ข่าว
แพงลิ่วจนไม่กล้าหิว! “ฟูดคอร์ตสุวรรณภูมิ”

เบอร์เกอร์ 300-500 บาท, ผัดไทกุ้งสด 280 บาท, ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น 250 บาท, ข้าวผัดเจ 200 บาท, น้ำอัดลมกระป๋องเล็ก 100 บาท, น้ำแร่ 45 บาท ฯลฯ

นี่คือราคาอาหารภายในฟูดคอร์ต อาคารผู้โดยสารขาออก ภายในประเทศ หลังการลงพื้นที่ตรวจสอบราคาครั้งล่าสุด โดยผู้ตรวจการแผ่นดินและสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมการค้าภายใน เล่นเอากลุ่มผู้เดินสำรวจถึงกับอึ้งในราคาอันสูงลิบ พร้อมยื่นคำขาดให้เร่งปรับราคาลงตามอัตราสัญญาที่เคยให้ไว้ คือต้องไม่สูงกว่า 25 เปอร์เซ็นต์จากราคาท้องตลาดทั่วไป โดยต้องแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน ไม่เช่นนั้น จะขอยกเลิกสัญญาเช่าทันที!

ส่วนราคาน้ำดื่มธรรมดาขนาด 500-600 ซีซี ที่วางขายในสุวรรณภูมินั้น ไม่พบว่าเป็นปัญหา เพราะกำหนดราคาอยู่ที่ 7-10 บาท ตามอัตราที่ควรจะเป็น นอกเหนือไปจากนั้นก็ถือเป็นความรับผิดชอบของทางการท่าอากาศยานไทย ซึ่งต้องรับหน้าที่ไล่บี้ควบคุมราคาให้อยู่ในจุดที่เหมาะสมให้ได้ เพื่อสะท้อนภาพผู้ประกอบการไทยที่ไม่เอาเปรียบผู้บริโภคออกมาให้ทุกคนเห็น

ถึงแม้ว่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะเข้าสู้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรัฐบาลถือหุ้นอยู่ร้อยละ 70 ด้วย ซึ่งหมายความว่าจะต้องทำประโยชน์สูงสุดให้แก่ประชาชนไปด้วยในคราวเดียวกัน

สิ้นแล้ว“อดุลย์ ดุลยรัตน์” จากอาการปอดติดเชื้อ

หลังเข้ารับการรักษาในห้อง ไอ.ซี.ยู. มานานร่วมเดือน ล่าสุด ดาราอาวุโส “อดุลย์ ดุลยรัตน์” เจ้าของฉายา “พระเอกแก้มสีชมพู” ก็ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 84 ปี

ทั้งนี้ ดาราอาวุโสชื่อดังได้ถูกส่งตัวมารักษายังโรงพยาบาลภูมิพล ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์หลังมีอาการไม่รู้สึกตัว เนื่องจากมีอาการช็อกน้ำตาลจากโรคเบาหวาน ต่อมาหมอได้ตรวจพบว่ามีอาการปอดติดเชื้อขั้นรุนแรง เนื่องจากร่างกายดื้อยา และ มีอาการทรุดลง ซึ่งทางแพทย์ได้ติดตามรักษาอาการอย่างใกล้ชิดก่อนที่เจ้าตัวจะเสียในชีวิตในที่สุด

สำหรับ “อดุลย์ ดุลยรัตน์” นั้น ได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงรุ่นใหญ่มากความสามารถในบ้านเรา ทั้งในเรื่องของการเป็นนักแสดงและผู้กำกับ เริ่มต้นเล่นหนังครั้งแรกจากเรื่อง “ปาหนัน” ก่อนจะเข้าวงการอย่างจริงจังหลังมีโอกาสแสดงในเรื่อง “สามรักในปารีส” จากนั้นจึงมีผลงานตามออกมาอีกมายมาย รวมถึงงานละครทางทีวี

โดยผลงานการแสดงที่เป็นที่รู้จักกันดีของเจ้าตัวสำหรับคนรุ่นใหม่ ก็คือ การสวมบทเป็น “ศร ศิลปบรรเลง” (วัยชรา ในภาพยนตร์เรื่อง “โหมโรง” นอกจากนี้ เจ้าตัวยังมีผลงานหนังที่กำกับเองทั้งภาพยนตร์และละครทีวีอีกมากมาย อาทิ สวรรค์เบี่ยง, สุดสายป่าน, นางทาส, น้ำตาลไหม้, เบญจรงค์ 5 สี ฯ

