สำนักพระราชวังเผยแพร่หมายกำหนดการ พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ประจำวันตลอด 100 วัน ตามกำหนดไว้ทุกข์
วันนี้ (14 ต.ค.) สำนักพระราชวัง แจ้งหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท โดยกำหนดการประจำวันตลอด 100 วัน หรือตามกำหนดไว้ทุกข์ จะเริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม และประโคมย่ำยาม เวลา 07.00 น.พระพิธีธรรมรับพระราชทานฉันเช้า เวลา 09.00 น.พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม และประโคมย่ำยาม เวลา 11.00 น.พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมฉันเพล เวลา 12.00 น.พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม และประโคมย่ำยาม และเวลา 15.00 น.พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม และประโคมย่ำยาม เวลา 18.00 น.ประโคมย่ำยาม เวลา 19.00 น.พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม 21.00 น.พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม และประโคมย่ำยาม
จากนั้นจะมีพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสัตตมวาร (7วัน) ในวันพุธที่ 19 ต.ค. เวลา 17.00 น. พระสงฆ์ 30 รูปสวดพระพุทธมนต์ จบ มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดพระธรรมคาถา วันพฤหัส ที่ 20 ตุลาคม เวลา 10.30 น.พระสงฆ์ 30 รูปสวดถวายพรพระ รับพระราชทานฉัน มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดพระธรรมคาถา ประเคนผ้าไตร พระ 89 รูป เท่าพระชนมพรรษา
ต่อมาพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัณรสมวาร (15 วัน) วันพฤหัสบดี ที่ 27 ต.ค. เวลา 17.00 น.พระสงฆ์ 10 รูปสวดพระพุทธมนต์ จบ มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดธรรมคาถา พระพิธีธรรม วันศุกร์ที่ 28 ต.ค. เวลา 10.30 น. พระสงฆ์ 10 รูป สวดถวายพระพร รับพระราชทานฉัน ประเคนผ้าไตรพระ 89 รูป เท่าพระชนมพรรษา สดับปกรณ์
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวาร (50 วัน) มีขึ้นในวันพฤหัสบดี ที่ 1 ธ.ค. เวลา 17.00 น. พระสงฆ์ 30 รูปสวดพระพุทธมนต์ จบ มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดธรรมถาคา แต่งกายเครื่องแบบเต็มยศ ไว้ทุกข์ สายสะพายจุลจอมเกล้า หรือสายสะพายมงกุฎไทย วันศุกร์ที่ 2 ธ.ค. เวลา 10.30 น. พระสงฆ์ 30 รูปสวดถวายพรพระ รับพระราชทานฉัน มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดธรรมคาถา ประเคนผ้าไตรพระ 89 รูป เท่าพระชนมพรรษา และพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร (100วัน) วันศุกร์ที่ 20 ม.ค.2560 เวลา 17.00 น. พระสงฆ์ 30 รูปสวดพระพุทธมนต์ จบ มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดธรรมคาถา วันเสาร์ที่ 21 ม.ค. 2560 เวลา 10.00 น. พระสงฆ์ 30 รูป สวดถวายพระพร รับพระราชทานฉัน มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูป สวดธรรมคาถา ประเคนผ้าไตรพระ 89 รูป เท่าพระชนมพรรษา
