เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.กล่าวถึงกระแสข่าวถูกทาบทามให้ไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมกับดูงานด้านยาเสพติด ในช่วงการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือนสิงหาคมนี้ว่า เรื่องนี้ตนไม่รู้เลย แต่ก็มีหนังสือพิมพ์นำไปลงข่าว และในช่วงนั้นก็มีการถามตนมาครั้งหนึ่งแล้วว่า หากจะไปเป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ซึ่งตนก็ได้บอกแล้วว่าจะไม่เป็น ส่วนจะให้ไปดูแลตำรวจไหม ตนไม่ขอดู เพราะว่าทุกอย่างนั้นทาง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ทำได้ดีอยู่แล้ว
"ถ้าถามผมว่าอยากจะรับใช้บ้านเมืองหรือไม่ ในเรื่องของการปราบปรามยาเสพติด ตรงนี้ผมขอตอบว่า ผมอยากทำ เพราะว่าเป็นงานที่ผมทำมา ผมรู้เยอะเกี่ยวกับเครือข่ายนักค้ายาเสพติด" ผบ.ตร.กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ได้มีการทาบทามจากรัฐบาล ให้ไปดูงานด้านยาเสพติดหรือไม่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวสั้นๆ ว่า "ยังไม่มี"
เมื่อถามย้ำว่าหากมีการปรับ ครม.ช่วงเดือนสิงหาคมนี้จะมีลาออกก่อนเกษียณไปรับตำแหน่งหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า "ผมไม่ขอลาออกเด็ดขาด ถ้าเกษียณแล้วจะขอออกไปเลี้ยงลูก แต่ใครจะปรับยังไงก็ปรับไป ผมไม่เอา รอผมเกษียณนั่นแหละ"
เมื่อถามอีกว่า ได้รับการทาบทามจากคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งเป็นน้องสาวแล้วหรือยัง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวเพียงว่า "ยังไม่มี การจะปรับ ครม.ให้ผมลาออกผมต้องยินยอม มาบังคับผมให้ลาออกไม่ได้"
เมื่อถามอีกว่า หากมีการทาบทามให้ไปดูแลเรื่องยาเสพติดอย่างเดียว หลังเกษียณจะมีการพิจารณาหรือไม่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวว่า "ถ้าเป็นด้านการปราบปรามยาเสพติด ผมก็ยินดีครับ"
เมื่อถามถึงเหตุผลการเลื่อนประชุม ก.ตร.ออกไป ผบ.ตร.กล่าวว่า เรื่องนี้ทางประธานฯ เป็นคนขอเลื่อนออกไป ตนไม่ทราบ ส่วนกระแสข่าวการขอเปิดตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.เพิ่มอีก 1 ตำแหน่งนั้น ตรงนี้มีจริง แต่ไม่รู้ ก.ตร.จะเห็นด้วยหรือไม่โดยการประชุมครั้งนี้ไม่มีเรื่องนี้เข้า
เมื่อถามว่า การเปิดตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.เพิ่มในด้านไหน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวว่า "ก็คงเป็นด้านยาเสพติด ไม่ทราบว่าทาง ก.ตร.จะเห็นด้วยหรือไม่"
ส่วนเรื่องเหตุผลที่เปิดตำแหน่งเพิ่มนั้น ผบ.ตร.กล่าวว่า "ตอบไม่ได้" เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่าบัญชีแต่งตั้งนายพลไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผบ.ตร.กล่าวว่า "ทำแล้ว แต่ผมไม่ได้ทำ ตรงนี้ผมไม่รู้"
''สาทิตย์'' เผยเสื้อแดงเชียงใหม่ตามราวี ''มาร์ค'' ไม่เลิก โดนปิดทางเข้าออกทั้ง 2 ทาง แถมม็อบแดงปาหินซ้ำ จี้นายกฯ เลิกเล่นสองหน้า ลั่นลงพื้นที่ต่อ ไม่กลัว...
