ข่าว
ทรัมป์ซัดผู้ประท้วงไม่แฟร์! เป็นพวก ‘ประท้วงมืออาชีพ’

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ผ่านมา หลังจากเมื่อวานนี้ได้เดินทางเข้าทำเนียบขาวเพื่อพบกับนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีคนปัจจุบันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

โดยนายทรัมป์ทวีตข้อความระบุว่า วันนี้เป็นวันที่มหัศจรรย์มากวันหนึ่งสำหรับเขาใน ดี.ซี. ที่ได้พบกับโอบามาเป็นครั้งแรก เป็นการพบปะที่ดีมาก นอกจากนี้ นายทรัมป์ยังทวีตแสดงความเห็น หลังจากยังคงมีประชาชนจำนวนมากแสดงออกโดยการประท้วงการที่ทรัมป์ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยระบุว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นการเลือกตั้งที่ประสบผลสำเร็จและเปิดกว้าง แต่กลับมีนักประท้วงมืออาชีพที่ถูกกระตุ้นและสนับสนุนโดยสื่อมวลชนกำลังประท้วงสิ่งนี้ โดยทรัมป์ทิ้งท้ายว่า “ไม่ยุติธรรมอย่างมาก”

สมเด็จพระบรมฯ ทรงเป็นประธาน งานวันราชวัลลภ ประจำปี 2559

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงเป็นประธาน “งานวันราชวัลลภ” ประจำปี 2559 ณ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร

อนึ่ง วันที่ 11 พฤศจิกายน 2559 เป็นวันราชวัลลภปีที่ 148 ของกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ ขณะที่วันราชวัลลภนั้น คือวันคล้ายวันสถาปนากรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ซึ่งจอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ในขณะทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็ก ได้ทรงชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องวันตั้งกรมไว้ว่า ไม่ปรากฏว่ากรมทหารมหาดเล็กได้เกิดขึ้นเมื่อวันใด เพราะไม่มีหลักฐานที่จะกำหนดได้ ปรากฏแต่ว่าได้มีทหารซึ่งเรียกว่า ทหารมหาดเล็กนั้นขึ้นแต่ปี พ.ศ.2411 ซึ่งเป็นปีเถลิงถวัลย์ราชสมบัติของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นหลักฐานสำหรับจดจำและระลึกถึงวันตั้งกรมทหารมหาดเล็กสืบไปภายหน้า จึงได้สมมุติให้วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2411 คือวันบรมราชาภิเษกแห่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นวันกำเนิดของกรมนับแต่นั้นเป็นต้นมา


คนแห่ซื้อข้าวอดีตนายกฯ ชั่วโมงเดียวเกลี้ยง 10 ตัน

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 11 พฤศจิกายนที่บริเวณหน้าศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์สำโรง จ.สมุทรปราการ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมอดีตรัฐมนตรี แกนนำ และอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย (พท.) อาทิ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกฯและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค น.ส.อนุตตมา อมรวิวัฒน์ รักษาการรองเลขาธิการ นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จว่นิชย์ อดีตส.ส.กทม. นางสมหญิง บัวบุตร อดีตส.ส.อำนาจเจริญ ร่วมให้กำลังใจและช่วยชาวนาจากจ.อุบลราชธานี จ.อำนาจเจริญ จ.มหาสารคาม จ.ร้อยเอ็ด จ.สุรินทร์ จำหน่ายข้าวสารจำนวน 10 ตัน ที่ชาวนานำมาขาย โดยจัดจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 20 บาท ถุงละ 5 กิโลกรัมหรือ 100 บาท โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีมวลชนจำนวนมากรอเข้าคิวซื้อข้าวตั้งแต่ช่วงเวลา 14.30 น.