สำหรับการประดิษฐานพระบรมศพสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมหาราชวัง นั้นประดิษฐานพระบรมโกศเหนือพระแท่นแว่นฟ้าเบญจดล ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร 9 ชั้น พระบรมโกศที่ประกอบพระราชอิสริยยศนั้น คือพระโกศทองใหญ่ ซึ่งประดับพุ่ม เฟื่อง ดอกไม้ไหว และดอกไม้เอว เต็มตามพระราชอิสริยยศ ทั้งนี้ ธรรมเนียมการประดับตกแต่งพระบรมโกศ
ที่เอวพระบรมโกศด้านหน้า ติดพระภูษาโยง ทอดลงมายังพานพระมหากฐิน บนเสาบัวกลุ่มซึ่งตั้งอยู่เบื้องหน้า พระภูษาโยงบนพานพระมหากฐินนั้นพับทบก้นไว้ เมื่อมีการสดับปกรณ์พระบรมศพ เจ้าพนักงานจะได้คลี่พระภูษาโยงออกไปจนถึงอาสน์สงฆ์ ใช้ลาดไปตามความยาวของอาสน์สงฆ์ โดยมีผ้าขาวรองอยู่ชั้นหนึ่งก่อน
พระบรมโกศประดิษฐานเหนือพระแท่นแว่นฟ้าเบญจดล สลักลายดุน ประดับรัตนชาติสีขาว ชั้นพระแท่นแว่นฟ้าทองตกแต่งด้วยพุ่มแก้ว พุ่มตาดทอง เทียนไฟฟ้าและแจกันปักดอกไม้โลหะสีทอง ที่มุมพระแท่นแว่นฟ้าทองทุกชั้นปักสุวรรณฉัตร และสุวรรณฉัตรคันดาล ซึ่งเป็นคันฉัตรที่มีรูปเป็นมุมฉาก 2 ทบ พระแท่นแว่นฟ้าทองที่ประดิษฐานพระบรมโกศนั้นตั้งอยู่บนพระแท่นปิดทองทรายอีกทีหนึ่ง ตั้งพุ่มตาดทองในคูหาโดยรอบพระแท่นทองทราย
รอบพระแท่นทองทรายนั้น แวดล้อมด้วยเครื่องอภิรุมชุมสายหักทองขวาง (ปักไหมทองหักเส้นไปตามขวางลายลงไปบนผืนผ้า) ประกอบด้วยฉัตรชุมสาย 3 ชั้น ฉัตร 5 ชั้น ฉัตร 7 ชั้น และบังแทรก ทหารรักษาพระองค์ ยืนถวายพระศพสี่มุมพระแท่นที่ประดิษฐานพระบรมโกศ
อนึ่งการประดิษฐานพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตามแบบอย่างธรรมเนียมปฏิบัติ เริ่มจากการวัดระยะทิ้งสายดิ่งลงมาจากเพดาน ตรงกลางหมู่ดาวล้อมเดือนสลักลายกลีบบัว หมู่กลางห้องที่สองของมุขด้านตะวันตกลงมาถึงพื้น แล้วจึงปูพรมสีแดงเต็มพื้นที่มุขตะวันตกทั้งหมด จากนั้นเชิญพระแท่นทองทรายชั้นแรกทอดเหนือพื้น โดยให้จุดศูนย์กลางของพระแท่นตรงกับสายดิ่ง แล้วเชิญพระแท่นทองทรายชั้นที่สองทอดเหนือชั้นแรก โดยปฏิบัติเช่นเดียวกับชั้นแรก ลำดับต่อไปจึงเชิญพระเบญจาทองคำขึ้นทอดตรงกับสายดิ่งเช่นกัน แล้วจึงเชิญนพปฎลมหาเศวตฉัตรขึ้นแขวนเหนือพระแท่นทั้งปวง โดยใช้ลวดร้อยลงมาจากเพดานตรงจุดทิ้งสายดิ่งผูกกันยอดนพปฎลมหาเศวตฉัตรแล้วเชิญขึ้น ลำดับสุดท้ายจึงเชิญพระบรมโกศขึ้นประดิษฐานเหนือพระแท่นสุวรรณเบญจดุริยางค์ เป็นอันเสร็จการ
เวลา 17.00 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ออกจากพระที่นั่งราชกรัณยสภา ไปยังพระที่นั่งพิมานรัตยา เสด็จฯ ขึ้นทางบันไดพระที่นั่งพิมานรัตยา ซึ่งพระบรมศพบรรทมอยู่บนพระแท่น จากนั้นทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระบรมศพบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย กราบถวายบังคมพระบรมศพ ทรงรับขวดน้ำพระสุคนธ์จากเจ้าพนักงาน ถวายสรงที่พระบาทพระบรมศพ กราบถวายบังคมพระบรมศพ
จากนั้นทรงรับหม้อน้ำพระสุคนธ์ โถน้ำขมิ้นและโถน้ำอบไทยจากเจ้าพนักงานสนมพลเรือน ถวายสรงที่พระบาทพระบรมศพ จากนั้นทรงหวีเส้นพระเจ้าขึ้นครั้งหนึ่ง หวีลงอีกครั้งหนึ่ง แล้วหวีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วหักพระสางนั้น วางไว้ในพานซึ่งเจ้าพนักงานเชิญอยู่
ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์เชิญพระหีบพระบรมศพมาเทียบที่พระแท่นบรรทมพระบรมศพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริโสภาพรรณวดี ประทับทอดพระเนตรการย้ายพระบรมศพลงพระหีบ
เจ้าพนักงานถวายซองพระศรี บรรจุดอกบัวและธูปเทียน ทรงวางซองพระศรี บรรจุดอกบัวและธูปเทียน แล้วพระราชทานคืนเจ้าพนักงาน ทรงรับและทรงวาง แผ่นทองคำจำหลักลายปิดพระพักตร์ แล้วพระราชทานคืนเจ้าพนักงาน ทรงรับพระชฎาห้ายอด ทรงวางข้างพระเศียรแล้วพระราชทานคืนเจ้าพนักงาน จากนั้นทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 10 นาย เชิญพระหีบพระบรมศพ มีตำรวจหลวงนำ 4 นาย ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯ ตามพระบรมศพ ประทับยืนที่หน้าพระราชอาสน์
ก่อนเสด็จฯ ไปทรงวางพวงมาลาที่หน้าพระโกศพระบรมศพ จากนั้นทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย และเครื่องราชสักการะ กราบถวายบังคมพระบรมศพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ บูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ที่หน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร ทรงกราบ ประทับพระราชอาสน์
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทรงทอดผ้าไตร 10 ไตร ทรงหลั่งทักษิโณทก เสด็จฯ ไปทรงทอดผ้าไตร สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทรงกราบพระพุทธที่หน้าเครื่องนมัสการหน้าพระแท่นเศวตฉัตร
จากนั้นเสด็จฯ ไปที่หน้าพระบรมโกศพระบรมศพ ทรงกราบ ทรงรับการถวายการเคารพของผู้มาเฝ้าฯ เสด็จฯ ผ่านแถวข้าราชการ ผู้มาเฝ้าฯ ไปที่พระแท่นเตียงพระพิธีธรรม ด้านตะวันออกและด้านตะวันตก ณ มุขหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงจุดธูปเทียน เครื่องบูชากระบะมุขที่หน้าเตียงพระสวดพระอภิธรรม เสด็จออกจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทลงทางบันไดมุขกระสันทางทิศเหนือ ไปประทับรถยนต์พระที่นั่งที่ประตูกำแพงแก้ว เสด็จฯ กลับ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต____
วันที่ 14 ต.ค.สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศ์ศานุวงศ์โดยรถพระที่นั่งจากที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 โรงพยาบาลศิริราช
เวลา 16.00 น. สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เดินนำขบวนอัญเชิญพระบรมศพลงจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 (โดยลิฟต์) (มีคณะนายแพทย์ และพยาบาลที่ถวายการรักษาพยาบาลเลื่อนพระแท่นพยาบาลอัญเชิญพระบรมศพเข้าสู่ลิฟต์) - สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จตามพระบรมศพ -เมื่ออัญเชิญพระบรมศพถึงชั้นล่างของอาคารเฉลิมพระเกียรติ ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ อัญเชิญพระบรมศพ ขึ้นสู่รถอัญเชิญพระบรมศพที่เทียบรออยู่หน้าประตูทางเข้าลิฟต์ (ชั้นใต้ดิน) นายแพทย์และพยาบาลที่ถวายการรักษาตามเสด็จ -จากนั้น ขบวนรถอัญเชิญพระบรมศพ เคลื่อนออกจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระบรมมหาราชวัง เข้าทางประตูวิเศษไชยศรี ประตูพิมานไชยศรี มีรถของสมเด็จพระวันรัตนำ ตามด้วยรถอัญเชิญพระบรมศพ และขบวนรถยนต์พระที่นั่งของพระบรมวงศานุวงศ์
