18 ก.ย. 2558 นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงกำหนดการของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการเดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ (ยูเอ็นจีเอ) ครั้งที่ 70 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 24-30 กันยายนนี้ ว่า ปีนี้เป็นปีที่ผู้แทนระดับผู้นำประเทศเข้าร่วมประชุมมากที่สุดถึง 193 ประเทศ นอกจากเข้าร่วมประชุมสหประชาชาติระดับผู้นำว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อรับรองร่างเอกสารเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยื่นหลังปีพ.ศ. 2558 แล้ว
“ในการร่วมประชุมดังกล่าว นายกรัฐมนตรีจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมจีเอ และจะเป็นโอกาสที่จะเน้นย้ำบทบาทสำคัญของไทยในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมุ่งลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมโดยอาศัยหลักกฎหมายภายใต้แนวคิดที่จะไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสในการเผยแพร่แนวทางการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นายเสข กล่าว
นายเสขกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเตรียมขึ้นรับรางวัลจากสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ในฐานะผู้นำที่ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และนายกรัฐมนตรี ยังได้รับเชิญจากสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำของสหรัฐให้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ ส่วนการหารือทวิภาคีขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการประสานงานแต่นายกรัฐมนตรีมีกำหนดจะหารือกับผู้นำประเทศที่มีบทบาทนำในแต่ละภูมิภาคเพื่อหาเสียงให้กับการลงสมัครชิงเก้าอี้สมาชิกไม่ถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ของไทย รวมถึงองค์การระหว่างประเทศต่างๆ ด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่านายกรัฐมนตรีจะมีโอกาสได้พบปะกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐหรือไม่ นายเสขกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเข้าร่วมในงานเลี้ยงที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นให้กับผู้นำที่เข้าร่วมประชุมจีเออยู่แล้ว โดยจะเป็นโอกาสที่ได้พบปะกับประธานาธิบดีโอบามา
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีข่าวว่าจะมีผู้เดินทางไปประท้วงพล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ นายเสขกล่าวว่า การประท้วงเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่การประชุมจีเอแต่ละปีมีผู้นำหลายประเทศมาเข้าร่วม ดังนั้นจึงมีการจัดพื้นที่เฉพาะไว้สำหรับผู้ที่ต้องการประท้วง ซึ่งจะทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีกลุ่มใดได้รับอนุญาตให้ทำการประท้วงแต่อย่างใด
เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “ขับเคลื่อน SMEs ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ตอนหนึ่งว่า ตนเป็นคนใจร้อน แต่วันนี้ดีขึ้นมาก มายืนอยู่ตรงนี้ก็พยายามที่จะทำทุกอย่าง เพราะที่ผ่านมาเราเสียเวลาไปมากแล้ว ถ้าไม่ทำเลย มัวแต่นั่งและนอนบ่น รอโชคชะตา แล้วมันจะเกิดได้อย่างไร และปี 58-59 ต้องขับเคลื่อนให้ได้ ไม่ต้องรอปี 60-61หรือ 10 ปีข้างหน้า เพราะแค่วันนี้ยังไม่เกิดเลย ให้ทุกกระทรวงใช้แอพพลิเคชั่น เอาการลงทุน ระเบียบแผนงานใส่ลงไป ถ้าสัปดาห์หน้ากระทรวงไหนทำไม่เสร็จ โดนแน่
“สมัยก่อนมีคนเล่าให้ผมฟัง เวลาประชุมต่างประเทศ พูดภาษาอังกฤษ เขาพูดอะไรก็ตอบรับว่าเยส ๆ พอถึงเวลาก็ไม่ทำ ฝรั่งก็ถามว่าแล้วตอบรับว่าเยสทำไม แล้วก็ไม่ทำ ตรงนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว ก่อนหน้าที่ผมเข้ามานี้แหละ ว่าจะไม่พูดแล้ว แต่ก็พูดจนได้ เวลาไปประชุมก็ไม่รู้เรื่องอะไรเขาหรอก พอเขาถามอะไรก็ตอบไม่ได้ มันน่าโมโหไหม ผมไม่ได้เก่ง แต่อะไรที่ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่เหมือนไอ้พวกปากเก่งหรอก ผมไม่ต้องการเป็นอำนาจใหม่ อย่าตีกันอีก พอได้แล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ช่วงท้ายก่อนจบปาฐกถา พล.อ.ประยุทธ์ ได้ถามว่า ใครมีอะไรสงสัยหรือไม่ โดยได้หันไปถาม พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผบช.ภ.1 ซึ่งมาดูแลความเรียบร้อยว่า “พี่นวย มีปัญหาอะไรหรือไม่ ตอนนี้ตำรวจดี ๆ มีเยอะ ถ้าไม่มีตำรวจน่ะยิ่งกว่านี้ ทุกอย่างมันอยู่ที่คนสั่ง อย่าไปเกลียดชังเขาเลย ถ้าไม่มีตำรวจ ไปจ้างยามเอาไหม มีคนเสนอว่าไม่ต้องมีตำรวจ ไม่ต้องมีทหาร มีมาทำไม ทหารไม่ทำอะไร ปฏิวัติอย่างเดียว แล้วพวกมึงทำเลวกันรึเปล่าเล่า ถ้าทำดีแล้วใครจะทำ ทำดีแล้วผมจะมายืนตรงนี้ทำไม ผมเองอายเขา เสี่ยงทุกอย่างเข้ามา แล้วมาพูดกันอย่างนี้มาชกปากกันไหม”
ศาลฎีกาตัดสินแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำคุก 'หมูแฮม' 2 ปี 1 เดือน คดีขับรถชนคนตายบนทางเท้าเมื่อปี 50 หลังเห็นว่าเป็นพฤติกรรมร้ายแรง ขณะบุตรสาวผู้เสียชีวิตภูมิใจที่ได้ต่อสู้เพื่อแม่...
เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2558 ศาลพระโขนง นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา กรณีอัยการฝ่ายคดี ศาลจังหวัดพระโขนง นายมาโนจน์ หรือธนชรพล โตจวง, นางสาวสังวาล สีหะวงษ์, นางสาวสุชีรา อินทร์สุวรรณ์ และ นางทองดำ หลวงแสง เป็นโจทก์ร่วมที่ 1-4 ร่วมกันฟ้อง นายกัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ หรือ หมูแฮม อายุ 25 ปี ขณะนั้น บุตรชายนายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ กับ นางสาวิณี ปะการะนัง อดีตนางสาวไทยปี 2527 เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พยายามฆ่าผู้อื่น และทำร้ายร่างกายผู้อื่น ทำให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกาย หลังก่อเหตุทำร้ายร่างกาย ขับรถชนคนบนทางเท้า รวมทั้ง นางสายชล หลวงแสง พนักงานการเงิน ขสมก. เสียชีวิต เมื่อ 4 กรกฎาคม ปี 2550 ซึ่ง นายหมูแฮม ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจแล้ว แต่ นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายโจทก์ร่วมที่ 3 บุตรสาวของนางสายชล ยื่นฎีกาไว้
โดยศาลเห็นว่า จากผลการตรวจสอบจากทีมแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา เชื่อได้ว่า จำเลยมีอาการป่วยด้วยโรค สภาพจิตแปรปรวน มีปัญหาด้านการตัดสินใจจริง แต่การที่ให้รอลงอาญา ศาลพิเคราะห์จากสภาพแวดล้อมเห็นว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยยังมีการเสพยาตามรายงานประวัติของแพทย์ นอกจากนี้ยังเสพยาเสพติดหลายชนิด ตั้งแต่อายุ 17 ปี ประกอบกับบิดายังให้จำเลยขับรถ จึงถือเป็นพฤติกรรมร้ายแรง พิพากษาแก้ไม่เห็นด้วยที่ศาลอุทธรณ์ให้รอลงอาญาจำคุก 2 ปี ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาแต่มีจิตบกพร่อง แก้เป็นไม่รอลงอาญา ส่วนทำร้ายร่างกายไม่มีการยื่นฎีกา รับโทษตามเดิม คือ 1 เดือน พร้อมยกเลิกการคุมประพฤติของจำเลย รวมจำคุก 2 ปี 1 เดือน
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ในขณะที่ไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง เห็นควรให้จำคุกจำเลย 3 ปี และเมื่อจำเลยได้บรรเทาผลร้าย โดยชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียชีวิต 1 ราย และผู้บาดเจ็บ 3 ราย จนเป็นที่พอใจ ไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่ง และคดีอาญากับจำเลยต่อไป จึงเห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี และเมื่อรวมโทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น อีก 1 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้นเป็นเวลา 2 ปี 1 เดือน เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลย รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง ภายในกำหนด 2 ปี พร้อมให้ไปรักษาความบกพร่องทางจิตเป็นประจำตามที่แพทย์กำหนด โดยให้รายงานผลการรักษาต่อพนักงานคุมประพฤติทุกครั้ง ตลอดระยะเวลาของการรอลงอาญา
นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายโจทก์ร่วมที่ 3 กล่าวว่า คดีนี้เกิดเมื่อ 2550 วันนี้ศาลฎีกาพิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์ จำคุก 2 ปี 1 เดือน โดยให้เหตุผลว่า มีพฤติกรรมไม่ควรรอลงอาญา ซึ่งคดีนี้ถือว่าถึงที่สุดแล้ว หลังจากนี้ก็ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล และขอให้ทั้ง 2 ฝ่าย อโหสิกรรมให้กัน ในฐานะทนายความ พอใจกับคำพิพากษาของศาลวันนี้
ด้าน นางสาวสุชีรา อินทร์สุวรรณ์ กล่าวด้วยความรู้สึกภูมิใจที่ได้ต่อสู้กับเรื่องนี้มานาน และทำได้เท่าที่ฐานะลูกคนนี้จะทำให้กับคนเป็นแม่ได้
วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2558 เรื่องราวยังต้องดำเนินต่อไป อาจจะต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเรื่องถึงจะจบ กรณี ของตลกชื่อดัง นายผดุง ทรงแสง หรือ "แจ๊ส ชวนชื่น" อายุ 31 ปี เจ้าของวง “สปุ๊กนิก ปาปิยอง กุ๊ก กุ๊ก” ได้ลอกเลียนแบบเพลง “หนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว” ของนายปรีชา วงศ์รุ่ง หรือ "ยาว อยุธยา" ตลกรุ่นใหญ่ วัย 59 ปี โดยไม่มีการบอกกล่าวหรือขออนุญาต ทำให้ "ยาว อยุธยา" ตัดสินใจปรึกษากับทนายความ เพื่อดำเนินการตามกฏหมาย
ล่าสุด ภรรยาสาวของ "แจ๊ส ชวนชื่น" ได้ออกมาโพสต์ระบายทางอินสตาแกรมส่วนตัว @jangjit โดยระบุว่า..."นานาจิตตัง ลาภยศบารมี ไม่เข้าใครออกใคร คนทำมาหากินไม่ได้หวังอะไร ย่อมมีมารมาผจน ทะเลาะกับคนเป็นเรื่องเหนื่อยที่สุด และเรื่องที่ต้องมานั่งทะเลาะกับผู้ใหญ่เป็นเรื่องที่ยากกว่า การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา เป็นสิ่งที่ร้ายแรงนะ ในความคิดของเรา อยากได้เงินก็ต้องหามา คิดค้นหาลงทุน แต่กลับกลายว่าเป็นว่า ถูกสังคมมองไปอีกว่าโขมยลิขสิทธ์ของคนอื่นมา
1.สิ่งที่ทราบมาตอนนี้คือ นาย ก.มาบอกว่าเพลงนี้มาจากลิเก เกิดขึ้นมามาก 50ปี. 2.นาย ข. บอกเพลงนี้ตนเป็นคนแต่งขึ้นมาเอง. 3.เมื่อสามวันที่แล้ว นาย ข.มาบอกว่าเค้าอยากได้เหล้า 1ขวด พร้อมกับใบขออนุญาต และขอขอบคุณที่ให้นำเพลงนี้มาทำ และเชิญสื่อมาทำข่าว.
ตอนนี้เราแค่งง ว่า ประโยคพวกนี้ทำไมไม่มีในข่าวเลย ทุกวันนี้ทำงาน 7วัน ตื่น 7โมง กลับบ้านตี 3 ทุกวัน แจ๊สให้แม่นำของที่เค้าต้องการไปให้ถึงที่บ้าน แต่เค้ากลับโทรมาบอกว่า กูไม่อยู่ อยากคุยกับกูไปคุยกับทนายนู่น!!!! แล้วเด็กอย่างเราควรทำยังไงคะ ถ้าคุณบอกว่าเพลงนี้คุณเป็นคนแต่งจริงๆ งั้นเราก็คงจะต้องไปคุยกันในศาลดีกว่าคะ คุยกันไปแจ๊สก็ถูกมองว่าเป็นเด็กก้าวร้าว บางทีก็แอบเสียใจนะ เพราะความดังตัวเดียว ทำไมแต่ก่อนคนนู้นคนนี้เอาไปเล่นถึงไม่มีเรื่องมีราวอะไรเลย แอบเสียใจที่เรายกย่องเชิดชูวงการตลก แต่สุดท้ายได้รับผลแบบนี้ อยุ่กับแตงไทยดีกว่าสบายใจไม่เคยเรียกร้องอะไรทำงานหาเงินต่อไปนะเรา. สู้ต่อไปความจริงก็คือความจริงใครทำอะไรก็ได้แบบนั้น"
ซึ่งก่อนหน้านี้ "ยาว อยุธยา" ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า "ยอมรับว่าน้อยใจที่ "แจ๊ส" นำเพลงของตนไปใช้ จนมีชื่อเสียงโด่งดัง และมีงานมากมาย แต่ไม่เคยจะเข้ามาขออนุญาตตน อย่างเป็นทางการ ทั้งที่บ้านก็อยู่ใกล้กันแค่ 5 กิโลเมตร และเบอร์โทรศัพท์ตนก็หาได้ง่าย ทั้งนี้ไม่ได้ต้องการค่าส่วนแบ่ง หรือเงินแต่อย่างใด ตอนนี้หากแจ๊สต้องการเข้ามาพูดคุย ให้ไปพบกับผู้จัดการส่วนตัว ที่ทำหน้าที่เป็นทนาย ตกลงกันว่าจะยอมความหรือฟ้องร้อง เนื่องจากผมให้เวลามานานแล้ว หากแจ๊สต้องการแสดงความจริงใจ ก็ให้นัดมาขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชน จะให้อภัย และจบเรื่อง ตอนนี้ผมพอใจแล้วที่สังคมรู้ว่า 'เพลงแว๊นฟ้อหล่อเฟี้ยว' มีที่มาจากผม".“
เปิดกรุสมบัติ “เทพ จุลดุลย์” นักสะสมชาวไทยในรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกาพบงานศิลป์ล้ำค่า ทั้งภาพสเกตช์สุดท้าย ฝีมือ “ศิลป์ พีระศรี” ผลงานชิ้นเยี่ยมของศิลปินแห่งชาติ พร้อม บันทึกต้นฉบับทำนองเพลงชาติของ “พระเจนดุริยางค์” ด้านน้องสาวเทพเผย พี่ชายสั่งไว้หลังเสียชีวิตแล้วให้นำของสะสมบางส่วนกลับมารักษาเป็นสมบัติแผ่นดิน ขณะที่ สศร. พร้อมขอซื้อเพิ่ม มาจัดแสดงที่หอศิลป์ร่วมสมัยรัชดา ที่กำลังก่อสร้าง
ข่าวน่ายินดีที่ไทยจะได้รับผลงานศิลปะล้ำค่ามาเป็นสมบัติของชาติในครั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 17 ก.ย. หลังได้รับการเปิดเผยจาก นายชาย นครชัย ผอ.สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ว่าได้รับแจ้งจากนายกมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ที่พำนักอยู่ที่นครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าได้รับการประสานงานจาก น.ส.สิริมา จุลดุลย์ น้องสาวของนายเทพ จุลดุลย์ นักสะสมผลงานศิลปะชาวไทยที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่านายเทพเสียชีวิตลงเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา โดยเมื่อครั้งที่มีชีวิตอยู่ได้เก็บสะสมผลงานศิลปะของผลงานศิลปินที่มีชื่อเสียงของไทยมาอย่างยาวนาน รวมทั้งยังรวบรวมหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยไว้หลายรายการ และก่อนเสียชีวิตก็ได้แสดงความจำนงที่จะยกของสะสมบางส่วนไว้เป็นสมบัติของชาติ
นายชายกล่าวว่า จากนั้นนายกมล ได้เดินทางไปยังบ้านของ น.ส.สิริมา เพื่อตรวจสอบของสะสมต่างๆ ของนายเทพ พบหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์จำนวนมาก ซึ่งไม่สามารถประเมินค่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบันทึกประวัติการปรับปรุงวงดนตรีกองทัพเรือ และต้นฉบับสมุดโน้ตเพลงชาติไทยฉบับจริง ซึ่งพระเจนดุริยางค์ (ปีติ วาทยะกร) บุคคลสำคัญในวงการดนตรีของไทย เป็นผู้ประพันธ์ทำนองเพลงชาติไทย เขียนด้วยลายมือตัวเอง และมอบให้นายเทพนำไปพิมพ์ดีด คัดลอกต้นฉบับเก็บรักษาไว้ 3 ชุด ลงวันที่ 11 ก.พ. พ.ศ.2492 ซึ่งมีการบันทึกเหตุการณ์เรื่องราวของการแต่งทำนองเพลงชาติไทย ตั้งแต่เริ่มแต่งไปจนแก้ไขปรับปรุง จนนำมาใช้ในปัจจุบันไว้อย่างครบถ้วน รวมทั้งมีต้นฉบับพจนานุกรมเกี่ยวกับดนตรีของโลก จำนวน 2,000 หน้า ซึ่งบันทึกไว้ด้วยลายมือด้วย