ทั้งนี้ทันทีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์มาถึงมวลชนต่างโห่ร้องต้อนรับ พร้อมขอถ่ายรูป และซื้อข้าวกันอย่างคึกคัก โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ว่า รอบแรกตนตั้งใจที่จะแสดงเจตจำนงว่าเราต้องการช่วยชาวนา เราจึงไปซื้อข้าวมาแล้วนำมาขาย แต่ช่วงหลังนี้พี่น้องชาวนาติดต่อมาทางส.ส. ว่า อยากให้ช่วยขายอีก ดังนั้น เราจึงคิดว่าเราจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการช่วยชาวนาในการขายข้าว ซึ่งครั้งนี้ก็จะมีข้าวจาก 5 จังหวัดอุบลราชธานี สุรินทร์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และอำนาจเจริญ ซึ่งมีตัวแทนพี่น้องชาวนาจาก 5 จังหวัดนี้มาร่วมขายกับเราด้วย โดยอย่างน้อยชาวนาก็จะได้มารับรู้ความรู้สึกร่วมกันว่า ทุกคนทั้งประเทศมีความห่วงใยชาวนา ซึ่งก็ถือเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งนี้จากที่สัมผัสชาวนาเองก็รู้สึกดีใจ เพราะชาวนาเองให้มีช่องทางในการจัดจำหน่ายเราก็ประสานงาน และจัดพื้นที่ให้

เมื่อถามว่า ฝ่ายตรงข้ามมองว่าการจัดกิจกรรมครั้งนี้เป็นการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนก็ไม่อยากจะวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนี้แล้ว เพราะเราไม่อยากมาโต้เถียงด้วยคารมต่างๆ แต่สิ่งที่เราเห็นและเชื่อว่าพี่น้องประชาชนก็เห็นนั้นคือเรามีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือชาวนาไทยจริงๆ และเป็นการส่งกำลังใจให้กัน วันนี้ก็ดีใจพี่แนร่วมกันตื่นตัวช่วยเหลือชาวนา

เมื่อถามว่า จะต่อยอดการขายข้าวให้กระจายไปในหลายๆจุดทั่วประเทศหรือไม่ อย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า วันนี้จริงๆแล้วรัฐก็ทำอยู่ ตนก็หวังว่าตรงนี้จะเป็นการช่วยกันทำงานในหลายๆส่วน ก็ต้องค่อยๆดูว่าชาวนาสะดวกตรงไหน เราก็คงจะๆดูบทบาทของเราในการช่วยเหลือชาวนาคนละไม้คนละมือ

เมื่อถามว่า การขายข้าวกิโลกรัมละ 20 บาทเป็นการทุบราคาข้าวหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ราคานี้เป็นราคาที่เราซื้อจากพื้นที่ ชาวนายังมีกำไร ขอยืนยันว่าไม่ได้มองถึงเรื่องการกดราคาแต่อย่างใด เราซื้อได้ในราคาเดียวกับที่ขายอยู่ในต่างจังหวัด ซึ่งเรามีจิตอาสาเข้ามาช่วยดำเนินการให้ข้าวจึงทำให้ต้นทุนลดลง

เมื่อถามว่า จะมีการเข้าไปคุยกับรัฐบาลเพื่อวางแนวทางแก้ปัญหาในระดับใหญ่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “ดิฉันไม่แนะนำรัฐบาลหรอกค่ะ รัฐบาลก็มีมืออาชีพอยู่แล้ว ทั้งนี้ วันนี้เราทำหน้าที่ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่ไม่อยากนิ่งดูดายเมื่อเห็นชาวนาเดือดร้อน ซึ่งเราก็ได้เห็นกำลังใจที่มาจากทุกคน ซึ่งดิฉันก็อยากให้ภาพตรงนี้เป็นเสียงสะท้อนไปยังพี่น้องชาวนาไทยว่า คนไทยทุกคนพร้อมดีจังช่วยพี่น้องชาวนา

เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไร ที่รัฐบาลนี้ใช้รนโยบายในลักษณะเดียวกับนโยบายที่ท่านกำลังถูกดำเนินคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เราก็เห็นแล้วว่าทุกรัฐบาลจะต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือชาวนา ซึ่งโครงการต่างๆที่รัฐบาลออกมาก็เพื่อช่วยเหลือชาวนา โดยไม่หวังผลกำไร

เมื่อถามว่า คิดว่าสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่นี้มาถูกทางไหม น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว่า ตนคงไม่ขอแสดงความเห็นในประเด็นนี้ ขอให้ถามชาวนาดีกว่า เราอยากให้ทุกมาตรการส่งถึงชาวนา และให้ชาวนาได้ใช้สิทธิที่รัฐบาลให้มาอย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำนวน 10 ตัน หมดภายในเวลา 1 ชั่วโมง


