หลัง นายอานนท์ รถทอง เสี่ยเจ้าของล้งซื้อทุเรียนส่งออก สร้างความฮือฮาให้บรรดาชายหนุ่ม ประกาศหาเขยให้ลูกสาว "น้องกาญจน์" ดีกรีเกียรตินิยมเอแบค และจบปริญญาโท ตั้งเงื่อนไขมีความขยันขันแข็ง มีความสามารถสืบทอดกิจการล้งได้ ระหว่างลองงานต้องเอาชนะใจลูกสาวได้ ไม่สนฐานะและวุฒิการศึกษา
ซึ่งต่อมา จีโอ้ เปรมยศพล ฆ้องใส ชาวจังหวัดตราด อายุ 28 ปี ผู้หาญกล้าขอสมัครเป็นลูกเขย ป๋านนท์ พร้อมทั้งบอกด้วยว่า ชอบที่ ป๋านนท์ เป็นคนลุยๆ เป็นคนตรงๆ มีหลายอย่างที่มองคุณพ่อแล้ว เหมือนเห็นตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ป๋านนท์ พร้อม น้องกาญจน์ ได้เดินทางมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ โหนกระแส ซึ่งเมื่อถามถึง จีโอ้ ที่โซเชียลบอกว่าผู้ชายคนนี้เหมาะมาก โดย ป๋านนท์ บอกว่า "ในสายตาพ่อ ไม่ผ่าน เขาหล่อเกิน เดี๋ยวลูกสาวอกหัก"
เมื่อถาม "น้องกาญจน์" ว่าเข้าเกณฑ์มั้ย? น้องกาญจน์บอก "ก็น่ารักดีค่ะ" แต่ป๋านนท์ยืนยันว่า ต้องเจอตัวก่อน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็แล้วแต่ลูกสาว และว่าไม่ชอบอย่างเดียว เค้าหล่อกว่าพ่อ
กลายเป็นประเด็นร้อนให้สงสัย หลังจากมีภาพของ บุ๋ม ปนัดดา และ ลูกทุ่งสาว แคนดี้ รากแก่น ถ่ายภาพรวมกับเด็กๆ ทีมหมูป่า 13 ชีวิต ที่เข้าไปติดถ้ำหลวง จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก และพบว่า ล่าสุดทั้งสองคนได้ร่วมกันเปิดบริษัท ให้กับเด็กๆ ทีมหมูป่า เพื่อดูแลเรื่องคิวงาน
งานนี้ทั้งสองคนได้ตอบและไขข้อสงสัยโดย บุ๋ม ปนัดดา ได้โพสต์ลงในไอจีส่วนตัวว่า “ขออนุญาตตอบนะคะ ว่า บุ๋มและน้องแคนดี้ รากแก่น เข้าไปช่วยดูแล น้องๆ หมูป่าได้ยังไง น้องแคนดี้ช่วยเหลือดูแลน้องๆ หมูป่ามานานมากแล้วค่ะ และยังคงดูแลต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ ไม่ได้ทำตามกระแสแล้วหายไป ตอนน้องๆ ไปต่างประเทศ แคนดี้ คือคนจัดหาเสื้อผ้ากระเป๋าให้น้องๆ ทุกคน ดูจากการที่เด็กๆ ไปรอรับแคนดี้ที่สนามบินก็น่าจะทำให้ทราบได้ว่าน้องๆ รักแคนดี้มากแค่ไหน
ส่วนตัวบุ๋มถูกขอร้องจากน้องแคนดี้และยังมี พระอาจารย์ ว. วชิรเมธี บอกให้มาช่วยดูแลงานบางส่วนที่น้องต้องทำงานร่วมกับต่างประเทศ ซึ่งแน่นอน บุ๋มไม่ได้ตังค์และเต็มใจช่วยเพราะคนที่บุ๋มเคารพบอกมา น้องที่บุ๋มรักขอมา ดังนั้น แทนที่จะช่วยๆ กัน กลับมานั่งคิด ทำไมต้องคนนั้นคนนี้ ทำไมบุ๋มล่ะ? จะทำดีก็วุ่นวายเนอะ เพลียที่จะต้องมานั่งอธิบายเรื่องที่ตัวเองขอแอบช่วยเหลือคน แค่วันนี้มีการไลฟ์สด ถามกันเชียว หายงงกันแล้วเนอะ ขอช่วยดูแลน้องๆ อย่างเงียบๆ ต่อนะคะ ขอบคุณคับ! #ขอทำงาน #งดดราม่า
5 มี.ค.62 เมื่อเวลา 10.45 น.ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลุ่มประชาชนอยากเลือกตั้ง นำโดย นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ หรือ "ฟอร์ด เส้นทางสีแดง" ยื่นหนังสือขอให้ กกต.พิจารณายุบพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) และพรรคประชาชนปฏิรูป (ปชช.)
