ข่าว
'พ่อ/แม่'เว่อร์ปรนนิบัติลูก 'รถบ้าน-แม่นม'รอหน้ารร.

เว็บไซต์ข่าวจีน “พีเพิล เดลี” รายงานจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ว่า ชาวเน็ตจีนพากันแชร์ชุดภาพคาราวาน "รถบ้านสีเขียว" สุดหรู ภายในจัดเป็นที่นอน จอดอยู่หน้าโรงเรียนแห่งหนึ่ง พร้อมกับหญิงไม่ทราบชื่อ ตั้งเตาและกระทะเล็กๆ ทำอาหาร ซึ่งในเวลาต่อมาจึงทราบว่า พ่อ-แม่ของเด็กหญิงรายหนึ่ง ลงทุนจ้างคนขับรถบ้านคันดังกล่าว ให้มาจอดรอลูกตัวเองที่หน้าโรงเรียน เพื่อที่เด็กจะได้นอนกลางวันบนรถ หลังจากการติวหนังสือ

นอกจากนี้ ยังจ้าง "แม่นมวัยกลางคน" มาคอยทำอาหารให้รับประทานด้วย โดยโรงเรียนนี้ ตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบสุยกั่ว เมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย์ ทั้งนี้ "รถบ้าน" ถูกตำรวจจราจรในบริเวณใกล้เคียงไล่ เนื่องจากไปจอดกีดขวางทางเข้า-ออกโรงเรียน คนขับจึงต้องไปจอดที่ถนน ซึ่งอยู่ติดกัน ส่วนแม่นมซึ่งกำลังตั้งเตาทำอาหารให้เด็กอยู่ข้างถนนเอง ก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขับไล่ออกไปจากพื้นที่เช่นกัน ในตอนแรกเธอขัดขืน สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนแต่โดยดี

เมื่อภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่บนโลกอินเตอร์เน็ต ชาวจีนจำนวนมาก ต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของพ่อ-แม่ที่ปรนนิบัติลูกมากเกินไป จนอาจกลายเป็นการตัดขาดเด็กออกจากสังคมที่แท้จริง

ป.ป.ช.แนะมท.อุดช่องโกงงบตำบลละ 5 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย มาหารือกับกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา ถึงการดำเนินงานตามโครงการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในระดับตำบล ตำบลละ 5 ล้านบาท โดยตนบอกไปว่าป.ป.ช.มีแผนแม่แบบของชุมชนอยู่แล้ว เพื่อให้ดำเนินการอย่างใสสะอาด และต่อต้านการทุจริต หากมีงบประมาณลงไปแล้วทำได้ตามแผน ก็รับรองว่างบประมาณไม่สูญ และถ้ากระทรวงมหาดไทยเกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่านำงบประมาณไปใช้ฟุ่มเฟือย ป.ป.ช.ยินดีที่จะให้หน่วยงานที่ดูแลชุมชนเหล่านี้เข้ามาร่วมในกิจกรรมหมู่บ้านช่อสะอาด เพื่อไม่ให้งบประมาณที่ลงไปกลายเป็นเบี้ยหัวแตก โดยตนให้ข้อสังเกตว่าการกำหนดตัวบริษัทที่จะจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์โดยไม่ได้เน้นด้านคุณธรรมจริยธรรม เอาแต่เรื่องของวัตถุพียงอย่างเดียวถือว่าไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของราชการ

กรรมการ ป.ป.ช. ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีตรวจสอบกรณีการทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัยจีที 200 และอัลฟา 6 ว่า คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ กำลังดำเนินการเรื่องการขอข้อมูลซึ่งขณะนี้เป็นไปอย่างไม่เป็นทางการระหว่าง ป.ป.ช กับต่างประเทศทำให้ยังไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและไม่เป็นทางการ จึงต้องทำข้อตกลงระหว่างประเทศและต้องทำหนังสือเพื่อยืนยันเรื่องบางเรื่องอย่างเป็นทางการและเพื่อขอข้อมูลอย่างเป็นทางการไปยังประเทศอังกฤษ โดยเฉพาะเรื่องคำตัดสินคดีของต่างประเทศที่เราจะต้องขอรายละเอียดมาให้ครบ.

