ข่าว
สภาฉลุย! มติ สนช.เอกฉันท์ ปลดล็อกทั้งกัญชา-กระท่อม

เมื่อวันที่ 23 พ.ย. เวลา 10.30 น.ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติชาติ(สนช.) มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่..) พ.ศ… วาระแรก ตามที่สมาชิก สนช. 44 คน นำโดยนายสมชาย แสวงการ เข้าชื่อเสนอ เพื่อแก้ไข พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ปลดล็อกให้ กัญชาสามารถใช้เป็นยารักษาโรคได้

โดยนายสมชาย ได้แถลงสาระสำคัญและประโยชน์ของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ว่าเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 กำหนดให้สามารถขออนุญาต ผลิต นำเข้าหรือส่งออก ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ซึ่งประกอบด้วยกัญชา และ กระท่อม เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์สามารถนำไปใช้ในการรักษาโรคเฉพาะตัวได้ เช่นเดียวกับยาเสพติดให้โทษประเภท2 แบบฝิ่น เท่านั้น ไม่ได้รวมถึงการใช้เสพเพื่อสันทนาการ

และให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เป็นผู้กำหนดเขตพื้นที่ทดลองเพาะปลูกกัญชา และเสพกัญชา เพื่อการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ในปริมาณที่กำหนดโดยไม่ถือว่ามีความผิดกฎหมาย ซึ่งการกำหนดพื้นที่ดังกล่าวจะต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกามีมาตรการตรวจสอบควบคุม

นายสมชาย กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่จะสามารถอนุญาตครอบครองกัญชาได้นั้น ประกอบด้วย กระทรวง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น สภากาชาดไทย องค์กรเภสัชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์สาขาต่างๆ ทั้ง ทันตกรรม สัตวแพทย์ แพทย์แผนไทย เป็นต้น โดยผู้ขออนุญาตจะต้องไม่เคยต้องโทษตามกฎหมายยาเสพติดมาก่อน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้พิจารณาอนุญาตตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ

อย่างไรก็ตามยืนยันว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านการรับฟังความเห็นจากประชาชน ตามมาตรา 77 วรรค 2 ทั้งจากเว็บไซต์ ที่มีผู้เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้ถึงร้อยละ 99.03 และเปิดเวทีรับฟังความเห็น รวมถึงได้ส่งให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาแล้ว โดยไม่ได้มีการเสนอร่างกฎหมายมาประกบ แต่มีข้อสังเกต ความเห็นจากกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการกฤษฎีกา และ ป.ป.ส.

ด้านสมาชิกสนช. อาทิ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ต่างอภิปรายสนับสนุน เพราะเมื่อพิจารณาแล้ว พบว่าโทษของกัญชา มีน้อยกว่า เหล้าและบุหรี่ ที่ไม่ได้กำหนดเป็นยาเสพติด ขณะที่ บางส่วนที่ไม่เห็นด้วย เป็นเพราะไม่ทราบถึงสาระสำคัญของร่างกฎหมายที่แท้จริง แต่ก็ฝากข้อสังเกตว่า ให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ในปริมาณที่เหมาะสม ระบุถึงปริมาณให้ชัดเจน

ในที่สุดแล้ว ที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการวาระ 1 ร่างพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 145 เสียง พร้อมตั้งกรรมาธิการ 29 คน กำหนดแปรญัตติ 7 วัน โดยพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60

‘ธิดา’ย้อนรอย 4 วิชามาร‘ดูด’ ซัด‘พปชร.’ก็อปปี้ไม่ได้ใจคน

23 พ.ย.61 นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในการทำ Facebook Live ว่า วันนี้มีการย้ายพรรคและเข้าไปในพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) มากขึ้น ตนจึงอยากให้จับตาดูการดูดจากพรรคใหญ่ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) หรือพรรคเพื่อไทย(พท.) เข้า พปชร.