โดย นายอนุรักษ์ กล่าวว่า ขอให้ กกต.ยุบพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่มี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้ก่อตั้ง และได้ให้การสนับสนุนเดินสายปราศรัยหาเสียง เป็นการกระทำที่ครอบงำบงการการดำเนินงานของพรรค เนื่องด้วยเหตุผลที่นายสุเทพ ได้ถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้องในข้อหากบฏและข้อหาก่อการร้าย ในคดีพิเศษที่ 261/2556 จากเหตุการณ์การชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ระหว่างปี 2556 - 2557 ดังนั้น ขอให้ กกต.พิจารณายุบพรรครวมพลังประชาชาติไทย เนื่องจากมีการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
พร้อมกันนี้ ขอให้ยุบพรรคประชาชนปฏิรูป (ปชช.) ที่มี นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นหัวหน้าพรรค เพราะนายไพบูลย์ ได้ถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้องในข้อหากบฏจากเหตุการณ์การชุมนุมของ กปปส.ระหว่างปี 2556 - 2557 จึงขอให้พิจารณายุบพรรคประชาชนปฏิรูปด้วย เนื่องจากมีการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่นเดียวกัน
ทำให้หลายๆคนแทบจำเธอไม่ได้ สำหรับอดีตดารานักแสดงสาว มนัสนันท์ ปานดี หรือ ต่าย ที่เคยโด่งดังจากนักแสดงตัวประกอบภาพยนตร์ เรื่องแสบสนิท ศิษท์ส่ายหน้า และเรื่องโกยเถอะโยม อดีตเธอเคยต้องคดีเกี่ยวกับยาเสพยาติดมาแล้วถึง 2 ครั้ง รวมถึงมีคดีลักทรัพย์ ต่อมาเกิดอุบัติเหตุรถชน กลายเป็นผู้มีปัญหาด้านสุขภาพจิต อาศัยอยู่ที่จุดพักจักรยานยนต์รับจ้าง ประตูทางเข้า สุสานสว่างประทีบธรรมสถาน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
ล่าสุด เฟซบุ๊กของ Pooweset Morya ได้แชร์คลิปสภาพของ ต่าย ที่มีผิวพรรณหมองคล้ำ มีแผลเป็นตามร่างกายตัดผมสกินเฮดและคล้ายกับขอทานนั่งอยู่ริมถนน แต่เธอยังสามารถสื่อสารได้ตามปกติ เจ้าตัวรู้ด้วยว่าสาเหตุที่ชีวิตตกอับแบบนี้เพราะว่าคบเพื่อนไม่ดี ชักจูงกันไปทำสิ่งไม่ดีและหลงระเริง จากในคลิปเธอยังบอกอีกด้วยว่าอยากหวนกลับมารับงานแสดงอีกครั้ง
6 มี.ค.62 นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ให้สัมภาษณ์ประเด็นทางการเมือง โดยกล่าวถึงเสียงตอบรับจากการลงพื้นที่หาเสียง ว่า จากการลงพื้นที่ พบว่าประชาชนให้การตอบรับอย่างอบอุ่น และพรรคได้รับการตอบรับเกินความคาดหมายในเรื่องนโยบายซึ่งเน้นแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชนเป็นหลัก โดยการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ ตนได้พบปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คือประชาชนหยิบแผ่นพับนโยบายของพรรคมาอ่านอย่างละเอียด ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ ในพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวจำนวนมาก ประชาชนต่างชื่นชอบนโยบายข้าวแบ่งปันกำไร รวมถึงการนำบุรีรัมย์โมเดลไปพัฒนาจุดเด่นของแต่ละจังหวัดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว
นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับนโยบายการพักหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) 5 ปี เพราะเราไม่ต้องการให้ลูกหลานรับปริญญาพร้อมกับใบแจ้งหนี้ รวมถึงต้องปลดภาระผู้ค้ำประกัน ใครกู้ยืมคนนั้นต้องเป็นคนจ่าย ไม่ใช่ไปติดตามจากคนอื่น ทั้งนี้ รัฐเองก็มีส่วนก่อให้เกิดหนี้ดังกล่าวด้วย จึงต้องรับภาระในระดับหนึ่ง ส่วนนโยบายปลูกกัญชาเสรี แม้ว่าจะมีเสียงสะท้อนเป็นจำนวนมาก แต่พรรคยืนยันในนโยบายดังกล่าว ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกัญชาได้ เพราะเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง ยืนยันไม่ใช่การมอมเมาประชาชน นั่นเป็นวาทกรรมของคนที่คิดไม่ถึงว่านโยบายนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน และในความเป็นจริง ทุกอย่างอยู่ที่การควบคุมโดยกฎหมาย ซึ่งตามข้อเท็จจริง กัญชาไม่ต่างจากเหล้าและบุหรี่ คนที่มีสติสัมปชัญญะในการใช้ก็จะสามารถควบคุมตัวเองได้ แต่ใครที่ใช้มากเกินไปก็ต้องใช้กฎหมายควบคุม อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการที่พรรคเสนอนโยบายดังกล่าว ไม่ได้เป็นการเสนอให้คนมาเสพกัญชา แต่เป็นการให้สิทธิประชาชนปลูกเพื่อสร้างรายได้ อีกทั้งนโยบายของพรรค ยังป้องกันการผูกขาดสัมปทานกัญชาจากนายทุนเพื่อให้ประชาชนได้พัฒนาหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์โดยไม่ติดลิขสิทธิ์ทางปัญญา