“วีระ”จวกผู้มีอำนาจยุค คสช. เสียสละแต่รับเงินหลายทาง

เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊กถึงกรณีที่คณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เตรียมเสนอเพิ่มเงินเดือนให้กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และกรณีการรับเงินเดือนควบหลายตำแหน่งของข้าราชการการเมือง อาทิ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. และ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม. ว่า

“เลิกดราม่ากันเสียที ธาตุแท้มันเปิดให้คนทั้งประเทศเห็นหมดแล้ว ปากบอกรักพ่อ จงรัก ภักดี เทิดทูนพ่อ จะเดินตามรอยพ่อ จะขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป แต่ทหาร คสช.ที่แย่งยึดอำนาจ เข้ามาเป็นนักการเมือง รวมถึงข้าราชการทั้งหลาย จะมีสักกี่คนที่คิด พูด และทำทุกอย่างเพื่อชาติและประชาชนไทย จะมีสักกี่คนที่ปฏิบัติตนตามเบื้องพระยุคลบาทของในหลวง บอกตรงๆ เกือบทั้งหมดไม่ได้เสียสละจริง นอกจากไม่เสียสละแล้ว ยังมุ่งแต่กอบโกยโลภมาก มีโอกาสก็ทำทุจริตคอร์รัปชั่น เงินเดือนที่พวกคุณได้รับอยู่ทุกวันนี้ก็มากกว่าชาวบ้านมากกว่าครึ่งประเทศ รัฐบาลทหาร คสช. ยังบอกว่าเงินเดือนน้อย จะขอขึ้นเงินเดือน ผลตอบแทน และสวัสดิการอื่นๆ แต่เมื่ออยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจก็ยังกล้าทำทุจริตคอร์รัปชั่นเสียอีก (มีอะไรเป็นหลักประกันบ้าง ว่าถ้าขึ้นเงินเดือนให้แล้ว การทุจริตจะหมดไปจากแผ่นดินไทย จะมีผู้ใดรับประกันได้บ้าง)” นายวีระกล่าว

“แต่ที่เห็นๆ กันอยู่ก็คือ เกือบทั้งหมดยังรับเงินเดือนหลายทาง ไม่อายต่อสายตาคนไทยทั้งชาติ พอถูกต่อว่าถูกทัดทานก็พูดอย่างไม่อายว่าใครๆ เขาก็ทำ ตัวอย่างเช่น กรณีของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชายนายกรัฐมนตรี ที่รับเงินเดือนในตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม แล้วยังรับเงินเดือนสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนอีกหลายเรื่อง จึงทำให้ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก คสช.ให้มาดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าฯกทม. อ้างทำตามบ้าง อย่างไม่ได้รู้สึกละอายแก่ใจเลย ไม่อายต่อสายตาของคนไทยส่วนใหญ่” นายวีระกล่าว

“ทั้งนี้ พวกทหารที่แย่งยึดอำนาจเข้ามาใช้อำนาจบริหารประเทศ ปากบอกจะเข้ามาคืนความสุขให้คนทั้งประเทศ จะเข้ามาปราบปรามคนทุจริตคอร์รัปชั่น แต่เมื่อดูการกระทำของแต่ละคนแล้ว กลับทำตัวตรงกันข้ามกับที่พูด เกือบทั้งหมดล้วนทำทุกอย่างโดยเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเอง มากกว่าเห็นแก่ผลประโยชน์ของส่วนรวม หยุดสร้างภาพได้แล้ว พวกคุณไม่ได้จงรักภักดีต่อในหลวงอย่างจริงใจ พวกคุณไม่ได้เสียสละจริง พวกคุณไม่ได้ทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อชาติและประชาชนเหมือนพระองค์ท่าน พวกคุณไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงตามแนวพระราชดำริของในหลวง”