ส่วนที่มาของฉายา “พระเอกแก้มสีชมพู” นั้น มาจากการที่เจ้าตัวมักมีอาการเขินอายเวลาเล่นฉากเลิฟซีนเมื่อครั้งที่เข้าวงการใหม่ ๆ โดยผู้ที่ตั้งฉายานี้ให้ก็คือ “รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง” ขณะที่ในเรื่องชีวิตครอบครัวอดุลย์เคยแต่งงานกับ วิไลวรรณ วัฒนพานิช มีลูกด้วยกัน 1 คน ก่อนจะแยกทางกันและได้สมรสกับ “ลัดดา ศรีประไพ” ก่อนจะมีบุตรด้วยกัน 3 คน


'บิ๊กจิ๋ว'รธน.เป็นอำนาจปชช. ต้องมั่นคงไม่มีรัฐประหารอีก

'บิ๊กจิ๋ว' ขอพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิด 84 ปี ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ขอประชาชนร่วมมือรัฐบาลเดินหน้าประเทศ แนะรัฐธรรมนูญต้องเป็นอำนาจของประชาชนและมีความมั่นคง ไม่ให้เกิดรัฐประหารขึ้นอีก...

เมื่อวันที่ 13 พ.ค.2559 พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทย จัดพิธีทำบุญถวายสังฆทาน เนื่องในวันคล้ายวันเกิด 15 พฤษภาคมนี้ ที่จะมีอายุ 84 ปี พร้อมเปิดบ้านพักย่านปิ่นประภาคมเพื่อพบปะสื่อมวลชน โดยพลเอกชวลิต กล่าวว่าเนื่องในโอกาสมีอายุครบ 84 ปี อยากเห็นประเทศไทยและประชาชนมีความสุขอยู่ดีกินดี ซึ่งเชื่อว่าวิกฤติของประเทศในขณะนี้เมื่อใช้วิธีการอย่างถูกต้องจะผ่านไปได้ ขอให้โอกาสให้นายกรัฐมนตรีในฐานะบริหารประเทศได้ทำงาน ซึ่งขณะนี้ก็เห็นว่ากำลังดำเนินการอยู่ ส่วนจะเดินมาถูกทางหรือไม่ ประชาชนก็ต้องช่วยกันดูด้วย

เมื่อถามถึงการลิดรอนสิทธิของประชาชนในขณะนี้ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าไม่ได้รับผลกระทบ ชีวิตยังดำเนินต่อไป การเปลี่ยนแปลงหรือการปฏิวัติเป็นเรื่องที่มีมาตั้งนานแล้ว เราต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ แต่ต้องทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ

เมื่อถามว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมีประชาชนออกมาคัดค้านการลงประชามติหรือไม่ พลเอกชวลิต กล่าวต่อว่า ความคับแค้นใจของคนบางกลุ่มยังมีอยู่ ก็ต้องทำความเข้าใจกันต่อไป และคนส่วนใหญ่มักมองว่ารัฐธรรมนูญ คือ กฎหมายสูงสุด แต่กฎหมายสูงสุดความจริงคือความมั่นคง ความกินดีอยู่ดีของประชาชน ถ้าอยากให้ประชาชนไปใช้สิทธิต้องให้ความรู้ให้ประชาชนเข้าใจก่อน และต้องยืนยันว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เมื่อมีแล้วจะไม่เกิดการรัฐประหารอีก แต่สิ่งที่สำคัญรัฐธรรมนูญต้องเป็นไปตามหลักอำนาจอธิปไตย ซึ่งอำนาจจะต้องเป็นของปวงชนและให้เสรีภาพของบุคคลด้วย

"อยากให้มาพนันกันไหมว่ารัฐธรรมนูญจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ และจะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารอีก หรือรัฐธรรมนูญจะไม่ถูกฉีกอีกหรือไม่ จึงขอให้พวกเราช่วยกันคิดหาวิธีทำให้บ้านเมืองให้มันดี ขอย้ำอีกครั้งว่ากฎหมายสูงสุดที่ต้องการ คือ ความมั่นคง ความอยู่ดีกินดี ของประชาชน หากรัฐธรรมนูญดีแค่ไหนแต่ประชาชนยังมีความเป็นอยู่ที่ไม่ดีก็จะเกิดปัญหาตามมาได้ ผมเป็นห่วงแค่ตรงนี้ แต่ไม่ได้ท้าพนันเป็นเงินนะ ขอเป็นขนมแทนว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะไม่ถูกฉีก ตราบใดที่บ้านเมืองเป็นแบบนี้มีความขัดแย้ง ทหารก็ต้องเข้ามา เพราะฉะนั้นทุกอย่างอยู่ที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกัน และช่วยเป็นกำลังใจให้ผู้ปกครองประเทศด้วย" อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าว