เมื่อถามว่าให้แนวทางแก้ในการอุดช่องโหว่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยอย่างไร นายวิชา กล่าวว่า บอกให้รู้ว่าจะต้องให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นการสั่งลงไปจากข้างบนเท่านั้น และไม่ใช่ทำโครงการแล้วกลับเกิดผลออกมาว่าชาวบ้านไม่เต็มใจ อีกทั้งเรื่องนี้ถือเป็นการแสดงให้เห็นการเริ่มต้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม การหารือครั้งนี้ถือว่าเป็นการให้ความคิดเห็นในแง่วิชาการ จากนี้ กระทรวงมหาดไทยจะต้องมีการประสานงานกับ ป.ป.ช.เพื่อตั้งคณะทำงานร่วมกันเฝ้าระวัง


กองประกวดไม่ยึดมงกุฎ แค่อยากให้'มิ้นต์'ขอโทษ

จากกรณีที่ "มิ้นต์-ขนิษฐา ผาแสง" สาวน้อยวัย 17 ปี ที่คว้าตำแหน่งมิสอันเซ็นเซอร์นิวส์ไทยแลนด์ Miss Uncensored News Thailand 2015 มาครอบครองแต่กลับต้องฝันสลายเพราะ ทางกองประกวดจับได้ว่า มิ้นต์-ขนิษฐา มีวุฒิการศึกษาไม่ตรงกับเกณฑ์ที่กำหนด คือต้องจบการศึกษา ม. 6 ขึ้นไป ขณะที่โซเชียลมีเดีย เริ่มนำภาพที่ มิ้นต์ก้มกราบแม่ และช่วยเก็บขยะหาเลี้ยงครอบครัวมาเผยแพร่ ทำให้คนยกย่องในความกตัญญูเป็นอย่างมาก ขณะที่ มิ้นต์-ขนิษฐา วิงวอนขอให้กองประกวดเห็นใจ เนื่องจากเงินรางวัลที่ได้มาต้องนำไปให้เป็นทุนการศึกษาของน้องอีก 3 คน สุดท้ายทำให้ทางกองประกวดมีแนวโน้มที่จะไม่ริบรางวัลดังกล่าวคืน แต่จะพิจารณาจากคุณความดีอีกครั้ง ดังที่ปรากฏเป็นข่าวมาแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 'เดซี่-สมชาย เล็กน้อย' ผู้จัดการประกวดเวทีดังกล่าว ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตอนนี้เรื่องราวไปกันใหญ่แล้ว โดยหลังจากมินต์ได้รับรางวัลดังกล่าวแล้ว ทางมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้ติดต่อกับกองประกวด เพื่อให้น้องมินต์เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา แต่ทราบภายหลังว่า แท้จริงแล้ว น้องมิ้นต์จบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เท่านั้น ตนจึงอยากให้น้องออกมาขอโทษสังคม เพื่อไม่ให้ถูกขุดคุ้ยมากกว่านี้

"เดซี่-สมชาย" กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ทางกองประกวดไม่ได้มีเกณฑ์กำหนดว่า ผู้สมัครจะต้องจบการศึกษาขั้นต่ำที่ระดับใด และทางกองประกวดมีความตั้งใจจะผลักดันเรื่องการศึกษาให้กับนางงามทุกคนอย่างเต็มที่ ยืนยันว่า จะไม่ยึดรางวัลและมงกุฎของน้องมิ้นต์อย่างแน่นอน

"ทางเราปรึกษากันแล้วว่า จะไม่ยึดรางวัลและมงกุฎของน้องมิ้นต์อย่างแน่นอน เวทีของเราไม่ได้มีการกำหนดเกณฑ์วุฒิการศึกษาขั้นต่ำเพื่อใช้ในการประกวดอยู่แล้ว แต่เมื่อมีทางมหาวิทยาลัยสนใจจะให้น้องไปศึกษา แล้วมาทราบว่า น้องมินต์จบเพียงชั้น ม. 3 และจะได้รับวุฒิการศึกษาในเดือนหน้านี้เท่านั้น เวทีของเราเน้นการปั้นดินให้เป็นดาวอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหญิงแท้ หญิงเทียม ยากดีมีจนหรือจบการศึกษาระดับไหนมา เราก็พร้อมจะสนับสนุนให้เต็มที่อยู่แล้ว" ผู้จัดการประกวดกล่าวทิ้งท้าย.


โยธาฯเร่งสำรวจพื้นที่ทำผังพัฒนาภูทับเบิก

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีปัญหาที่การบุกรุกจากกลุ่มนายทุนสร้างรีสอร์ท โรงแรม ที่พัก บริเวณพื้นที่ภูทับเบิก เป็นจำนวนมาก โดยไม่มีการบริหารจัดการที่ดี ทำลายทัศนียภาพที่สวยงามทางธรรมชาติ และอาจไม่ได้มาตรฐานเรื่องความปลอดภัยของอาคาร ว่า จากการประชุมระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และหน่วยงานจาก จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อสรุปประเด็นแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาการก่อสร้างบ้านพักและรีสอร์ทอย่างไร้ระเบียบ และอาจไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยของอาคาร ได้ข้อสรุปว่าหน่วยงานหลักคือกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และกรมป่าไม้ จะต้องดำเนินการมาตรการ 8 ข้อ ซึ่งประเด็นเร่งด่วนคือการสำรวจและจัดทำแผนภายใน 3 เดือน การคัดกรองคุณสมบัติผู้ที่อยู่อาศัย และการดำเนินการจัดทำผังการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ในภาพรวม ภายใน 8 เดือน