นายวีระกล่าวทิ้งท้ายว่า “พวกคุณไม่ได้ซื่อสัตย์สุจริต พวกคุณมีชีวิตที่เห็นแก่ตัว เอาเปรียบสังคม พวกคุณไม่ได้เดินตามรอยเท้าของพระองค์ท่านแต่อย่างใด ไอ้พวกคนดีจอมปลอมทั้งหลายเอ๋ย ระวังกรรมจะตามทันนะ ความชั่วที่ทำจะปกปิดไม่มิด มันจะประจานตัวเอง พวกคุณจะตกเป็นจำเลยในคดีทุจริตคอร์รัปชั่นเสียเอง ถ้าหนีไม่ทัน อาจต้องติดคุกตอนแก่ หรือไม่มีแผ่นดินอยู่ หนีคุกหนีตะรางอาจหนีได้ แต่หนีกรรมชั่วที่ตัวเองทำ หนีไม่พ้นอย่างแน่นอน”


จิตแพทย์ เตือนคนไทยในสหรัฐฯ อาชญากรรมจากความเกลียดชัง

(9 พ.ย.) นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊กเตือนคนไทยในสหรัฐฯ จับตาอาชญากรรมจากความเกลียดชัง หรือ “hate crime” ว่า นโยบายของท่านประธานาธิบดีทรัมป์(ช่วงหาเสียง) บางส่วนมีความคล้ายคลึงกับการโหวต Brexit ใน Referendum ที่ผ่านมาของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะในเรื่องแนวคิดการกีดกันคนพลัดถิ่นทั้งหลาย และความรู้สึกเกลียดชังจากการถูกแย่งงานโดยคนกลุ่มนี้

ทุกการโหวตมีชนะและแพ้ ตามหลักจิตวิทยาสังคมแล้ว คนที่อยู่ข้างโหวตชนะมักจะเกิดความเชื่อว่า…ชุดความคิดของตัวเองนั้นถูกต้อง และเป็นชุดความคิดของคนส่วนมากในประเทศ สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือ การแสดงออกชุดความคิดนี้ในที่สาธารณะอย่างอิสระ และเผลอคิดไปว่าสังคมภายนอกจะเห็นด้วยเสมอ

นี่คือที่มาของ hate crime หรือ อาชญากรรมแห่งการเกลียดชัง เหยียดชนชาติ เหยียดผิว เหยียดเพศ ที่สูงขึ้นอย่างมหาศาลในอังกฤษหลังจากการโหวต Brexit หลังจากผลโหวตให้อังกฤษออกจากอียู นั้น hate crime ในอังกฤษกระโดดขึ้น 41% ในเดือนกรกฎาคมปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และทำให้ภาพรวมทั้งปีสูงขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน (ข้อมูลจาก BBC)

แม้เหยื่อมักจะเป็นคนที่ถูกมองเป็นชนชั้นสองในประเทศ เช่น คนยุโรปตะวันออก โปแลนด์ เอเชียใต้ แต่คนเอเชียตะวันออกอย่างเราๆก็มักโดนลูกหลงได้เสมอ

เอาจริงๆ คนอังกฤษนี่ไม่ได้อินเรื่องการโหวตรอบนี้เท่าการเลือกตั้งของคนอเมริกันด้วยซ้ำ ของอังกฤษมันสูสีกันมากกว่านี้และไม่ได้ถือว่าพลิกล็อคกันมากนัก ไม่ได้มี cyber bullying กับ media war ซัดกันมาก่อนขนาดนี้ เลยไม่ได้มีความรู้สึกแพ้ชนะกันรุนแรงเท่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี US

แน่นอน..ไม่ใช่ทุกคนที่โหวตทรัมป์จะมีความคิดแบบที่ผมว่ามา แต่ผมมั่นใจว่ามันมีคนที่สะสมความแค้นมาก่อนหน้านี้อยู่พอสมควร

….เอาเป็นว่า คนไทยใน US ก็ระมัดระวังตัวกันมากขึ้นนะครับ !


ผู้ชุมนุมปิดถนน ทำลายทรัพย์สิน ประท้วงต้าน”ทรัมป์”ทั่วสหรัฐฯรุนแรงขั้นจลาจล!!