เมื่อถามว่า จากการแลกเปลี่ยนหารือกับทูตหลายประเทศ เขามองสถานการณ์การเมืองไทยอย่างไร นายอนุทิน ทุกชาติเห็นตรงกันว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีการเลือกตั้ง จึงจะยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างสง่างาม ไม่ถูกกดดัน ไม่ถูกเอาเปรียบ หรือถูกตั้งเงื่อนไขใดๆ จ้องหน้าใครก็ไม่ต้องก้มหน้าหลบสายตา ดังนั้น รัฐบาลต้องมาจากเสียงของประชาชน
เมื่อถามว่า พรรคภท.ถูกมองว่าใกล้ชิดกับทหาร รวมถึงพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) นายอนุทินกล่าวว่า ถ้าใกล้ชิดจริง ทำไมจึงถูกด่าว่าเลอะเทอะ โดยเฉพาะนโยบายกัญชา ส่วนหลังเลือกตั้ง พรรคจะร่วมรัฐบาลกับใครได้หรือไม่นั้น เราจะยึดประชาชนเป็นหลัก วันนี้พิสูจน์ได้แล้วว่าเราไม่ได้ติดหนี้บุญคุณใครและไม่มีจับมือกับใครก่อน ต่างคนต่างแข่งขันเหมือนกับการตีกอล์ฟที่ต้องทำผลงานของตนเองให้ดีที่สุด และเชื่อว่าจะมีส.ส.มากพอที่จะเข้าไปผลักดันนโยบายและแก้ปัญหาได้ในสภาฯ
เมื่อถามว่า พรรคตั้งเป้าได้จำนวนส.ส.กี่ที่นั่ง นายอนุทิน กล่าวว่า ขอเก็บไว้กับตัวเองและผู้บริหารพรรค ทุกคนทราบหมดว่าจะได้ส.ส.เข้ามากี่คน ซึ่งจะไม่เป็นไปตามผลการสำรวจที่ผ่านมา ทั้งนี้ ตนคาดหวังว่าจะได้ทำในสิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยนำพาประเทศไปข้างหน้าแบบไร้ความขัดแย้ง ตนเชื่อว่าพรรคภท.จะเป็นส่วนที่ทำให้เกิดสิ่งที่ดี ส่วนแนวโน้มรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง จะมีเสถียรภาพหรือไม่นั้น ตนหวังว่าต้องมีพรรคภท.ร่วมรัฐบาล จึงจะทำให้รัฐบาลมีความมั่นคง ถ้ามีพรรคภท. จะไม่มีขั้วและจะบอกทุกฝ่ายให้ไปในทางสายกลาง ตนเชื่อว่าทุกพรรคมีความตั้งใจและอยากเห็นประเทศชาติก้าวหน้า แต่ที่ผ่านมามันไม่มีทางลง ดังนั้น ครั้งนี้ก็สามารถผ่านมาทางพรรคภท.ได้
“แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่พรรคภูมิใจไทยจะสนับสนุน ต้องเป็นส.ส. และมาจากเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎร เราไม่ยอมให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มาจากประชาชนมาเป็นผู้กำหนด เรารับไม่ได้ที่จะให้คนที่ไม่ได้มาจากประชาชนมาเลือกนายกฯ และไม่เห็นด้วยกับการที่ให้ 250 ส.ว.มาโหวตเลือกนายกฯ รวมถึงการเป็นนายกฯเสียงข้างน้อยที่มีคะแนนปริ่มๆ ประเทศจะเสียหาย ดังนั้น ส.ส.ต้องตระหนัก ทำให้นายกฯสง่างามและรัฐบาลสามารถทำงานได้ตามกลไกรัฐสภาที่มีฝ่ายบริหารและฝ่ายตรวจสอบ ที่ผ่านมาเราเสียโอกาสมามากแล้ว คน 500 คนจะไปเดินตามคน 250 คนได้อย่างไร แต่คน 500 คนต้องเป็นผู้นำคน 250 คน เพราะพวกเขาเป็นตัวแทนของคนไทย ต้องมีเสียงดังและสิทธิที่มากกว่า” นายอนุทิน กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)จะไม่ขึ้นเวทีปราศรัยในวันที่ 10 มี.ค.นี้ ที่จ.นครราชสีมา นายอนุทิน กล่าวว่า แต่ละพรรคมีกลยุทธ์กลเม็ด แต่วิธีการสร้างความนิยมนั้น ตนขอให้ทุกพรรคต่อสู้บนความยุติธรรม อย่าชกใต้เข็มขัด และตนไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ใคร อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าพรรคภท.ไม่เล่นกีฬาสีอีกแล้ว และมองว่าสิ่งสำคัญของการทำงานการเมืองนั้น ไม่ใช่การเป็นรัฐบาล แต่คือการที่นักการเมืองต้องนำพาตัวเองไปเป็นผู้แทนราษฎร นี่คือสิ่งที่ถือว่าประสบความสำเร็จในอาชีพนักการเมือง