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ที่ร่วมเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ร่วมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เล่าถึงเหตุการณ์กรณีการป่วนของคนเสื้อแดงเชียงใหม่ว่า หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ และคณะ ได้ลงเครื่องที่สนามบินเชียงใหม่ ช่วง 9 โมงเช้าของวันที่ 20 ก.ค. ก็มีกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางไปตะโกนด่าทอที่สนามบินราว 6-7 คน จากนั้นคณะเดินทางไปที่บ้านโป่ง ต.แม่แฝก อ.สันทราย ซึ่งมีทางเข้าสองทาง โดยคนเสื้อแดงไปปิดเส้นทางด้านหนึ่งไว้ราว 30 คน ทางคณะจึงได้เลี่ยงไปใช้อีกเส้นทางหนึ่ง เพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า โดยมีชาวบ้านในพื้นที่คอยอำนวยความสะดวกให้กับขบวนรถของนายอภิสิทธิ์จนเข้าไปทำกิจกรรมในพื้นที่ได้
ทั้งนี้ ตามหมายนายอภิสิทธิ์จะเดินทางไปพบชาวบ้านเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยภาคเหนือ เพราะพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในขอบเขตที่จะทำโฉนดชุมชนตามนโยบายของรัฐบาลที่แล้ว แต่รัฐบาลนี้กลับไม่สานต่อ และไม่มีความชัดเจนในการแก้ปัญหาชาวบ้านที่อยู่ในที่ดินของรัฐ ซึ่งมีการฟ้องร้องกันมาก โดยโครงการนี้ได้ทำโฉนดชุมชนและตรากฤษฎีกาจัดตั้งธนาคารที่ดินเรียบร้อย พร้อมกำหนดงบประมาณเบื้องต้นไว้ 167 ล้านบาท แต่มีการยุบสภาและเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ทำให้ยังไม่ได้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบ ทำให้ไม่สามารถนำเงินที่อนุมัติไปแล้วมาใช้ซื้อที่ดินจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านได้ และยังดำเนินคดีกับชาวบ้านฐานบุกรุกป่าเพิ่ม ซึ่งบางคนถูกดำเนินคดีกว่า 40 คดี ทั้งนี้ชาวบ้านได้เตรียมที่จะเสนอกฎหมายโฉนดชุมชุน และธนาคารที่ดิน เข้าสภา โดยขอให้พรรคประชาธิปัตย์ให้การสนับสนุน หลังจากที่รัฐบาลนี้ไม่ใส่ใจที่จะแก้ปัญหาที่ดินทำกินให้กับชาวบ้าน
นายสาทิตย์ กล่าวต่อว่า หลังจากเสร็จภารกิจดังกล่าว ก็พบว่าคนเสื้อแดงได้ระดมคนมาเพิ่ม โดยปิดเส้นทางทั้งสองจุด ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ได้ไปเจรจาจนเกิดการปะทะคารมกัน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและไม่ให้เกิดความรุนแรง ทางคณะจึงแบ่งขบวนรถออกเป็นสองขบวน โดยชุดของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งมีตนนั่งรถอยู่ด้วยนั้น คนเสื้อแดงได้นำเอารถกระบะติดเครื่องเสียงสองคันไปขวางทางไว้ และมีคนเสื้อแดงวิ่งตาม แต่ขบวนรถก็สามารถเคลื่อนตัวออกมาได้โดยไม่มีการปะทะกัน จนกระทั่งเดินทางไปถึงถนนใหญ่ ก็พบว่ามีคนเสื้อแดงตามไปปิดถนนอีก ทำให้คนขับรถต้องขับเลี่ยงรถที่ขวางปิดถนนไว้ โดยมีคนเสื้อแดงที่รออยู่ข้างทางได้ขว้างก้อนหินใส่ขบวนรถจนได้รับความเสียหายแต่ไม่มากนัก ขณะที่ขบวนรถอีกชุดหนึ่งก็ถูกคนเสื้อแดงปิดถนนขวางทางเช่นเดียวกัน โดยมีการจอดรถลงไปเจรจา แต่คนเสื้อแดงกลับทุบรถ ชาวบ้านที่ตามออกมาส่งได้ช่วยป้องกันจนเกือบปะทะกัน ต่อมาชาวบ้านในพื้นที่รวมตัวต่อต้านการกระทำของคนเสื้อแดงมากขึ้น ที่สุดคนเสื้อแดงจึงยอมเปิดทางให้ขบวนรถที่สองเดินทางออกมาได้
นายสาทิตย์ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นคณะของเราได้เดินทางไปยัง ร.ร.แกรนด์ วิลล์ ซึ่งมีจัดสัมมนา สาขาของพรรคในพื้นที่ภาคเหนือ ก็ยังมีคนเสื้อแดงตามมาชุมนุมที่หน้าโรงแรมอีก โดยหลังเปิดงานเสร็จ นายอภิสิทธิ์และคณะได้เลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนเสื้อแดงออกทางประตูหลังของโรงแรม และเดินทางถึงสนามบินเพื่อกลับ กทม.โดยสวัสดิภาพ
“ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก คุณอภิสิทธิ์มาเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน และชาวบ้านในพื้นที่ก็ไม่พอใจที่คนเสื้อแดงทำแบบนี้ ผมได้ยินชาวบ้านพูดทางโทรศัพท์เลยว่า ขอร้องอย่ามา ถ้าพวกมึงแรงมา กูก็แรงไป แต่ทำไมรัฐบาลปล่อยให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชน ผมคิดว่า เลิกเล่นสองหน้าได้แล้ว ด้านหนึ่งนายกรัฐมนตรีบอกปรองดอง แต่อีกด้านหนึ่งส่งมวลชนคนเสื้อแดงคอยขัดขวางการลงพื้นที่ของคุณอภิสิทธิ์ เรื่องนี้จะบอกว่ารัฐบาลไม่เกี่ยวข้องไม่ได้ เพราะกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เกี่ยวโยงกับรัฐบาลชัดเจน ในขณะที่รัฐบาลไม่เคยห้ามปรามแต่กลับให้ท้ายอีก ไม่ต่างจากกรณีที่ น.ส.บงกช คงมาลัย หรือตั๊ก เคยถูกคนเสื้อแดงพัทยาไล่ทุบรถแล้ว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ออกมาบอกว่าเป็นสีสัน ผมถามว่า ถ้าคุณยิ่งลักษณ์โดนบ้าง จะถือว่าเป็นสีสันหรือไม่ รัฐบาลต้องคิดด้วยว่า นายกฯ สามารถไปได้ทุกพื้นที่โดยไม่มีใครต่อต้าน ไม่ใช่เพราะเขาชอบคุณ แต่เป็นเพราะเขาเคารพว่า พวกคุณไปปฏิบัติหน้าที่ ไปหาดใหญ่ ไม่มีแม้แต่ป้ายประท้วง ผมอยากให้รัฐบาลได้ตระหนักในเรื่องเหล่านี้ และยืนยันว่าจะเดินหน้าลงพื้นที่ต่างๆ ต่อไป เพราะเชื่อว่ายิ่งถูกต่อต้านมากเท่าไหร่ก็จะทำให้ได้ใจชาวบ้านที่เราไปช่วยเหลือมากเท่านั้น” นายสาทิตย์ กล่าว.
“สุกำพล” ยันเอกสารหลักฐานชี้ “มาร์ค” อาจหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร ส่งข้อมูลให้ผู้ตรวจฯตามความจริง ปัดไม่ได้ตามเช็คบิล
(19 ก.ค.) ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ทำหนังสือขอให้กระทรวงกลาโหม ตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ใช้เอกสารเข้ารับราชการเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าว่า กระทรวงกลาโหมได้ส่งหลักฐานให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา ในเอกสารเป็นการรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิด
ทั้งนี้เอกสารระบุไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า เรื่องนี้มีการหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหารในอดีตที่ผ่านมา ส่วนนายอภิสิทธิ์จะมีเจตนาหนีทหารหรือไม่นั้น ต้องถามนายอภิสิทธิ์เอง แต่เอกสารระบุอย่างนั้น ทางกระทรวงกลาโหมมีหน้าที่รวบรวมข้อมูล ซึ่งต้องรอให้ทางสำนักงานผู้ตรวจการฯดำเนินการต่อไป
พล.อ.อ.สุกำพลกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ทางกระทรวงกลาโหมได้ให้กรมพระธรรมนูญไปศึกษารายละเอียด เพราะเรื่องดังกล่าวนี้มีผลทางคดีมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ถ้าเราไม่เร่งดำเนินการในขณะนี้จะโดนอีก ดังนั้นต้องดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง โดยอยู่ในขั้นตอนดำเนินการรวบรวมข้อมูล ทั้งนี้ไม่ได้เป็นการเช็คบิลทางการเมืองนายอภิสิทธิ์ เพราะไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ ตนจะมาทำเรื่องนี้ แต่เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนให้กระทรวงกลาโหมส่งเอกสารไปให้ โดยมีกฎเกณฑ์ว่าต้องส่งให้ภายใน 30 วัน และทางกระทรวงกลาโหมได้ส่งไปตามข้อเท็จจริง ส่วนเอกสารดังกล่าวจะนำไปสู่สิ้นสุดความเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์ หรือไม่นั้น เป็นเรื่องต่อไปในอนาคต เราต้องดูหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมมีแค่ไหน เรื่องการเมืองเป็นเรื่องการเมืองไป
ต่อข้อถามว่า การที่นายอภิสิทธิ์อ้างว่าเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า แล้วไม่ต้องเป็นทหาร พล.อ.อ.สุกำพลตอบว่า การเป็นอาจารย์ถือว่ารับราชการ ซึ่งเรื่องนี้มี 2 ประเด็นคือ 1.ในช่วงการเกณฑ์ทหารไม่ได้ไปเกณฑ์ เพราะบอกว่ามีการผ่อนผัน ต้องดูหลักฐานบอกว่าผ่อนผันอย่างไร 2.มีหลักฐานจริงหรือไม่ และตอนเข้าสมัครเป็นอาจารย์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า มีหลักฐานครบจริงหรือไม่ และเป็นเอกสารเท็จหรือไม่ เมื่อถามว่า จากผลการสอบสวนของกองทัพพบว่า มีการปลอมแปลงเอกสาร และลงโทษทหารที่เกี่ยวข้องไปแล้ว พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า เรื่องนี้มีอยู่ชัดเจนและได้ส่งไปด้วย พร้อมรับรองสำเนาถูกต้องจากหน่วยที่ชัดเจน ไม่ใช่ว่าไปขุดจากไหนมา เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเกิดมาเป็น 10 ปีแล้ว ส่วนถูกลงโทษหรือไม่ ตนไม่ทราบแต่มีรายงานว่าให้เสนอแนะลงโทษ เนื่องจากเอกสารที่ส่งมาทางกระทรวงกลาโหมเป็นสำเนา ส่วนเอกสารจริงส่งให้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในอดีต แต่จะเป็นอย่างไรต่อไปยังไม่ได้สืบไปถึงขนาดนั้น แค่ส่งเอกสารหลักฐานมาเราก็พอใจแล้ว
เมื่อถามว่า แสดงว่าในยุคที่ผ่านมากองทัพช่วยปกปิดในเรื่องนี้ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ในยุคของตน หลักฐานรวบรวมจากข้อเท็จจริงไม่ใช่หลักฐานที่ปั้นแต่ง เรามีอะไรจะส่งให้สำนักงานผู้ตรวจการฯทุกอย่าง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่เหมาะสมที่จะเปิดเผย เอกสารคงต้องไปขอทางสำนักงานผู้ตรวจการฯตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ทั้งนี้ในความคิดของตนเรื่องการหนีทหารที่ผ่านมามีมากมาย หากมีใครร้องเรียนมาก็เป็นหน้าที่ที่ต้องดำเนินการ ส่วนจะให้ไปดำเนินการหาว่าเป็นใครบ้างคงไม่ไหว ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ยืนยันมาตลอดว่าไม่ได้หนีทหารนั้น มีสิทธิ์ยืนยันแต่เป็นเรื่องของหลักฐานที่เรามีอยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าที่ผ่านมาแล้ว สมัยนี้มีนโยบายชัดเจนและวันนี้ยากหากใครจะทำแบบนี้ เพราะการเกณฑ์ทหารมีขั้นตอนชัดเจนมากขึ้น.
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012