การประท้วงต่อต้านชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ตามเมืองสำคัญๆทั่วสหรัฐฯปะทุขึ้นอีกรอบในวันพฤหัสบดี(10พ.ย.) ทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งแม้ส่วนใหญ่เป็นไปอย่างสันติ แต่มีอย่างน้อยๆ 1 แห่งได้เลี้ยวเข้าสู่ความรุนแรง จนตำรวจต้องประกาศว่าสถานการณ์เข้าสู่จลาจล ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนว่าที่ผู้นำคนใหม่โวยวายกล่าวหาผู้ชุมนุมว่าไม่เคารพต่อกระบวนการประชาธิปไตย

ด้านว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯใช้ทวิตเตอร์ตอบโต้ หลังจากเหล่าผู้ประท้วงทั้งในรัฐสีแดงและสีน้ำเงิน พากันหลั่งไหลไปบนท้องถนนอีกครั้ง เพื่อแสดงความโกรธแค้นที่เขาได้รับชัยชนะอย่างพลิกความคาดหมาย "ทั้งที่เพิ่งมีศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีที่เสรีที่และประสบความสำเร็จที่สุด ตอนนี้พวกผู้ชุมนุมมืออาชีพ ซึ่งปลุกปั่นโดยสื่อมวลชน กำลังประท้วง มันไม่ยุติธรรมเลย"

เหตุประท้วงล่าสุดเกิดขึ้นไล่ตั้งแต่จากพอร์ตแลนด์ ชิโคโก ไปจนถึงนิวยอร์ก โดยแต่ละแห่งมีผู้เข้าร่วมชุมนุมหลักร้อยไปจนถึงหลายพันคน

ในพอร์ตแลนด์ ตำรวจต้องประกาศสถานการณ์จลาจลในค่ำคืนวันพฤหัสบดี(10พ.ย.) อ้างถึงพฤติกรรมอาชญากรรมที่กว้างขวางและเป็นอันตราย พร้อมระบุในทวิตเตอร์มีรายงานว่าคนเหล่านั้นทำลายทรัพย์สินและก้าวร้าวหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่ผู้ชุมุมเดินขบวนไปทั่วเมือง ขณะที่ตำรวจตราหน้าผู้ประท้วงบางส่วนว่าเป็นพวก "นิยมอนาธิปไตย"

เหล่าผู้ชุมนุมพากันพ่นสเปรย์และทาสีตามอาคารต่างๆ และมีบางช่วงก็ปาข้าวของเข้าใส่ตำรวจ ก่อความเสียหายแก่โชว์รูมรถยนต์แห่งหนึ่ง โดยสื่อมวลชนหลายสำนักโพสต์วิดีโอและภาพถ่ายเผยให้เห็นกระจกรถยนต์หลายคันถูกทุบแตก

นอกจากนี้แล้วผู้ประท้วงยังยึดสะพาน สกัดรถยนต์บนท้องถนนและปีนขึ้นไปบนรางรถไฟ ขณะที่วิดีโอหนึ่งที่ถ่ายโดยคริสตัล คอนเตรราส ผู้สื่อข่าวอิสระ พบเห็นการทะเลาะวิวาทกันบนสะพาน หลังผู้หญิงคนหนึ่งปาน้ำยาทำความสะอาดใส่ผู้ประท้วง

ตำรวจเผยว่าบอกว่าผู้คนทุบกระจกห้างร้านบางแห่งในย่านเพียร์ลของพอร์ตแลนด์ ขณะเดียวกันก็ออกคำสั่งห้ามประชาชนใช้วัตถุไฟผิดกฎหมายอย่างเช่นพลุ และบอกว่าได้รับรายงานพบเห็นหลายคนในผู้ประท้วงถือไม้เบสบอล อยู่ท่ามกลางคนอื่นๆทีชูป้าย "ไม่เอาเหยียดผิว ไม่เอาความเกลียดชัง"

สถานการณ์ลุกลามขยายวงขึ้นตอนเวลาประมาณ 23.30น.ตามเวลาท้องถิ่น(วันพฤหัสบดี) เมื่อตำรวจเริ่มใช้กำลังผลักดันฝูงชน จับกุมผู้ชุมนุมบางส่วน ใช้สเปรย์พลิกไทยและระเบิดแสง รวมถึงแก๊สเข้าสลายการประท้วง ที่พวกเขาบอกว่าเป็นชุมนุมผิดกฎหมาย และมีรายงานว่ามีประชาชน 26 คนถูกจับกุม

กรมขนส่งออริกอน ต้องปิดบางส่วนของถนนระหว่างรัฐสาย 5 และสาย 84 เป็นช่วงๆ ในมาตรการป้องกันไว้ก่อน โดยเจ้าหน้าที่เรียกร้องผู้ขับขี่สัญจรอย่างระมัดระวังและคอยสังเกตผู้คนอาจขึ้นไปอยู่บนท้องถนนในพื้นที่ๆไม่คาดคิด ขณะที่สะพานบางแห่งก็ถูกปิดใช้งานเช่นกัน

สำนักข่าวซีบีเอสรายงานว่าหลายสิ่งหลายอย่างเป็นไปอย่างเลวร้ายเช่นกันในโอ๊คแลนด์ ช่วงค่ำคืนวันพฤหัสบดี(17พ.ย.) โดยมีผู้ประท้วงราว 1,000 คนรวมตัวกันที่ย่านกลางเมือง แม้ตำรวจประกาศว่ามันเป็นการชุมนุมอย่างผิดกฎหมาย ขณะเดียวกันผู้ประท้วงยังปิดถนนอินเตอร์สเตท 580 และมีผู้ถูกจับกุมอย่างน้อย 2 คน รวมถึงมีการใช้แก๊สน้ำตาเป็นคืนที่ 2

ค่ำคืนวันพฤหัสบดี(10พ.ย.) ในเดนเวอร์ มีการปิดถนนอินเตอร์สเตท 25 ใกล้ตัวเมืองช่วงสั้นๆ โดยตำรวจเดนเวอร์ทวิตตอน 22.00น. ว่าเหล่าผู้ประท้วงมุ่งหน้าสู่ถนนฟรีเวย์ ส่งผลให้การจราจรเล่นมุ่งหน้าสู่ทางเหนือและทางใต้ต้องหยุดชะงัก อย่างไรก็ตามการสัญจรกับสู่ภาวะปกติในอีกราว 1 ชั่วโมงต่อมา หลังผู้ชุมนุมถอยกลับสู่ตัวเมือง

ก่อนหน้านี้พบเห็นการประท้วงในเดนเวอร์ และโคโลราโด สปริงส์ ทั้งในวันพุธ(9พ.ย.) และวันพฤหัสบดี(11พ.ย.) แต่การชุมนุมเป็นไปอย่างสันติ

ในย่านกลางเมืองซานฟรานซิโก นักเรียนมัธยมพากันเดินขบวน โบกธงสีรุ้งและธงชาติเม็กซิโก พร้อมตะโกนว่า "ไม่ใช่ประธานาธิบดีของเรา" ถือป้ายข้อความขับไล่นายทรัมป์ ส่วนในนิวยอร์ก ผู้ประท้วงกลุ่มใหญ่รวมตัวกันด้านนอกอาคารทรัมป์ทาวเวอร์อีกครั้งในคืนวันพฤหัสบดี(10พ.ย.) โดยพวกเขาต่างพากันตะโกนคำขวัญและชูป้ายต่อต้านทรัมป์

ด้านฟิลาเดลเฟีย มีการประท้วงใกล้ศาลากลางเมือง ชูป้ายข้อความ "ไม่ใช่ประธานาธิบดีของเรา" และ "จงทำอเมริกาให้ปลอดภัยสำหรับทุกคน" นอกจากนี้ยังพบเห็นประชาชนอีกราว 500 คน รวมตัวประท้สงในลุยส์วิลล์ มลรัฐเคนทักกีและในบัลติมอร์ ซึ่งมีผู้ประท้วงเดินขบวนไปยังสนามของทีมบัลติมอร์ เรฟเวนส์ ที่กำลังอยู่ระหว่างทำศึกเอ็นเอฟแอล

ผู้ชุมนุมปิดถนน-ทำลายทรัพย์สิน ประท้วงต้านปธน.ทรัมป์ทั่วสหรัฐฯเลี้ยวเข้าสู่ความรุนแรง ตำรวจประกาศสถานการณ์จลาจล!!