เวลา 16.33 น. เริ่มเคลื่อนขบวนอัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ ออกจากโรงพยาบาลศิริราช สู่พระบรมมหาราชวัง โดยรถตู้ทะเบียน 1ด0929 ซึ่งรถของสมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร นำขบวนอัญเชิญพระบรมศพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย พระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จตามพระบรมศพ ตลอดเส้นทาง มีกำลังพล เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ทั้งในและนอกเครื่องแบบ จำนวน 2,206 นาย ถวายการรักษาความปลอดภัย
ขบวนรถอัญเชิญพระบรมศพถึงพระบรมมหาราชวัง -รถอัญเชิญพระบรมศพเทียบด้านในประตูพรหมโสภาตรงกับบันไดพระที่นั่งพิมานรัตยา -ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์อัญเชิญพระบรมศพลงจากรถอัญเชิญพระบรมศพ ขึ้นสู่พระที่นั่งพิมานรัตยา พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จพระราชดำเนินตามพระบรมศพ -เมื่ออัญเชิญพระบรมศพขึ้นสู่พระที่นั่งพิมานรัตยา ถึงที่พระแท่นสรงพระบรมศพ -นายแพทย์และพยาบาลอัญเชิญพระบรมศพ ขึ้นบรรทมที่พระแท่น ซึ่งปูลาดด้วยพระยี่ภู่ (เพื่อเตรียมการสรงน้ำพระบรมศพ ในเวลาประมาณ17.00 น.เสด็จฯ ไปประทับพักพระราชอิริยาบถ ณ พระที่นั่งราชกรัณยสภา
โดยมีพสกนิกรทุกหมู่เหล่ามาเฝ้ารอกราบถวายบังคมขบวนพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ตลอดเส้นทางตั้งแต่โรงพยาบาลศิริราชจนถึงพระบรมมหาราชวัง ทุกคนต่างมีหัวใจเดียวกันคือซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย น้ำตาแห่งความรักและเทิดทูนไหลนองแผ่นดิน
เมื่อเวลา 15.56 น. วันที่ 14 ตุลาคม 2559 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ พร้อมด้วย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ โดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต มาถึงอาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 โรงพยาบาลศิริราช จากนั้นเวลา 16.33 น. สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เดินนำขบวนเชิญพระบรมศพลงจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 โดยมีคณะแพทย์และพยาบาลที่ถวายการรักษาพยาบาลเลื่อนเตียงพยาบาลเชิญพระบรมศพเข้าสู่ลิฟท์ โดยมี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชการ พร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ คุณพลอยไพลิน คุณสิริกิติยา เจนเซ่น และท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม เสด็จพระราชดำเนิน เสด็จ และเดินตามพระบรมศพ
เมื่อเชิญพระบรมศพถึงชั้นล่างของอาคารเฉลิมพระเกียรติแล้ว ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เชิญพระบรมศพเข้าสู่รถตู้พยาบาลสีบรอนซ์เงินคาดเส้นสีฟ้า เลขทะเบียน 1ด-0929 ที่เทียบรออยู่หน้าอาคารเฉลิมพระเกียรติ นายแพทย์และพยาบาลที่ถวายการรักษา ตามเสด็จฯ ในรถพยาบาล ขณะรถขบวนพระบรมศพเคลื่อนผ่านอย่างช้าๆ บรรยากาศสองข้างทางเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ประชาชนต่างยกมือไหว้แล้วก้มกราบสักการะพระบรมศพอย่างนอบน้อม พร้อมเสียงร่ำไห้ดังไปทั่วบริเวณโรงพยาบาล