เมื่อถามว่า มีความกังวลหรือไม่ต่อกระแสข่าวที่ว่า หากมีบางคนไม่ชนะการเลือกตั้ง การเลือกตั้งอาจจะเป็นโมฆะได้ นายอนุทิน กล่าวว่า “คนตัดสินคือประชาชน คนสั่งการให้ใครเป็นอะไรคือประชาชน ดังนั้น ใครจะมา T.K.O.(แพ้น็อก) หรือจะไปน็อกพี่น้องประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งประเทศ ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า Be my guest(เชิญตามสบาย) ส่วนผมจะเป็นคนลอยอังคารให้”
6 มี.ค.62 นิตยสารฟอร์บสได้เผยแพร่การจัดอันดับมหาเศรษฐีของโลก ครั้งที่ 33 โดย เจฟฟ์ เบซอส (Jeff BeZos) ผู้ก่อตั้งบริษัท อเมซอน บริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของโลก ยังคงครองแชมป์อันดับ 1 ด้วยทรัพย์สิน 131,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 2 ตามมาด้วยอดีตแชมป์อย่าง บิล เกตส์ (Bill Gates) ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ด้วยทรัพย์สิน 96,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเศรษฐีอันดับอื่นๆ ดังนี้
อันดับ 3 Warren Buffet มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 82,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อันดับ 4 Bernard Arnault และ ครอบครัว มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 76,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อันดับ 5 Carlos Slim Helu และ ครอบครัว มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 64,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อันดับ 6 Amancio Ortega มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 62,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อันดับ 7 Larry Ellison มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 62,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อันดับ 8 Mark Zuckerberg มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 62,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อันดับ 9 Michael Bloomberg มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 56,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อันดับ 10 Larry Page มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 52,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับเศรษฐีไทย ตระกูลเจียรวนนท์ เจ้าของเครือเจริญโภคภัณฑ์ อยู่ในอันดับที่ 75 ของโลก ครองอันดับหนึ่งในไทยด้วยทรัพย์สินมูลค่า 15,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วย นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ อันดับที่ 87 ของโลก ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 14,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา และครอบครัว เจ้าของ คิง เพาเวอร์ ธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีและเจ้าของสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ มาในอันดับที่ 260 ของโลก ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 5,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ในอันดับที่ 1,281 ของโลก ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ นิตยสารฟอร์บสไทย ระบุว่า ภาพรวมการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกประจำปี 2019 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมของมหาเศรษฐี อยู่ที่ 8.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากปีที่ผ่านมา 4 แสนล้านเหรียญฯ โดยการจัดอันดับความมั่งคั่งประจำปีนี้ มีมหาเศรษฐีถึง 247 รายหลุดจากการจัดอันดับของ Forbes ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากที่สุดจากการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกนับตั้งแต่ปี 2009 ที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินโลก
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012