ข่าว
ไบเดน กว้านซื้อวัคซีนโควิด อีก 200 ล้านโดส เพียงพอฉีดชาวอเมริกัน 300 ล้านคน

ไบเดน กว้านซื้อวัคซีนโควิด – วันที่ 12 ก.พ. ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา ประกาศว่า ประเทศจะมีวัคซีนต้านโควิด-19 เพียงพอต่อชาวอเมริกัน 300 ล้านคน ภายในสิ้นเดือน ก.ค.นี้

เป็นการย้ำว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีไบเดนมีความคืบหน้าอย่างมาก เนื่องจากรัฐบาลอดีตตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่มีแผนเปิดตัวฉีดวัคซีน

ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่า บริษัทวัคซีนโมเดอร์นา และไฟเซอร์ จะจัดส่งวัคซีนอีก 200 ล้าน

โดสภายในสิ้นเดือนก.ค. ก่อนสิ้นสุดฤดูร้อนในวันที่ 22 ก.ย. ส่วน 100 ล้านโดสที่สั่งซื้อไปแล้ว จะจัดส่งภายในสิ้นเดือน พ.ค.

นายไบเดนยังพาดพิงอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ไม่มีแผนการแจกจ่ายวัคซีน โดยสั่งซื้อวัคซีนไม่เพียงพอ ดำเนินการไม่เพียงพอเพื่อฉีดวัคซีนให้ประชาชน และไม่ได้จัดตั้งศูนย์วัคซีนให้ผู้มีสิทธิ์เข้ารับการฉีด

“ขณะที่พวกนักวิทยาศาสตร์คิดค้นวัคซีนในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ผมขอพูดตรงๆ ว่า ผู้นำคนก่อนไม่ทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมกับความท้าทายยิ่งใหญ่ในการฉีดวัคซีนให้ชาวอเมริกันหลายร้อยล้านคน” นายไบเดนกล่าว

เมแกน ยิ้มออก ศาลสูงตัดสินชนะคดีฟ้องสื่ออังกฤษ ละเมิดเสรีภาพส่วนตัว

เมแกน ออกแถลงการณ์แสดงความยินดี หลังศาลสูงลอนดอนตัดสินให้เป็นฝ่ายชนะคดีฟ้อง เมล ออน ซันเดย์ ละเมิดเสรีภาพส่วนตัว ขณะที่สื่อดังอังกฤษกำลังตัดสินใจจะอุทธรณ์คำตัดสินหรือไม่

เมื่อ 12 ก.พ. 64 เว็บไซต์เดลี่เมล และเดอะ ซัน รายงาน ศาลสูงกรุงลอนดอนอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา ตัดสินให้ เมแกน เป็นฝ่ายชนะคดีที่ยื่นฟ้อง บริษัท Associated Newspaper Limited บริษัทผู้ตีพิมพ์ ‘Mail on Sunday’ (เมล ออน ซันเดย์) และ Mail Online ในอังกฤษ ในข้อหาละเมิดเสรีภาพส่วนตัวของเธอ จากการที่เมล ออน ซันเดย์ ได้นำจดหมายที่เมแกน เขียนด้วยลายมือ ถึง นายโทมัส มาร์เคิล ผู้เป็นพ่อ วัย 76 ปี ความยาว 5 หน้า เมื่อเดือนสิงหาคม 2561 หลังจากเมแกนแต่งงานกับเจ้าชายแฮร์รี่ มาตีพิมพ์เผยแพร่

เว็บไซต์บลูมเบิร์ก รายงานว่า ดัชเชสเมแกน วัย 39 ปี ได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีต่อคำตัดสินของศาลสูงกรุงลอนดอน มีข้อความว่า ‘หลังจากติดตามคดีนี้มา 2 ปี ดิฉันมีความยินดีที่ศาลได้ตัดสินให้ บริษัท Associated Newspaper Limited และเมล ออน ซันเดย์ ชดใช้ต่อละเมิดกฎหมายของพวกเขาและการกระทำที่ลดทอนความเป็นมนุษย์

‘สำหรับการรายงานข่าวเหล่านี้ มันคือเกม แต่สำหรับดิฉัน และคนอื่นๆ จำนวนมากแล้ว มันคือชีวิตจริง ความสัมพันธ์ที่แท้จริง และเป็นเรื่องเศร้าที่แท้จริงอย่างมาก’ เนื้อหาในแถลงการณ์เมแกน ที่ยังระบุด้วยว่า ความเสียหายที่พวกเขาเหล่านี้ได้กระทำ และยังคงกระทำต่อไป ทำให้ความเสียหายยิ่งร้าวลึก