ผู้ประะท้วงหลายร้อยคนยังรวมตัวกันที่ด้านอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ ในชิคาโก เช่นเดียวกับอาคารในลอสแองเจลิส เมืองที่ก่อนหน้านี้ในวันพุธ(9พ.ย.) มีประชาชน 28 คนถูกจับกุม ฐานปิดกั้นการจราจรระหว่างการชุมนุม ที่พบเห็นการทุบทำลายทรัพย์สินอาคารบางแห่งและรถกระบะใหม่เอี่ยม 1 คัน

เป็นที่คาดหมายว่าการประท้วงได้กระตุ้นเสียงตอบโต้ของเหล่าผู้สนับสนุนทรัมป์ ที่กล่าวหาผู้ชุมนุมว่าไม่เคารพต่อกระบวนการประชาธิปไตย

วอชิงตันโพสต์แฉ “ทรัมป์” แอบติดต่อกับรัฐบาลรัสเซีย

(10 พ.ย.) หนังสือพิมพ์สหรัฐฯ วอชิงตันโพสต์รายงานว่า ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เก รยาบคอฟ (Sergei Ryabkov) ได้ออกมายอมรับในวันพฤหัสบดี (10) ว่ารัฐบาลรัสเซียได้ทำการติดต่อกับทีมหาเสียงของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน โดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง พร้อมกับอ้างต่อว่ารัสเซียรู้จักคนวงในของเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ และเล็งช่องทางเพื่อสานความสัมพันธ์ในการติดต่อกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคของทรัมป์ในอนาคตข้างหน้า

หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ สื่อสหรัฐฯ รายงานเมื่อวานนี้ (10 พ.ย.) ว่า การเปิดเผยรอบใหม่อาจจะนำไปสู่การตรวจสอบถึงบทบาทของรัสเซียในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ดุเดือดระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และ ฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต หลังจากที่ว่าผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เก รยาบคอฟ (Sergei Ryabkov) ได้ออกมายอมรับในวันพฤหัสบดี (10) กับสื่อรัสเซีย อินเตอร์แฟกซ์ว่า “มีการติดต่อกับทีมหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์”

ในรายงาน รยาบคอฟยังกล่าวยืนยันว่า “แน่นอนที่สุด ทางรัสเซียรู้จักคนวงในส่วนใหญ่ของเจ้าพ่อสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างดี” และได้เปิดเผยต่อว่า “ทางเรากำลังเริ่มต้นพิจารณาถึงรู้ทางในการสร้างความสัมพันธ์ข่องทางการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯของโดนัลด์ ทรัมป์ในอนาคต และช่องทางที่ทางรัสเซียพิจารณาจะใช้เพื่อจุดประสงค์นี้”

สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียไม่ได้เปิดเผยเพิ่มเติมในรายละเอียด แต่ทว่าตัวแทนของเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ โฮป ฮิกส์ (Hope Hicks) ได้ออกแถลงการณ์โต้ว่า “ทีมหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัสเซียก่อนวันเลือกตั้งสหรัฐฯในวันอังคาร (8) ที่ผ่านมา”

ทั้งนี้ วอชิงตันโพสต์ชี้ว่า การออกมาเปิดเผยของรัสเซียสร้างความสนใจจากผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงสหรัฐฯ ซึ่งอ้างอิงจากแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ชี้ว่า เครมลินต้องการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ก่อนหน้านี้ทางวอชิงตันได้ออกมากล่าวหาว่า เครมลินใช้เล่ห์สกปรกโจมตีทางไซเบอร์ และแฮกอีเมล จอห์น โพเดสตา (John Podesta) ผู้จัดการหาเสียงของฮิลลารี คลินตัน และสำนักงานบริหารพรรคเดโมแครต DNC ซึ่งหลังจากนั้นข้อมูลความลับถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกโดยสื่อวิกีลีกส์ของเจ้าพ่อจูเลียน แอสซานจ์

ด้านโฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย มาเรีย ซาคาโรวา (Maria Zakharova) ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อธุรกิจ บลูมเบิร์ก ชี้ว่า “เจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตรัสเซียในกรุงวอชิงตัน ดีซีได้เข้าพบกับเจ้าหน้าที่ทีมหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์จำนวนหนึ่ง” โดยซาคาโรวาระบุว่า “เป็นการพบปะตามปกติทั่วไป”