นายมณฑล กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันหน่วยงานในจังหวัดจะร่วมกันฟื้นฟูสภาพนิเวศ ส่วนกรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นหน่วยงานสนับสนุน จะดำเนินการดังนี้ 1.ตรวจสอบสภาพความปลอดภัยของอาคารและสิ่งปลูกสร้าง และแนะนำแนวทางแก้ไขกับเจ้าของผู้ครอบครองอาคาร ให้เสร็จภายในวันที่ 10 พ.ย.นี้ 2.ร่วมกับท้องถิ่นจัดทำร่างข้อบัญญัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ในระหว่างที่รอประกาศใช้ผังเมืองรวมจังหวัดเพชรบูรณ์ คาดว่าจะบังคับใช้ภายในสิ้นปี 2558 และ 3.หากมีผังขอบเขตพื้นที่ชัดเจนแล้ว จะเตรียมสำรวจพื้นที่ เพื่อจัดทำผังพัฒนาพื้นที่เฉพาะเป็นผังเสนอแนะ ในระดับพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อรองรับแนวทางพัฒนาพื้นที่อย่างเหมาะสม.


เสื้อแดงนัดเชียร์"ปู"ที่ศาลฎีกาฯพรุ่งนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 29 ต.ค.นี้ ตามที่ศาลฯนัดไต่สวนคู่ความเพิ่มเติมในคดีทุจริตจำนำข้าว ได้มีความเคลื่อนไหวของแนวร่วมคนเสื้อแดงปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ โดยได้มีการเผยแพร่ข้อความนัดหมายซึ่งเชิญชวนให้คนเสื้อแดงออกมาช่วยกันสร้างปรากฏการณ์แสดงพลังที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ ในวันที่ 29 ต.ค. เวลา 09.00 น. โดยขอให้ออกมารวมตัวกันเท่าที่จะมากได้ เพื่อให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในคดีจำนำข้าว

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการ "มองไกล"ผ่านเว็บไซต์ยูทูบ ตอนหนึ่งว่า การนัดใส่เสื้อแดงวันที่ 1 พ.ย.นี้ มีสิ่งที่น่าสังเกตเพราะเกิดความไม่ปกติขึ้น ไม่ใช่พวกตนเท่านั้นที่กังวล แต่นายกรัฐมนตรีเริ่มมีสีหน้าและแววตาเป็นกังวลด้วย เพราะมีหน่วยข่าวกรองรายงาน จึงเข้าใจถึงการขยายให้เกิดความปั่นป่วนให้นัดใส่เสื้อแดง โดยมีเป้าหมายที่จะกวาดแกนนำเสื้อแดง ทั้งส่วนกลางและต่างจังหวัด ประชาชนจะได้รับผลกระทบอย่างคาดไม่ถึง เนื่องจากการต่อสู้ของ นปช.ที่ผ่านมาได้รับบทเรียนมากมาย ตนจึงรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น และพยายามอธิบายให้คนเสื้อแดงฟัง แต่ถูกบิดเบือนโดยจงใจ หรือแสดงถึงขบวนการสมคบคิดได้อย่างน่าสนใจ บางพวกหนีไปต่างประเทศแล้วนัดคนในประเทศ ซึ่งเป็นธรรมหรือไม่กับคนที่อยู่ในประเทศ เมื่อไม่มีใครขึ้นกับใครอยู่แล้ว ควรประกาศเป็นเอกราชจาก นปช.เลย ดังนั้น ถ้ากล้านัดก็เข้ามาในประเทศ แต่เอามัน เอาสะใจ ไม่มีรับผิดชอบ

ประธาน นปช. กล่าวอีกว่า การที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่รับผิดชอบการปราบปรามมาเฟียและอาวุธสงคราม บอกว่าจะไปตามยึดปืนที่ถูกยึดในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ซึ่งยังไม่ได้คืน โดยในความเป็นจริงแล้ว เจ้าหน้าที่ได้คืนให้ครบถ้วนแล้ว ดังนั้น เมื่อจุดเริ่มต้นมีปรากฎการณ์แปลกในการตั้งคณะกรรมการปราบมาเฟีย แล้วยังมีการเดินหน้านัดใส่เสื้อแดงวันที่ 1 พ.ย. จึงผิดปกติอย่างยิ่ง เพราะอยู่มา 1 ปีเศษ เพิ่งมาประกาศปราบมาเฟีย และยังมาเฉลยเรื่องอาวุธเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ดังนั้น อาการที่ร้อนรนนี้ ตนเห็นสิ่งไม่ปกติ