ด้านเดลี่เมล รายงานว่า จากคำตัดสินของศาลในวันนี้ ทำให้เมล ออน ซันเดย์ และเมลออนไลน์ จะกำลังพิจารณายื่นอุทธรณ์คำตัดสินในครั้งนี้หรือไม่ “พวกเรารู้สึกประหลาดใจต่อการสรุปคำตัดสินของศาลในวันนี้ และรู้สึกผิดหวังที่ศาลปฏิเสธโอกาสที่จะรับฟังหลักฐานจากพวกเรา และพิสูจน์กันในชั้นศาลอย่างเปิดเผยตลอดกระบวนการพิจารณคดี โดยพวกเรากำลังพิจารณาอย่างรอบคอบในเนื้อหาคำตัดสิน และจะมีการตัดสินใจอีกครั้งว่าจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินหรือไม่” โฆษกของเมล ออน ซันเดย์ กล่าว


ซุปเปอร์มาร์เก็ตรัสเซียแก๊สระเบิดอาคารพังราบ เจ็บ 1 ราย

เกิดเหตุระเบิดรุนแรงภายในซุปเปอร์มาร์เก็ตทางตอนใต้ของรัสเซีย ส่งผลให้อาคารพังราบทั้งแถบ เคราะห์ดีที่ยังไม่ถึงช่วงเวลาเปิดให้บริการ ทำให้มีผู้บาดเจ็บเพียง 1 ราย

พื้นที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของซุปเปอร์มาร์เก็ตในเมือง วิลาดิคาฟคาซ ทางตอนใต้ของรัสเซีย พังราบเป็นหน้ากลอง หลังเกิดระเบิดรุนแรงในช่วงเช้าตรู่ของวันศุกร์ตามเวลาในท้องถิ่น ก่อนที่จะถึงเวลาเปิดทำการของซุปเปอร์มาร์เก็ต โดยภาพที่มีการเผยแพร่กันในโลกโซเชียล ที่ถ่ายจากอาคารพักอาศัยที่อยู่ใกล้เคียง จะเห็นมีกลุ่มควันลอยโขมงขึ้นจากพื้นที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของซุปเปอร์มาร์เก็ต

นับว่ายังเคราะห์ดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุระเบิดรุนแรงดังกล่าว แต่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหนึ่งรายเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นอนหลับอยู่ภายในอาคาร โดยเขาให้การว่า เขาตกใจตื่นจากเสียงระเบิดดังสนั่นในช่วงก่อนรุ่งสาง เขาจึงรีบคลานหนีออกมา จนรอดชีวิตปาฏิหาริย์ โดยแพทย์ได้มาตรวจดูอาการ และพบว่าเขามีอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ส่วนสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเกิดจากมีแก๊สรั่วไหล จนเกิดการระเบิดขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังเร่งตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

ที่มา : รอยเตอร์


เผยผลวิจัยใหม่ พบค้างคาวในไทย ซุกเชื้อไวรัสโคโรนา คล้ายโควิด-19

เมื่อ 12 ก.พ.64 เว็บไซต์ Xinhuathai รายงาน ผลการศึกษาฉบับใหม่พบว่า ค้างคาวฝูงเล็กในภาคตะวันออกของไทยเป็นพาหะของเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)

สำนักข่าวสปุตนิก (Sputnik) ของรัสเซียอ้างผลการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสารเนเจอร์ คอมมิวนิเคชันส์ (Nature Communications) เมื่อวันอังคารที่ 9 ก.พ. 64 ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ถูกพบในเลือดของค้างคาวเกือกม้า 5 ตัว ที่อาศัยอยู่ในถ้ำจำลองของเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าแห่งหนึ่งค ณะนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าเลือดของค้างคาวฝูงนี้มีรหัสพันธุกรรมเหมือนกับของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สูงถึงร้อยละ 91.5

‘เราจำเป็นต้องเฝ้าระวังสัตว์ต่างๆ ให้มากขึ้น’ หวัง หลินฟา ศาตราจารย์จากโรงเรียนแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ และมหาวิทยาลัยดุ๊ก แห่งสหรัฐฯ (Duke-NUS Medical School) ในสิงคโปร์ มีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้ กล่าวกับผู้สื่อข่าว พร้อมระบุว่า เราจำเป็นต้องเฝ้าระวังและตรวจสอบพื้นที่นอกพรมแดนจีนด้วย เพื่อค้นหาต้นกำเนิดที่แท้จริงของโรคโควิด-19