ต่อมาเวลา 16.56 น. สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงประทับรถตู้สีครีมทอง เลขทะเบียน 1ด-0968 เสด็จพระราชดำเนินตามขบวนพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยทรงโบกพระหัตถ์ให้แก่ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จฯ ยังความปลาบปลื้มแก่พสกนิกรที่ต่างเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” กึกก้องไปทั่วบริเวณ บางคนถึงกับร่ำไห้ด้วยความตื้นตันที่เห็นพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง
และนั่นก็สร้างรอยยิ้มให้กับพสกนิกรไทยในห้วงทุกข์เมื่อได้เห็นพระพักตร์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นางสาวสิรินยา งามทิพย์วัฒนา อายุ 44 ปี บุคคลากรโรงพยาบาลศิริราช เผยทั้งน้ำตาว่า วันนี้ตั้งใจมาสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าหัวในพระบรมโกศ แต่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เห็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ผ่านมาแม้จะทำงานที่นี่แต่ไม่เคยมีโอกาสเห็นพระองค์ท่านเลย ครั้งนี้จึงรู้สึกดีใจมากที่เห็นพระองค์ท่านมีพระพลานามัยแข็งแรง
ด้าน นางมณีรัตน์ เลาวเลิศ อายุ 58 ปี ชาว จ.สมุทรสาคร มารอเฝ้าส่งเสด็จ 2 วันมาแล้ว ตอนที่พระบรมศพเคลื่อนผ่านรู้สึกหัวใจสลาย แต่เมื่อเห็นสมเด็จพระราชินี ใจก็ชื้นขึ้นมาเหมือนกับว่ายังมีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะทรงเป็นคู่ทุกข์คู่ยากของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นพระองค์ท่าน เพราะทราบว่าท่านทรงประชวรมีความเป็นห่วงพระองค์ท่านด้วย แต่เมื่อได้เห็นทรงโบกพระหัตถ์ยังความปลื้มปิติยิ่งนัก
เมื่อเวลา 23.35 น. วันที่ 14 ต.ค. มีรายงานบรรยากาศโดยรอบพระบรมมหาราชวัง ยังคงมีพสกนิกรจากทั่วสารทิศเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรชาวไทยทั้งปวง ขณะที่ประตูโดยรอบพระบรมมหาราชวังได้ปิดแล้วเมื่อช่วงหัวค่ำ ยกเว้นประตูวิเศษไชยศรี แต่ยังมีประชาชนพร้อมใจสวมชุดสีดำและสีขาวหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั่วบริเวณพระบรมมหาราชวัง
นอกจากนี้ยังมีประชาชนจิตอาสา นำอาหารและเครื่องดื่มฟรีมาแจกจ่ายให้กับประชาชนที่เดินทางมา โดยน.ส.ธัชพรรณ อินทสงเคาระห์ หนึ่งในจิตอาสาที่รวบรวมทุนทรัพย์ส่วนตัวนำอาหารและเครื่องดื่มหรือมาแจกจ่ายให้กับประชาชน เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เป็นครั้งสุดท้าย
ขณะที่เมื่อเวลา 00.15 น. วันที่ 15 ต.ค. บริเวณหน้าประตูวิเศษไชยศรี ด้านถนนหน้าพระลาน ซึ่งเป็นประตูที่นำพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเข้าสู่พระบรมหาราชวัง ได้มีประชาชนจำนวนมากนำโทรศัพท์มือถือมาบันทึกภาพภายในพระบรมมหาราชวัง โดยประตูวิเศษไชยศรีได้เปิดอยู่แต่ไม่อนุญาตให้ประชาชนเข้าไปในบริเวณ โดยอนุญาตให้ถ่ายรูปได้ตรงหน้าบริเวณประตูเท่านั้น ส่วนประตูโดยรอบต่างๆมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด.