลลีวู้ดให้ยั่งยืนต่อไป คนงานเหล่านี้ก็ยอมทำงานเสี่ยงๆ เช่นนี้จนแล้วเสร็จ