ความจำเป็นที่ “มิน อ่อง หล่าย” และกองทัพพม่า ต้องยึดอำนาจจากพลเรือน

รัฐธรรมนูญฉบับปี 2551 กำหนดว่า กองทัพพม่ามีโควตาที่นั่ง 25 เปอร์เซ็นต์ของสภานิติบัญญัติ เป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญที่เอื้อให้เกิดการรัฐประหารโดยไม่ต้องใช้กำลัง

ความจำเป็นของ มิน อ่อง หล่าย ที่จะต้องรักษาอำนาจเอาไว้ ก็เพื่อปกป้องตัวเองจากข้อกล่าวหาของรัฐบาลแกมเบียที่นำคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจาขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

รัฐบาลซูจียังให้อำนาจแก่รัฐบาลท้องถิ่นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอนุมัติโครงการลงทุน และสร้างการมีส่วนร่วมให้อาสาสมัครช่วยกันควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้กองทัพมองว่า นั่นเป็นการลดบทบาทกองทัพ

คงมีคนจำนวนไม่มากนักบนโลกนี้ที่จะเชื่อว่า พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยึดอำนาจทางการเมืองพม่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เพราะพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยหรือเอ็นแอลดีของออง ซาน ซูจี โกงการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 แต่คนจำนวนมากเลือกที่จะเชื่อว่าเหตุผลที่แท้จริงคือ กองทัพและมิน อ่อง หล่าย เองกำลังรู้สึกไม่มั่นคงอย่างแรง เนื่องจากพบว่ากำลังจะสูญเสียอำนาจในการกุมชะตากรรมของประเทศไปต่างหาก

ความจริงกองทัพพม่าหรือที่รู้จักกันในภาษาพม่าว่า ตัตมาดอว์ มีอำนาจเหนือการเมืองมาโดยตลอดอยู่แล้ว รัฐธรรมนูญฉบับปี 2551 ซึ่งถูกเขียนขึ้นภายใต้การอำนวยการของกองทัพ ได้กำหนดว่า กองทัพมีโควตา 25 เปอร์เซ็นต์ของสมาชิกสภานิติบัญญัติ 664 ที่นั่ง (แบ่งเป็นสภาผู้แทนชนชาติจากรัฐและภาคต่างๆ 224 และสภาผู้แทนราษฎร 440 ที่นั่ง) ในฝ่ายบริหารนั้นกองทัพจะควบคุมกระทรวงความมั่นคงสำคัญคือ กลาโหม มหาดไทย และกิจการชายแดน ในส่วนประมุขของรัฐนั้น 1 ใน 2 รองประธานาธิบดีจะต้องเป็นคนจากกองทัพ ซึ่งเสนอโดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในส่วนของกลไกความมั่นคงนั้น สมาชิกส่วนใหญ่ของสภากลาโหมและความมั่นคงคือผู้แทนกองทัพ

กลไกทางด้านความมั่นคงนี้เองที่เป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญที่เอื้อให้เกิดการรัฐประหารโดยไม่ต้องใช้กำลัง กล่าวคือ ในกรณีที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้ประธานาธิบดีหารือกับสภากลาโหมและความมั่นคงเพื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (มาตรา 417) ในระดับทั่วประเทศ จากนั้นให้โอนอำนาจ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ (มาตรา 418 a) ให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเพื่อบริหารประเทศต่อไป

ในสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาคือ ประธานาธิบดี วิน มินต์ ซึ่งเป็นคนของพรรคเอ็นแอลดีถูกคุมตัวพร้อมกับออง ซาน ซูจี มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศ รองประธานาธิบดี มินต์ ฉ่วย ซึ่งเป็นคนของกองทัพ จึงรักษาการแทนและอาศัยอำนาจในการประกาศภาวะฉุกเฉินแล้วมอบอำนาจทั้งสามให้ มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งได้ตั้งสภาบริหารงานแห่งรัฐขึ้นมาเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ ควบคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในปัจจุบัน

ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2551 การรัฐประหารเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่เหตุที่เพิ่งมาเกิดเอาตอนนี้ก็เนื่องจากว่า มิน อ่อง หล่าย จะมีกำหนดเกษียณอายุราชการในเดือนกรกฎาคม 2564 นี้ และมีความมุ่งหวังจะขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในฐานะประมุขของรัฐ แต่เนื่องจากพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีกองทัพหนุนหลัง แพ้การเลือกตั้งให้กับพรรคเอ็นแอลดีอย่างยับเยินเป็นสมัยที่สอง ได้ที่นั่งรวมกันทั้งสองสภาแค่เพียง 33 ที่นั่งเท่านั้น เป็นการปิดประตูตายสำหรับนายทหารที่จะขึ้นเป็นประมุขของประเทศได้อย่างชอบธรรมตามระบบการเลือกตั้ง