"ในวันนี้ โดยเฉพาะประชาชนที่มีความบริสุทธิ์ใจ เพราะคนในแวดวงนั้นคนขายตัวก็มี คนทรยศหักหลังก็มี เป็นสปายสายลับก็มี แสร้งทำตัวเป็นพวก แต่ลับหลังรับใช้ศัตรูมาเข่นฆ่าทำลายพวกในขบวนการเดียวกันก็มี พยายามปั่นกระแส"นายจตุพร กล่าว.

ไทยอันดับร่วง ประเทศเอื้อทำธุรกิจ ธนาคารโลก ระบุ มีสารพัดปัญหา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารโลกได้เผยแพร่ รายงานความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Doing Business 2016) ที่จัดทำโดยกลุ่มธนาคารโลกพบว่าตลอดปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการประกอบธุรกิจ ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้คงอยู่ใน 50 ประเทศแรกที่มีความสะดวกในการประกอบธุรกิจทั่วโลก โดยไทยอยู่ในลำดับที่ 49 จาก 189 ประเทศทั่วโลก ลดลงจากปี 2558 ที่อยู่ลำดับที่ 46 อย่างไรก็ตาม แม้อันดับจะลดลงแต่ประเทศไทยก็มีคะแนนเพิ่มขึ้นจาก 71.33 คะแนนเป็น 71.42 คะแนน ส่งผลให้ไทยอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซียที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ติดต่อกันมา 10 ปี

รายงานระบุว่า ประเทศที่ครองแชมป์การจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจประจำปีของกลุ่มธนาคารโลก ได้จัดให้สิงคโปร์เป็นที่ 1 ของโลกติดต่อกัน 10 ปี ส่วนประเทศ อื่นๆ ในภูมิภาคนี้ที่ติด 20 อันดับแรกได้แก่ นิวซีแลนด์ อันดับ 2 เกาหลีใต้ อันดับ 4 เขตปกครองพิเศษฮ่องกง อันดับ 5 ไต้หวัน อันดับ 11 ออสเตรเลีย อันดับ 13 และมาเลเซีย อันดับ 18 เป็นต้น ขณะที่ประเทศที่รั้งอันดับสุดท้ายได้แก่ เอริเทรีย

นายอูริค ซาเกา ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า อนาคตประเทศไทยยังมีโอกาสที่จะปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการประกอบธุรกิจ เช่น การปรับปรุงตัวชี้วัดด้านการบริหารจัดการที่ดินอย่างมีคุณภาพโดยการนำระบบดิจิตอลมาใช้ในระบบฐานข้อมูลที่ดินเพื่อความสะดวกในการสืบค้นการปฏิรูปนี้จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางที่มีความก้าวหน้าในการปฏิรูปเพื่อส่งเสริมบรรยากาศในการลงทุนอย่างจริงจังตลอดหลายปีที่ผ่านมา

"ปีนี้นับเป็นปีที่ 2 ที่รายงาน Doing Business ได้เพิ่มตัวเปรียบเทียบมาตรฐานที่สามารถวัดคุณภาพของกฎระเบียบ รวมทั้งประสิทธิภาพของกรอบกฎระเบียบในการดำเนินธุรกิจเพื่อช่วยให้การเก็บข้อมูลในการวิจัยสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้นกว่าเดิมนอกจากนี้ รายงานฉบับนี้มีการปรับปรุงตัวชี้วัดจำนวน 5 รายการดังนี้ การขออนุญาตก่อสร้าง การขอใช้ไฟฟ้า การบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง การจดทะเบียนทรัพย์สิน และการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกสามารถปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นได้" นายซาเกากล่าว และว่า ที่ผ่านมาถือว่าไทยมีความใส่ใจการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะการปรับลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง รวมทั้งการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 20% เป็นการถาวร และการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับธุรกิจเงินร่วมลงทุนและภาษีเงินปันผล ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการประกอบธุรกิจในไทยเป็นอย่างมาก

นายซาเกากล่าวว่า ประเทศไทยมีโอกาสที่จะปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับการค้า การลงทุน อาทิ การปฏิรูประบบราชการอย่างมีบูรณาการ การบริหารการใช้ที่ดินให้มีประสิทธิภาพ และพัฒนาเทคโนโลยีบนพื้นฐานข้อมูลที่ทันสมัย รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชน ด้วยการลดอุปสรรคการประกอบธุรกิจให้ลดลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยให้เพิ่มมากขึ้น