พลเอกชวลิต กล่าวอีกว่า ตนอยากให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมาให้ดีที่สุด แต่กังวลเรื่องโครงสร้างของประเทศที่เป็นแบบนี้ ที่มีคนจนมากกว่าคนรวย ตอนนี้เราให้กำลังใจและขอให้ระวังต้องพิสูจน์ตัวเองให้ดี ทุกวันนี้ตนยังทำงานเป็นเพื่อนกับประชาชน นักการเมืองก็ต้องอยู่เคียงข้างประชาชน วันนี้เราเสียความเป็นไทยมาเยอะแล้ว ต้องเอื้อหนุนเกื้อกูลกัน และคำนึงถึงหัวใจพระพุทธศาสนาในการเป็นชาวพุทธ ทุกวันนี้เห็นมีความขัดแย้งกับพระสงฆ์มากขึ้น ก็ขอให้พิจารณากันให้ดี ส่วนตัวไม่ได้เข้าข้างใคร

รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะไม่ถูกฉีก ตราบใดที่บ้านเมืองเป็นแบบนี้มีความขัดแย้ง ทหารก็ต้องเข้ามา เพราะฉะนั้นทุกอย่างอยู่ที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกัน และช่วยเป็นกำลังใจให้ผู้ปกครองประเทศด้วย

เมื่อถามว่ามีอะไรจะฝากถึงนายกรัฐมนตรี อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่ต้องเพราะคงมีคนฝากเยอะแล้ว ขอฝากให้ประชาชนช่วยกันดีกว่า ซึ่งวันนี้จะเป็นการแสดงความเห็นทบทวนสิ่งที่ทำมาทั้งชีวิตว่าเป็นอย่างไร เมื่อถามว่าบ้านเมืองจะถอยหลังไปสมัยพฤษภาทมิฬหรือไม่ พลเอกชวลิต กล่าวว่าอย่าไปคิดเปรียบเทียบกับใคร วันนี้ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด พรุ่งนี้ตนอาจจะถูกหาว่ามาเอาใจนายกรัฐมนตรีก็ได้ วันนี้หลายคนอาจจะยังไม่รู้เหตุการณ์พฤษภาทมิฬดีพอ เอาเป็นว่าวันนี้ต้องกำหนดปัญหาเป็นที่ตั้ง คือแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนก่อน

สำหรับช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีจะสำเร็จได้หรือไม่ พลเอกชวลิต กล่าวด้วยว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะต้องสร้างความน่าเชื่อถืออยู่ให้ประชาชนชอบ โดยหากทำให้ประชาชนชอบแล้วจะอยู่ไปอีกกี่ปีก็ได้.

นักรัฐศาสตร์ ชี้ไทยพลาด หลังเชิญทูตสหรัฐฯเข้าพบ

กรณี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือกับนายกลิน เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย โดยหลังการหารือราว 1.30 ชั่วโมง ทั้งคู่ได้แถลงข่าวร่วมกัน และเมื่อสื่อมวลชนถามถึงท่าทีของสหรัฐฯ ต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยโดยเฉพาะเรื่องสิทธิมนุษยชน นายกลิน เดวีส์ อ่านแถลงการณ์เต็มๆ แสดงความกังวลใจต่อการจับกุมคน การละเมิดสิทธิมนุษยชน การลดพื้นที่เสรีภาพในการแสดงความเห็น การจับพลเรือนขึ้นศาลทหาร ทำให้นายดอนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ต้องกล่าวชี้แจงทันทีว่า สหรัฐ ไม่ได้ “ประณาม” (condemnation)

รศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ อาจารย์ประจำศูนย์วิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แสดงความเห็นกรณีดังกล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นการตบหน้ากระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่อ้างว่าไม่มีใครเข้าใจประเทศไทยแบบที่นายดอนอ้าง ถือเป็นความผิดพลาดอย่างมากที่จัดให้มีการแถลงข่าวเมื่อวาน โดยเฉพาะเมื่อทูตเดวีส์ตอบคำถามเรื่องปัญหาสิทธิมนุษยชนในไทยต่อนักข่าว แถมให้แปลจากอังกฤษเป็นไทยเต็มๆ เพื่อสื่อไทยจะได้เอาไปลงข่าวแบบไม่ต้องฉงนกันอีก ทำไมไม่คิดว่า สื่อจะต้องถามเรื่องท่าทีสหรัฐฯ ต่อการเมืองและการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มันรุนแรง ไม่รวมถึงความพลาดของ กระทรวงการต่างประเทศไทย ที่บอกว่า คุณ Katina Adams เป็นเจ้าหน้าที่เวร ทั้งๆ ที่เขาคือโฆษกกรมเอเชียตะวันออกของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