ความจำเป็นของมิน อ่อง หล่ายที่จะต้องรักษาอำนาจเอาไว้ ก็เพื่อปกป้องตัวเองจากข้อกล่าวหาของรัฐบาลแกมเบียที่นำคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจาขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ซึ่งระบุอย่างชัดเจนว่า กองทัพพม่าคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาติอันเนื่องมาจากการเป็นผู้ดำเนินนโยบายกวาดล้างชาวโรฮีนจาในเดือนสิงหาคม 2560

แม้ว่า ออง ซาน ซูจี จะออกหน้าแก้ต่างคดีในศาล แต่ มิน อ่อง หล่าย พลเอก โซ วิน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลจัตวา ถั่น อู และ พลจัตวา อ่อง อ่อง ก็เป็นผู้รับผิดชอบต่ออาชญากรรมนี้โดยตรง อีกทั้งนายทหารเหล่านี้ ก็โดนประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำเมื่อเดือนธันวาคม 2562 และถ้าหากพบว่าพวกเขามีทรัพย์สินในสหรัฐฯ ก็จะต้องถูกยึด

ดังนั้น หากการลงจากอำนาจทางทหารโดยไม่มีอำนาจทางการเมืองคุ้มครองเลย ก็ดูจะเป็นการเสี่ยงเกินไปสำหรับชีวิตหลังเกษียณของนายพลพม่า มิน อ่อง หล่าย จึงตัดสินใจเข้าควบคุมอำนาจ ทำให้เขากลายเป็นนายพลพม่าคนที่สาม ต่อจากเน วิน และ ตาน ฉ่วย ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือทั้งกองทัพและรัฐบาลในเวลาเดียวกัน

การควบคุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเช่นนี้เท่านั้นที่จะทำให้กองทัพพม่ามีโอกาสหยุดการเติบโตของพลเรือน โดยเฉพาะในพรรคเอ็นแอลดีของออง ซาน ซูจี ซึ่งไม่เพียงแต่มีที่นั่งในสภาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น หากแต่อำนาจและทักษะในการบริหารประเทศก็แข็งแรงมากขึ้นด้วยเช่นกัน ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าพรรคเอ็นแอลดีจะไม่ได้ควบคุมกระทรวงทางด้านความมั่นคงเลย แต่กระทรวงเศรษฐกิจและกระทรวงอื่นๆ ก็ยังสามารถทำให้ซูจีและพรรคของเธอได้รับคะแนนนิยมทางการเมือง และควบคุมกลไกการปกครองประเทศไปพร้อมๆ กับการขยายฐานทางการเมืองไปด้วย

กล่าวคือ รัฐบาลซูจีให้อำนาจแก่รัฐบาลท้องถิ่นระดับรัฐและภาคมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอนุมัติโครงการลงทุน นอกจากนี้ ยังขยายฐานมวลชนด้วยการให้อาสาสมัครสาธารณสุขและครู มีส่วนร่วมในการดำเนินงานของรัฐในการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้กองทัพมองว่า นั่นเป็นการเอื้อประโยชน์ในการเลือกตั้งให้กับพรรคเอ็นแอลดี และลดบทบาทกองทัพ ที่เคยเป็นหน่วยการปกครองและบริหารประเทศมาโดยตลอด

หากว่า มิน อ่อง หล่าย ปล่อยให้ออง ซาน ซูจี และพรรคเอ็นแอลดีบริหารประเทศอีกหนึ่งสมัยคือ 5 ปี น่ากลัวว่ากองทัพอาจจะต้องถอยร่นออกจากการเมืองไป ซึ่งนั่นไม่เพียงแต่จะสูญเสียอำนาจเท่านั้น บรรดาความมั่งคั่งและทรัพย์สินเงินทองที่กองทัพและนายพลครอบครองอยู่อาจจะต้องถูกตรวจสอบอีกด้วย

บทความโดย สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี

ในหลวง พระราชินี ทรงประกอบพิธี สังเวยพระป้าย เนื่องในเทศกาลตรุษจีน

ในหลวง พระราชินี ทรงประกอบพิธี สังเวยพระป้าย เนื่องในเทศกาลตรุษจีน โดยมีเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา และเจ้าคุณพระสินินาฏ โดยเสด็จด้วย

เมื่อเวลา 21.08 น. วันที่ 12 ก.พ. 2564 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จลง ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ทรงประกอบพิธีสังเวยพระป้ายเนื่องในเทศกาลตรุษจีน พุทธศักราช 2564 ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี โดยเสด็จด้วย