เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 6.1 แมกนิจูด ขึ้นบริเวณพรมแดนประเทศเมียนมาติดกับอินเดีย ในช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ เบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหาย
ศูนย์แผ่นดินไหววิทยาแห่งชาติของอินเดียระบุว่าแผ่นดินไหวเกิดลึกลงไปใต้ดินเพียง 12 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากเมืองไอซอล ในรัฐมิโซรัม ทางตอนเหนือของอินเดีย ไปราว 140 กม.
ด้านศูนย์แผ่นดินไหววิทยายุโรป-เมดิเตอร์เรเนียน (อีเอ็มเอสซี) ระบุแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวครั้งนี้รู้สึกได้ถึงเมืองจิตตะกอง ในประเทศบังกลาเทศ และยังส่งแรงสั่นสะเทือนไปไกลถึงเมืองโกลกาตา ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ที่อยู่ห่างจากเมืองไอซอล ไปไกลถึง 450.62 กิโลเมตรด้วย
อีเอ็มเอสซีและศูนย์แผ่นดินไหววิทยาแห่งชาติอินเดียระบุด้วยว่าแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนไปทั่วรัฐต่างๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ตลอดจนหลายเมืองใหญ่ของบังกลาเทศ
รัฐบาลอินเดียยกระดับทันที สั่งทางการทุกรัฐตรวจหาเชื้อโควิด-19 ผู้เดินทางมาจากทวีปแอฟริกา เข้มข้นกว่าเดิม หวังพยายามสกัดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่สุดอันตราย B.1.1.529
เมื่อ 26 พ.ย. 64 กระทรวงสาธารณสุขอินเดียออกคำแนะนำไปยังทางการทุกรัฐในประเทศ ยกระดับมาตรการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และตรวจคัดกรองผู้เดินทางจากทวีปแอฟริกาเข้มงวดกว่าเดิมทันที หลังจากนักวิทย์ทั่วโลกประสานเสียงเตือนเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 สุดอันตรายจากแอฟริกา เนื่องจากได้เกิดการกลายพันธุ์กว่า 30 ตำแหน่ง มากที่สุดนับตั้งแต่เคยพบเห็นมา
กระทรวงสาธารณสุขอินเดีย ซึ่งได้คลายมาตรการควบคุมการระบาดของเชื้อโควิด-19 บางเรื่องเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา หลังผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ระบาดหนักในประเทศ ระบุด้วยว่า รายงานการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 มีความเกี่ยวข้องต่อสาธารณสุขอย่างรุนแรง
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหราชอาณาจักรถือเป็นชาติแรกที่ออกคำสั่งใช้มาตรการสกัดกั้นเชื้อโควิดสายพันธุ์สุดอันตราย B.1.1.529 ด้วยการประกาศระงับเที่ยวบินจาก 6 ประเทศในทวีปแอฟริกา ได้แก่ แอฟริกาใต้, นามิเบีย, ซิมบับเว, บอตสวานา, เลโซโท และเอสวาตินี ตั้งแต่เที่ยงวันวันศุกร์นี้ (26 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่นเป็นต้นไป
นายซาจิด จาวิด รมว.สาธารณสุขสหราชอาณาจักรซึ่งออกมาแถลงในเรื่องนี้ด้วยความกังวล ระบุว่าขณะนี้ ยังไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 ในสหราชอาณาจักร แต่ทุกคนที่เดินทางกลับมาจากประเทศแอฟริกาใต้ในช่วง 10 วันที่ผ่านมาจะถูกเจ้าหน้าที่แจ้งติดต่อเพื่อขอให้มาตรวจหาเชื้อโควิด-19 หลังจากที่ผ่านมา ปกติแล้ว มีผู้เดินทางมาจากแอฟริกาใต้เข้ามาในสหราชอาณาจักรเฉลี่ยแล้ววันละประมาณ 500-700 คน
ส่วนรัฐบาลอิสราเอลถือเป็นชาติแรกที่ดำเนินมาตรการสกัดกั้นโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 ตามรัฐบาลสหราชอาณาจักรทันที โดยประกาศขึ้น “บัญชีแดง” ห้ามเที่ยวบินจาก 6 ประเทศในทวีปแอฟริกาเข้ามาในอิสราเอลแล้ว