ผอ.สศร.กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกัน ยังพบผลงานศิลปะของศิลปินที่มีชื่อเสียงและศิลปินของชาติไทยที่ทรงคุณค่าและหาชมไม่ได้อีกแล้ว มากกว่า 100 รายการ ซึ่งเกือบทุกภาพมีการบันทึกเหตุการณ์ที่มาของภาพโดยละเอียด อาทิ ผลงานภาพสเกตช์รูปคนนั่ง ซึ่งเป็นภาพสุดท้ายของ ศ.ศิลป์ พีระศรี ที่ได้เขียนไว้ เพื่อสอนนักเรียนก่อนเสียชีวิต 3 วัน ลงวันที่ 10 พ.ค. พ.ศ.2505 ผลงานจิตรกรรมของนายเฟื้อ หริพิทักษ์ ซึ่งสร้างสรรค์ในค่ายกักกัน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศอินเดีย และยังเป็นภาพที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดภาพวาดในอินเดีย พ.ศ.2488 และภาพดอกไม้ ซึ่งเป็นผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศงานศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 1 ของมหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ.2492 ผลงานของนายทวี นันทขว้าง อาทิ ภาพวัดโพธิ์ ได้รับรางวัลชนะเลิศการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 4 ผลงานภาพพิมพ์ชุดแรกของ นายชะลูด นิ่มเสมอ ที่พิมพ์บนกระดาษสา ซึ่งได้รับรางวัลของพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ แห่งเมืองริจิก้า ในการประกวดศิลปกรรมครั้งที่ 5 ที่พิพิธภัณฑ์ลุบยานา ประเทศ ยูโกสลาเวีย พ.ศ.2506 และภาพ Flowera ของนายสวัสดิ์ ตันติสุข ที่ได้รับรางวัลที่ 2 การประกวดศิลปะนานาชาติครั้งที่ 1 ไซ่ง่อน ประเทศเวียดนาม พ.ศ.2505 ฯลฯ
“ผมได้นำเรื่องดังกล่าวรายงานต่อ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม แล้ว และต้นเดือน ต.ค.นี้ จะเดินทางไปรัฐโอเรกอน เพื่อเจรจาถึงการนำงานศิลปะกลับมาประเทศไทย ซึ่งเท่าที่ทราบทางญาติประสงค์ที่จะบริจาคผลงานบางส่วน และบางส่วนกระทรวงอาจจะขอซื้อมาจัดแสดงภายในหอศิลป์ร่วมสมัยรัชดา ที่มีความยิ่งใหญ่และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จ พ.ศ.2559” ผอ.สศร.กล่าว
ด้านนายกมลกล่าวว่า ตนกับนายเทพและครอบครัว รู้จักกันมานานกว่า 30 ปี เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความสนใจสะสมงานศิลปะของศิลปินหลายแขนง อีกทั้ง นายเทพ เป็นผู้ที่ใกล้ชิดพระเจนดุริยางค์ ท่านจึงมีความไว้วางใจมอบของมีค่าเหล่านี้ไว้ให้นายเทพเก็บรักษา ทั้งนี้ น.ส.สิริมา ได้ให้ข้อมูลว่า ก่อนที่นายเทพเสียชีวิต เคยหารือว่าอยากให้ของที่สะสมนั้นอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่ดีของประเทศไทย แต่เนื่องจากที่ผ่านมา เห็นจุดอ่อนของการบริหารพิพิธภัณฑ์ของไทย ที่ไม่มีประสิทธิภาพ เกรงว่าการเก็บรักษาผลงานไม่ดีพอ แต่เมื่อทางญาติทราบข่าวว่ากระทรวงวัฒนธรรมกำลังสร้างหอศิลป์ร่วมสมัย จึงติดต่อมาเพื่อที่จะให้นำของสะสมมาให้คนไทยและชาวต่างชาติ ได้เห็นผลงานอันล้ำค่าของแผ่นดิน ซึ่งไม่อยากให้เป็นของสะสมไปติดตั้งไว้ที่บ้านใดบ้านหนึ่งเท่านั้น
ธุรกิจการอุ้มบุญอย่างผิดกฎหมายมากเท่าไหร่ คนจีนก็จะยิ่งแห่ไปใช้บริการในอเมริกามากเท่านั้น พ่อแม่ชาวจีนที่มีลูกสมใจจากการอุ้มบุญ ต่างยอมรับว่าชีวิตของพวกเขามีความสุขขึ้นเยอะ เพราะได้โซ่ทองคล้องใจ มาช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ให้ครอบครัว