ธนาธร – การเมืองมีสองเรื่องใหญ่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ทั้งสองเรื่องมีส่วนเชื่อมโยงถึงกัน และยังเป็นตัวชี้ขาดสำคัญถึงโฉมหน้ารัฐบาล-นายกรัฐมนตรีคนใหม่
เรื่องแรก กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่โดนฝ่ายกฎหมาย คสช.แจ้งความเอาผิด 3 ข้อหาร้ายแรง ต้องถูกส่งตัวขึ้นศาลทหาร
เรื่องที่สอง กรณีสูตรคำนวณส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งเป็นประเด็นเห็นต่าง ถกเถียงกันมาร่วมสองสัปดาห์แต่ก็ยังไม่ได้ข้อยุติ ที่บอกทั้งสองเรื่องเชื่อมโยงกัน
เพราะสังคมส่วนใหญ่เชื่อว่า การตั้ง 3 ข้อหาร้ายแรงกับ “ธนาธร” หัวหน้าพรรคใหญ่อันดับ 3 นั้น น่าจะมีผู้เจตนาป่วนพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ให้ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้
ควบคู่ไปกับความพยายามเล่นแร่แปรธาตุสูตรคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เป้าหมายก็เพื่อลดทอนเสียงฝ่ายหนึ่ง แล้วเพิ่มเสียงให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง
เกี่ยวกับสูตรคำนวณส.ส. แม่น้ำ 5 สาย อาทิ กรธ. สนช. มีความเห็นโน้มเอียงไปทางกกต. ที่ตั้งท่าเตรียมแจก เก้าอี้ส.ส.ให้พรรคใหญ่น้อยรวมกัน 25 พรรค และทำให้ว่าที่ส.ส.อนาคตใหม่หายไป 7 ที่นั่ง
ซึ่งพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ ประชา ธิปัตย์ และนักวิชาการหลายคนไม่เห็นด้วย ให้ความเห็นโต้แย้งพร้อมแสดง วิธีคำนวณตามกฎหมายเลือกตั้งส.ส. ว่าหากทำอย่างถูกวิธีแล้ว
พรรคที่ได้ส.ส.จะมีเพียง 16 พรรค
เมื่อสัปดาห์ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. พูดถึงเรื่องกฎหมาย บอกว่าคนที่ “ซิกแซ็ก” กฎหมายอย่างนี้เรียกว่า “คนเลว”
ทั้งกรณีธนาธร ที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามปัดฝุ่นคดีเก่าเมื่อ 4 ปีก่อนขึ้นมาแจ้งความนำตัวขึ้นศาลทหาร และในกรณีสูตรคำนวณหาส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์
ใครซิกแซ็กกฎหมาย ใครรู้เห็น เป็นใจ ไม่ต้องพูดชื่อ ก็คาดเดาได้ไม่ยาก
วันที่ 12 เม.ย. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีวิธีคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อว่า เป็นเรื่องประหลาดที่สุด กกต.จัดการเลือกตั้งโดยไม่รู้วิธีคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อได้อย่างไร และยังมีความพยายามไปถามความเห็นทั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และล่าสุดที่ส่งเรื่องไปถามศาลรัฐธรรมนูญท่ามกลางความเห็นต่างของทุกฝ่าย ทั้งนี้เมื่อกรรมการไม่รู้กติกามาตั้งแต่ต้น แต่กลับมาทำหน้าที่ตัดสิน จึงถือเป็นเรื่องประหลาด ไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน
ดังนั้นต้องถือว่า กกต.ได้หมดสภาพในการทำหน้าที่ต่อไปแล้ว และการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นซึ่งมีแต่ข้อกังขาถึงความบริสุทธิ์ยุติธรรมและความเที่ยงธรรม เริ่มตั้งแต่การนับคะแนนซึ่งเป็นเรื่องง่ายสุดกลับใช้เวลาถึง 4 วัน ส่วนตัวเลขผู้ใช้สิทธิก็เพิ่มขึ้นกว่า 4 ล้านคน ผลลัพธ์ของตัวเลขที่ไม่เท่ากัน ถือเป็นการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย เมื่อเป็นเช่นนี้ตนเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ควรเป็นโมฆะ ไม่ควรเดินหน้าต่อไปแล้ว