ที่มา : economictimes
ทางการสิงคโปร์ประกาศเพิ่มมาตรการคุมเข้มนักเดินทางที่มาจาก 7 ชาติแอฟริกา หวั่นนำเข้าเชื้อโควิดกลายพันธุ์ตัวใหม่
หลังจากผู้เชี่ยวชาญออกมาแสดงความกังวล เรื่องไวรัสโควิด-19 สายพันธ์ุใหม่ซึ่งพบครั้งแรกในประเทศบอตสวานา และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า B.1.1.529 เนื่องจากมันมีการกลายพันธ์ุถึง 50 ตำแหน่ง ซึ่งอาจทำให้เชื้อมีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันได้
ล่าสุดทางการสิงคโปร์เป็นอีกชาติที่มีความเคลื่อนไหวคุมเข้มการเดินทางจากชาติในแอฟริกาซึ่งเป็นแหล่งที่พบเชื้อตัวดังกล่าว โดยจะมีคำสั่งคุมเข้มห้ามการเดินทางเข้าประเทศ รวมทั้งไม่อนุญาตให้มาเปลี่ยนเครื่องที่สิงคโปร์ กับนักเดินทางที่มาจาก 7 ประเทศของทวีปแอฟริกาตั้งแต่ 23.59 น. ของวันเสาร์นี้เป็นต้นไป ได้แก่ บอตสวานา เอสวาตินี เลโซโท โมซัมบิก นามิเบีย แอฟริกาใต้และซิมบับเว ซึ่งจะรวมทั้งผู้ที่เดินทางไปเที่ยวประเทศเหล่านี้ในระยะ 14 วันด้วย แม้ว่าบุคคลเหล่านั้นจะเคยได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศสิงคโปร์ก่อนหน้านี้ก็ตาม ส่วนพลเมืองสิงคโปร์ที่เดินทางกลับมาจากประเทศเหล่านี้จะต้องกักตัวเป็นเวลา 10 วัน ตามสถานที่ที่กำหนด
ก่อนหน้านี้ สหราชอาณาจักรได้ประกาศระงับเที่ยวบินจาก 6 ชาติแอฟริกา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. 2564 ได้แก่ แอฟริกาใต้, นามิเบีย, ซิมบับเว, บอตสวานา, เลโซโท และเอสวาตินี นับตั้งแต่เวลา 12.00 น. วันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่นเป็นต้นไป เพื่อสกัดการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่ตั้งแต่เนิ่นๆ
ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก กำลังเร่งตรวจสอบและหาคำตอบว่าเชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่ล่าสุดนี้มีความสามารถในการแพร่กระจายเชื้อได้มากกว่าเชื้อเดลตาหรือไม่ รวมทั้งจะนำไปสู่อาการเจ็บป่วยที่รุนแรงมากน้อยเพียงใด และที่สำคัญคือการประเมินว่าประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่สามารถป้องกันเชื้อกลายพันธุ์บอตสวานานี้ได้ดีเพียงใดด้วย
ที่มา : แชนแนลนิวส์เอเชีย
ชายอังกฤษสูญเสียดวงตาข้างหนึ่งมานานกว่า 20 ปี ได้ใส่ตาปลอม ที่ใช้เทคโนฯ 3D Printing เป็นรายแรกของโลก สุดตื่นเต้น เพราะจะทำให้ได้ใส่ตาปลอมที่เหมือนของจริงมากกว่าเดิม
เมื่อ 26 พ.ย. 64 บีบีซีรายงาน นายสตีฟ เวอร์ซ คนไข้ชายชาวอังกฤษซึ่งสูญเสียดวงตาข้างหนึ่งมานานกว่า 20 ปี ได้กลายเป็นคนแรกของโลกที่ได้รับการใส่ตาปลอมที่ใช้เทคโนโลยี 3D Printing หรือเทคโนโลยีของเครื่องพิมพ์สามมิติ ที่โรงพยาบาลจักษุ มอร์ฟิลด์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ 25 พ.ย. 64 ตามเวลาท้องถิ่น
จักษุแพทย์ที่โรงพยาบาลจักษุมอร์ฟิลด์ คาดหวังว่า ตาปลอมที่ใช้เทคโนโลยี 3D Printing จะทำให้ได้ตาปลอมเหมือนของจริงมากกว่าตาปลอมอะคริลิกที่ผลิตและใช้กันในปัจจุบัน นอกจากนั้น การทำตาปลอมด้วยการใช้เทคโนโลยี 3D Printing ยังช่วยลดระยะเวลาในการทำให้ตาปลอมได้ถึงครึ่ง จาก 6 สัปดาห์ เหลือ 3 สัปดาห์เท่านั้น