แต่อย่างไรก็ตาม ซาคาโรวาเปิดเผยว่า ทีมหาเสียงของฮิลลารี คลินตัน ปฏิเสธการขอเข้าพบของเจ้าหน้าที่รัสเซีย ด้านทีมหาเสียงการเลือกตั้งได้ออกมาปฎิเสธการกล่าวอ้างจากโฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย โดยชี้ว่า เป็นเท็จ

สื่อสหรัฐฯ รายงานเพิ่มเติมต่อว่า และเมื่อทางสื่อสหรัฐฯได้ขอให้แหล่งข่าวการต่างประเทศรัสเซีย ช่วยอธิบายการออกมาให้สัมภาษณ์ของผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียเพิ่มเติม แต่ทว่าแหล่งข่าวกระทรวงต่างประเทศรัสเซียปฎิเสธ แต่ชี้ว่าเป็นมาตรฐานการปฏิบัติทางการทูตที่เรียกว่า “การติดต่อกับบรรดาดาแกนนำในแคมเปญหาเสียง” ในประเด็นเพื่อขอความกระจ่างจากผู้สมัคร หรือการช่วยติดต่อเพื่อขอการเข้าสัมภาษณ์จากนักข่าวรัสเซียเป็นต้น”

วอชิงตันโพสต์รายงานเพิ่มเติมว่า ประเด็นฉาวของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ และความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับรัสเซียเป็นข่าวฉาวเริ่มตั้งแต่การหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องมาจากเหตุผลที่ว่าทรัมป์ให้ความเป็นกันเองและเป็นมิตรอย่างอบอุ่นกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน มากจนเกินไป และรวมไปถึงธุรกิจของทรัมป์ในอดีตในรัสเซีย ซึ่งมาจนถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์อเมริกันได้เคยลงทุนในรัสเซียหรือไม่ เพราะทรัมป์ไม่เคยเปิดเผยรายงานการเสียภาษีต่อสาธารณะแม้แต่ครั้งเดียว

ซึ่งในปี 2013 พบว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์หลังจากที่เขานำการประกวดมิสยูนิเวิร์สไปยังกรุงมอสโก นอกจากนี้ยังพบว่าโอลิกาดช์รัสเซียถือเป็นแหล่งการลงทุนสำคัญของธุรกิจทรัมป์ โดยลูกชายของเขา โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ (Donald Trump Jr.) ได้เปิดเผยในปี 2008 ว่า “รัสเซียได้เข้ามาลงทุนจำนวนมหาศาลแบบครอสเซกชันในธุรกิจจำนวนมากของเรา” และกล่าวต่อว่า “ทางตระกูลทรัมป์เห็นเงินจากรัสเซียจำนวนมากไหลเข้ามา”

นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ช่วยของทรัมป์จำนวนหนึ่งมีความสัมพันธ์อย่างเปิดเผยกับกับรัสเซีย ซึ่งรวมไปถึงอดีตประธานการหาเสียง พอล มานาฟอร์ต (Paul Manafort) ที่เป็นผู้จัดการลงทุนให้กับโอลิกาดช์รัสเซียซึ่งเป็นคนใกล้ชิดของปูติน และส่งผลทำให้มานาฟอร์ตต้องลาออกจากการทำหน้าที่ในแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังจากนั้นเมื่อมีการเปิดเผยถึงชื่อของเขาปรากฏอยู่ในสมุดบัญชีลับเงินยูเครน ซึ่งถูกจ่ายออกไปโดยพรรคการเมืองของอดีตประธานาธิบดียูเครน วิกเตอร์ ยานูโควิช

และในทางการเมือง ทรัมป์ได้เรียกร้องให้สหรัฐฯ กลับมามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัสเซียเพื่อร่วมต่อต้านการก่อการร้าย กลุ่ม IS และทรัมป์ยังปฏิเสธที่จะออกมากล่าวไม่ยอมรับในการออกมาให้ความเห็นชื่นขมในตัวเขาจากประธานาธิบดีปูติน ที่ได้กล่าวถึงทรัมป์ว่า “เป็นผู้มีความสามารถและมีสีสัน” ซึ่งเป็นคำชื่นชมที่ถูกตีความผิดโดยสำนักข่าวบางสำนักว่า “เป็นอัจฉริยะ”