11 เม.ย. 62 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจพ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ใจความว่า
มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลตำรวจโท สุรเชษฐ์ หักพาล ข้าราชการตำรวจ ซึ่งโอนมาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี(นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๒
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะโฆษกฝ่ายความมั่นคง เปิดเผยว่า หลังมีคำสั่งปรับย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ปรากฏความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลที่เผยแพร่ และส่งต่อภาพและข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยพยายามบิดเบือน เชื่อมโยงกล่าวหาให้ร้าย พาดพิง ไปยังบุคคลต่างๆ ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อีกทั้งยังปล่อยข้อมูลเท็จ ยั่วยุ ปลุกปั่นให้สังคมแตกแยก ตามที่มีปรากฏในสื่อโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่องนั้น
พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า ฝ่ายความมั่นคงกำลังติดตาม และจับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลดังกล่าว และขอเตือนให้หยุดการกระทำที่ผิดกฎหมาย เข้าข่ายฐานความผิดนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ รวมทั้งเผยแพร่และส่งต่อข้อมูลเท็จโดยรู้อยู่แล้ว ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 และเข้าข่ายการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับ
พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่สังคมกำลังประสบกับปัญหากับข่าวปลอม (Fake News) ขอให้ประชาชนหนักแน่น ร่วมเรียนรู้และรับมือกับปัญหาดังกล่าวไปด้วยกัน โดยใช้วิจารณญาณแยกแยะข่าวสารที่ได้รับ ไม่ตื่นตระหนก หากสงสัยให้ตรวจสอบข้อมูลจากภาครัฐและแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือ โดยไม่ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี ด้วยการแชร์หรือส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือแสดงความคิดเห็นผ่านระบบคอมพิวเตอร์จากข้อมูลไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจตกเป็นผู้กระทำความผิดตามกฎหมายดังกล่าวเสียเอง
“ขอความร่วมมือสื่อมวลชน ได้ทำหน้าที่เป็นช่องทางสื่อสารหลักกับประชาชน ด้วยการตรวจสอบและให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ครบถ้วนกับประชาชน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติเป็นหลัก เพื่อมิให้เกิดปัญหาดังเช่นอดีต ที่เราต่างมีบทเรียนร่วมกันอีก”พล.ท.คงชีพ กล่าว
ทีมประชาสัมพันธ์พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เปิดเผยว่า จากกรณี น.ส.สาวิกา ลิมปะสุวัณณะ ผู้สมัคร ส.ส. นครปฐม เขต 1 พรรคอนาคตใหม่ ยื่นหนังสือให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รวมคะแนนและนับคะแนนใหม่ หลังขอดูคะแนนทุกหน่วยและลองรวมคะแนนด้วยตนเอง พบว่ามีคะแนนเพิ่มขึ้นจากที่มีการประกาศผลเดิม 151 คะแนน รวมเป็น 35,766 คะแนน ขณะที่คะแนนของผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มีคะแนนเท่ากับที่ประกาศผลคือ 35,762 คะแนน ซึ่งเท่ากับว่าพรรคอนาคตใหม่พลิกกลับมาชนะการเลือกตั้ง 4 คะแนน โดยได้ยื่นหนังสือร้องไปเมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา
ล่าสุด กกต. พิจารณา มีหนังสือตอบกลับ น.ส.สาวิกา เรื่องขอเชิญไปให้ถ้อยคำประกอบคำร้อง โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า กกต.พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณา จึงขอให้ท่านไปให้ถ้อยคำประกอบคำร้องกับ ร.ต.อ.มนูญ วิเชียรนิตย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสนับสนุนงานสืบสวนสอบสวน ในวันที่ 17 เม.ย. 2562 เวลา 10.00 น. ที่สำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ
ด้าน น.ส.สาวิกากล่าวว่า ต้องขอขอบคุณ กกต. และเป็นกำลังใจให้ในการทำงาน เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงความบริสุทธิ์โปร่งใสในการเลือกตั้งครั้งนี้ ตลอดระยะเวลาทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีอุปสรรคเกิดขึ้นในพื้นที่บ้าง แต่ก็ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ส่วนกลางและ กกต. นครปฐม มาเป็นอย่างดีโดยตลอด ยังเชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่ทุกท่านปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์ และจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและชี้แจงกรณีที่ได้ยื่นคำร้องนี้ในเร็ววัน ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกคนในการปฏิบัติงาน
ปิยบุตร ตีแผ่โลกออนไลน์ ถูก คสช.ฟ้องร้องดำเนินคดี 2 ข้อหา ทั้งดูหมิ่นศาล และ ผิดพ.ร.บ.คอมพ์ฯ ชี้จากปมอ่านแถลงการณ์ยุบพรรคไทยรักษาชาติ ลั่นไม่ได้ทำอะไรผิด
นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เขียนข้อความผ่านเฟซบุกส่วนตัว พร้อมกับระบุว่าได้ถูกดำเนินคดีจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 2 คดี พร้อมกับเขียนหัวข้อข้อความว่า "จากหมายเรียกพยานกลายเป็นหมายเรียกผู้ต้องหา" ซึ่งข้อความที่นายปิยบุตรเขียนผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า...
"เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา ผมได้รับ “หมายเรียกพยาน” จากกรณีอ่านคำแถลงการณ์พรรคอนาคตใหม่กรณีการยุบพรรคไทยรักษาชาติ โดยให้ผมไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันเดียวกันกับวันที่ได้รับหมาย ทำให้ผมไม่สามารถเดินทางไปได้ตามกำหนด จึงได้ให้ทนายความขอเลื่อนการเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจออกไป
มาในวันนี้ “หมายเรียกพยาน” ดังกล่าวได้ กลายเป็น “หมายเรียกผู้ต้องหา” แทนแล้ว
พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ รับมอบอำนาจจาก คสช. ไปร้องทุกข์กล่าวโทษผมต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในความผิดอาญา 2 ฐาน ได้แก่ 1. ดูหมิ่นศาล และ 2. นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยน่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หรือเกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชนตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์
โดยหมายเรียกผู้ต้องหาออกวันที่ 5 เมษายน 2562 (สองวันให้หลังจากวันที่ผมได้รับหมายเรียกพยานและขอเลื่อนนัด) และให้ผมไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันที่ 9 เมษายน 2562
เนื่องจากผมเดินทางมาเยี่ยมภรรยาที่ต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน จึงไม่สามารถไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ และผมได้ให้ทนายความขอเลื่อนนัดเป็นวันที่ 17 เมษายน แทนแล้ว