สตีฟ เวอร์ซ กล่าวด้วยความดีใจว่า เขาจำเป็นต้องใส่ตาปลอมมาตั้งแต่ตอนอายุ 20 ปี และผมมีความรู้สึกประหม่าเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เมื่อผมออกจากบ้านทีไร ผมจะต้องส่องดูกระจกเป็นครั้งที่สอง เพราะผมไม่ชอบดวงตาปลอมที่ผมเห็นในกระจกเลย” เวอร์ซ ซึ่งปัจจุบันอายุ 40 ปีกว่าปีกล่าว พร้อมพูดด้วยความดีใจว่า ตาปลอมใหม่นี้ดูดีมาก และทำขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งมันมีแต่จะทำให้การทำตาปลอมดีขึ้นๆ
ด้านศาสตราจารย์ แมนดีฟ ซากู ที่ปรึกษาจักษุแพทย์ ที่โรงพยาบาลจักษุมอร์ฟิลด์ กล่าวว่า คณะเจ้าหน้าที่ทำงานรู้สึกตื่นเต้นกับศักยภาพของตาปลอมดิจิทัลเต็มรูปแบบนี้มาก และพวกเราหวังว่า การทดสอบทางคลินิกนี้จะทำให้พวกเรามีหลักฐานแน่นหนาเกี่ยวกับคุณค่าของเทคโนโลยีใหม่ ที่แสดงให้เห็นความแตกต่างสำหรับคนไข้
Cr ภาพ: Moorfields Eye Hospital
อียิปต์เฉลิมฉลองเปิดตัวถนนสฟิงซ์ ถนนโบราณที่เคยใช้ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ในเมืองลักซอร์อย่างอลังการ จัดเต็มขบวนพาเหรดประหนึ่งได้ย้อนยุคกลับไปในสมัยโบราณจริงๆ
ทางการอียิปต์เปิดตัวถนนสฟิงซ์ ถนนเก่าแก่ในยุคอียิปต์โบราณในยุคกว่า 3,000 ปีก่อนอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาตามเวลาในท้องถิ่น โดยมีการจัดขบวนพาเหรดแห่รูปปั้นทองคำ มีบรรดานักแสดงหลายร้อยชีวิตแต่งกายด้วยชุดอียิปต์โบราณ ร่ายรำนำขบวน เหมือนเป็นการจำลองพิธีศักดิ์สิทธิ์ในสมัยโบราณ โดยถนนสายนี้มีความยาวตลอดสายประมาณ 2.3 กิโลเมตร เชื่อมต่อวิหารเมืองลักซอร์ ไปยังมหาวิหารคาร์นัก
ตลอดเส้นทางจะมีรูปปั้นสฟิงซ์ และรูปปั้นแพะศักดิ์สิทธิ์ อยู่ตามสองข้างทาง โดยในสมัยก่อน เส้นทางนี้จะถูกเรียกว่าถนนแห่งพระเจ้า เพราะเป็นเส้นทางในการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์ ก่อนที่ชาวโรมันจะเข้ามายึดครองและใช้ถนนนี้ โดยมีการบูรณะมาแล้วรอบหนึ่งโดยพระนางคลีโอพัตรา
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เวลาล่วงเลยไป ถนนสายนี้ซึ่งสร้างจากบล็อกดินทรายก็เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา และถูกทิ้งร้าง โดยถนนแทบจะถูกกลืนหายและถูกฝังอยู่ใต้ชั้นดิน จนกระทั่งมีนักโบราณคดีมาขุดพบรูปปั้นสฟิงซ์รูปแรกในปี 1949
และเริ่มมีการดำเนินการขุดค้นเรื่อยมาจนพบรูปปั้นอีกหลายสิบรูปในระหว่างปี 1961-1964 จนกระทั่งการขุดค้นสำรวจทำให้พบถนนตลอดทั้งสาย ในช่วงปี 1984-2000 และเริ่มดำเนินการบูรณะครั้งใหญ่ และต้องทุบทำลายบ้านเรือนนับร้อย รวมทั้งมัสยิด และโบสถ์เก่าแก่ เพื่อฟื้นคืนชีวิตให้ถนนเส้นนี้อีกครั้ง
สำหรับการบรูณะซ่อมแซมถนนสายนี้ ใช้เวลานานถึง 50 ปี โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในอียิปต์ หลังจากที่ซบเซามานานในช่วงการระบาดของ โควิด-19
ที่มา : dailymail
นักวิทย์ทั่วโลกวิตกอย่างหนัก โควิดสายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 อันตรายสุดเท่าที่เคยเห็น ขณะนี้พบผู้ติดเชื้อแบบทวีคูณในแอฟริกาใต้ รวมทั้งฮ่องกง และบอตสวานาแล้ว
เมื่อ 26 พ.ย. 64 เดลี่เมลรายงาน นักวิทย์ทั่วโลกกำลังวิตกกังวลอย่างยิ่งต่อการอุบัติของเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า B.1.1.529 จากบอตสวานา ประเทศในทวีปแอฟริกา หลังจากพบว่าเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่นี้ ถือเป็นเชื้อโควิด-19 ที่ร้ายแรงที่สุดตัวใหม่เท่าที่เคยพบเห็นเนื่องจากมันมีการกลายพันธุ์มากกว่า 30 ตำแหน่ง จนถูกขนานนามว่า super-mutant Covid-19 หรือ “เชื้อ โควิด-19 ซุปเปอร์กลายพันธุ์”
ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาอธิบายว่า เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ มีการกลายพันธุ์มากกว่า 30 ตำแหน่ง รวมทั้งยังเกิดการกลายพันธุ์ที่โปรตีนหนาม หรือสไปค์โปรตีนที่เชื้อโควิด-19 ใช้ในการจับกับ “ตัวรับ” (Receptor) ในเซลล์ร่างกายของมนุษย์ ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการติดเชื้อ
ซึ่งการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ถือเป็นการกลายพันธุ์มากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น และมากกว่าเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาถึง 2 เท่า จึงทำให้คาดว่าเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ B.1.1.529 อาจสามารถหลบหลีกวัคซีนได้ดีขึ้นและแพร่กระจายติดเชื้อได้มากกว่าโควิดทุกสายพันธุ์ที่ผ่านมา
ที่น่ากังวลอย่างยิ่ง คือ ขณะนี้ ประเทศแอฟริกาใต้ได้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ รวมทั้งในฮ่องกงและบอตสวานา ซึ่งนักวิทย์เชื่อว่าเป็นประเทศที่เกิดการอุบัติขึ้นของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 โดยคาดว่าองค์การอนามัยโลก WHO จะตั้งชื่อโควิดสายพันธุ์นี้ว่า “Nu” ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
WHO เรียกประชุมด่วนทันที เพื่อระดมสมองหาวิธีเตรียมรับมือโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่พบในแอฟริกาใต้ หวั่นวัคซีนเอาไม่อยู่
องค์การอนามัยโลก (WHO) เตรียมจัดการประชุมวาระพิเศษในวันนี้ (26 พ.ย.) เพื่อหารือเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่พบในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์เป็นจำนวนมาก
การประชุมวาระพิเศษนี้มีขึ้น หลังจากนายทอม พีค็อก นักไวรัสวิทยาของอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ในอังกฤษ ได้ตรวจพบคลัสเตอร์ขนาดเล็กของผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวซึ่งมีชื่อว่า B.1.1.529 ซึ่งไวรัสชนิดนี้สามารถหลบภูมิคุ้มกันได้
หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนรายงานว่า นับจนถึงวันที่ 24 พ.ย.ได้มีการตรวจพบไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวในบอตสวานา, แอฟริกาใต้ และฮ่องกง
ทั้งนี้ WHO ประกาศจับตาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ที่มีการกลายพันธุ์จำนวนมากของสไปก์โปรตีน (Spike Protein) โดยการประชุมพิเศษในวันนี้จะมีการหารือกันเกี่ยวกับแนวทางการใช้วัคซีนป้องกันและการรักษาผู้ป่วยจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้
“เรายังไม่ทราบรายละเอียดมากนักเกี่ยวกับไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้ สิ่งที่เราทราบในขณะนี้ก็คือว่าไวรัสสายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์จำนวนมาก และสิ่งที่เรากังวลก็คือเมื่อเรามีไวรัสที่สามารถกลายพันธุ์จำนวนมาก มันก็จะส่งผลต่อพฤติกรรมของไวรัส” ดร.มาเรีย แวน เคอร์คโฮฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคด้านโควิด-19 ของ WHO กล่าว
ด้านอังกฤษได้ประกาศระงับเที่ยวบินจาก 6 ประเทศในทวีปแอฟริกาเป็นการชั่วคราว หลังมีรายงานการพบเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้ โดยประเทศทั้ง 6 ได้แก่ นามิเบีย, เลโซโท, ซิมบับเว, บอตสวานา, เอสวาตีนี และแอฟริกาใต้
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012