ผมยืนยันว่าวันที่ 17 เมษายนนี้ ผมจะเดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ ปอท. แน่นอน ผมมั่นใจว่าในแถลงการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ที่ผมอ่านนั้น ไม่มีข้อความใดที่เข้าข่ายความผิดตามที่ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ และ คสช. กล่าวหา
ไม่มีเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น = ไม่มีประชาธิปไตย"
นอกจากนี้ นายปิยบุตร ยังได้ยกเอาวลีเด็ดจากบทประพันธ์สุขนาฏกรรม Le Mariage de Figaro ที่ว่า ปราศจากเสรีภาพในการตำหนิติเตียน ก็ไม่มีซึ่งคำสรรเสริญเยินยอ" แนบเอาไว้ตอนท้ายด้วย
อนาคตใหม่ – ผลเลือกตั้ง ที่พรรคอนาคตใหม่ได้ส.ส.ทั้งแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อรวมแล้วถึงกว่า 80 เสียง เข้ามาเป็นอันดับ 3 ต่อจากพรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐ เป็นปรากฏการณ์สำคัญของการเมืองไทยในยุคปี 2562 จริงๆ
เป็นพรรคที่เพิ่งตั้งใหม่ นำเสนอแนวคิดแหลมคม ผลักดันการเปลี่ยนแปลงการเมืองในทางโครงสร้างอย่างเป็นระบบ เพื่อยกระดับไปสู่คุณภาพ
มีอายุเพียงไม่กี่เดือน กลับประสบความสำเร็จอย่างมาก ได้รับคะแนนจากประชาชนอย่างพุ่งทะยาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงคนรุ่นใหม่วัยเรียนและวัยทำงานที่มากันอย่างถล่มทลาย
ขณะที่พรรคเกิดใหม่อีกพรรคคือ พลังประชารัฐ ซึ่ง ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ขึ้นไล่บี้กับเพื่อไทย แชมป์เก่าได้อย่างสูสี
แต่พรรคเกิดใหม่ทั้ง 2 พรรคนี้ เป็นพรรค เกิดใหม่แบบคนละโลก!!
พรรคหนึ่งเกิดในตระกูลสูงศักดิ์ แถมมีกลไกราชการ กองทัพ เพียบพร้อมรอบด้าน มีรัฐธรรมนูญที่ดีไซน์ ให้อีกต่างหาก
ที่สำคัญระดมนักการเมืองรุ่นเก่าเข้ามาเต็มอัตรา เพื่อ หวังผลชนะเลือกตั้งให้ได้มากที่สุด
ส่วนอนาคตใหม่ คือ มาแบบมือว่างเปล่า ขายไอเดีย อุดมการณ์ เสนอเป้าหมายสร้างการเมืองไปสู่สิ่งใหม่
ระดมคนหนุ่มสาวไฟแรงเข้ามา ไม่ได้วางเป้าหมายชนะเลือกตั้งให้มากมาย แต่เป้าหมายคือสร้าง ความคิดใหม่ให้ได้!
การประสบความสำเร็จของพรรคใหม่พลังประชารัฐ ไม่ใช่เรื่องเกินคาด และรู้ได้ไม่ยากว่าชนะมากด้วยอะไร
ส่วนความสำเร็จของพรรคธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สะท้อนถึงความต้องการของประชาชนเพื่อเปลี่ยนการเมืองไทยอย่างชัดเจน
ทุกฝ่ายในวงการเมือง ยอมรับว่า ความสำเร็จของอนาคตใหม่ในการเลือกตั้ง เป็นนิมิตหมายอันดีว่า การเมืองไทยมีโอกาสจะหลุดพ้นจากวงจรน้ำเน่าได้
กระทั่งเป็นเสียงเตือนถึงพรรคการเมืองทุกพรรค ต้องเริ่มหันมามองทิศทางของการเมืองไทย ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว ประชาชนผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง จำนวนหลายล้าน ตัดสินใจเลือกพรรคด้วยอุดมการณ์อย่างจริงจังแล้ว
ที่น่าสนใจอีกอย่าง การแถลงจุดยืนทางการเมืองหลังรู้ผลเลือกตั้งของพรรคอนาคตใหม่
ได้นำเสนอจุดยืนทางการเมืองที่หนักแน่นชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
ชูหลักการมั่นคง
พรรคที่ได้ส.ส.อันดับ 1 เป็นแกนนำ
โหมข้อเสนอส.ส.ควรร่วมมือกันเพื่อหยุดเสียง 250 ส.ว.
แม้จะเป็นพรรคการเมืองใหม่ แต่สถานะรวมทั้งกระแสของธนาธรที่มาแรงสุดขีด
กลายเป็นเสียงเรียกร้องที่ทำเอาพรรคสายคสช.ต้องหนักใจไม่น้อยเลย!
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012