นางธิดา กล่าวว่า ถ้าเรากลับไปทบทวนจะเห็นว่าการทำรัฐประหารครั้งนี้ มีการวางแผนไว้ทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง ระยะยาว ในระยะสั้นก็บอกว่าจะรีบคืนความสุขให้โดยเร็วเพื่อทำให้คนยอมรับการรัฐประหาร จากนั้นในระยะกลางก็คือการจัดตั้งรัฐบาล การเตรียมตัวเพื่อที่จะไม่ให้การทำรัฐประหารเสียของ ก็คือระยะสั้นให้ยอมรับรัฐบาลไม่ให้มีปฏิกิริยาและควบคุมปูทางไปสู่อนาคต มาจนกระทั่งผ่านมา 4 ปีกว่า จะเห็นว่าอันนี้ไม่ใช่การควบคุมหลังการทำรัฐประหาร แต่เป็นการควบคุมเพื่อเตรียมการให้รัฐบาลอยู่ได้ยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญนี้ก็เป็นการเตรียมการสำหรับระยะยาวทั้งสิ้น

มาถึงบัดนี้มันชัดเจนไม่ว่าจะเป็นการตั้งพรรค พปชร. และการทำโครงการต่างๆ การที่มีรัฐมนตรีจากที่เคยอยู่กับพรรคไทยรักไทย , พรรคเพื่อไทย และมีเทคโนแครตอื่นๆเข้ามา นี่คือการศึกษาการทำงานจากในอดีตและเพิ่มเติมโดยการทำให้พรรคใหญ่ 2 พรรคต้องกลายเป็นพรรคเล็กได้อย่างไร จึงต้องมีพรรคขั้วที่ 3 ขึ้นมาและไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ก็จำเป็นต้องเป็นพรรคที่อยู่ระยะยาวได้

“การก็อบปี้วิธีการของพรรคไทยรักไทยซึ่งสามารถได้รับชัยชนะถล่มทลายจึงเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องอินังขังขอบว่ามีการโจมตีนักการเมืองและพรรคการเมืองเดิม วิธีการอะไรก็ได้ ผ่านการทำรัฐประหารมาเกือบ 5 ปีแล้ว จำเป็นจะต้องมีการเลือกตั้ง แต่เลือกตั้งอย่างไรที่จะให้การทำรัฐประหารไม่เสียของ จึงเกิดคำตอบของพรรคการเมืองและก็อบปี้วิธีการของพรรคเดิมขึ้นมา” นางธิดา กล่าว

นางธิดา กล่าวอีกว่า การก็อบปี้อันหนึ่งก็คือทำอย่างไรให้พรรค พปชร.เป็นพรรคที่มีขนาดใหญ่ จึงมีการดึงจากพรรคการเมืองอื่นๆเข้ามาร่วม เพื่อให้กลายเป็นพรรคใหญ่ที่มีเสียงมากจากประมาณ 200 กว่าเสียงเศษๆ ก็กลายมาเป็น 300 กว่าเสียงได้ นั่นก็คือการก็อบปี้โครงการ ก็อบปี้ตัวเลขส.ส. เพื่อให้ได้เป็นเสียงเด็ดขาด เพราะลำพังเพียง 250 เสียงของส.ว. รวมกับพรรคปชป.และพรรคอื่นๆ ยังไม่ใช่เป็นหลักประกัน เมื่อจับตาดูใน พปชร.เราจะเห็นว่าตัวแม่เหล็กสำคัญก็คือนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งมีบทบาทในการทำโครงการต่างๆของประชารัฐและทำงานเศรษฐกิจในลักษณะคล้ายๆก็อบปี้มาจากไทยรักไทย


“บิ๊กตู่” นัดถกปลดล็อกพรรคการเมือง 7 ธ.ค. ยันไม่เลื่อนเลือกตั้งยังอุบแนวทางการเมือง

(23 พ.ย.) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการนัดหารือกับพรรคการเมือง เพื่อปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมว่า ตอนนี้กำหนดไว้แล้ววันที่ 7 ธ.ค.นี้ ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ส่วนการพูดคุยจะชัดเจนแค่ไหนก็ต้องคุยกันก่อนว่าจะเอาอย่างไร การปลดล็อกต้องมีการร่างกฎระเบียบให้ชัดเจน แต่จะทำให้เร็วที่สุด รัฐบาลไม่ได้มีข้อขัดแย้งอะไร เข้าใจดี และบอกแล้วเมื่อกฎหมายต่างๆ ออกมาพร้อม เราก็จะมีการปลดล็อกบ้างอะไรบ้าง ตรงไหน ทั้งนี้เพื่อให้บ้านเมืองปลอดภัย

ผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้นายกฯ เคยบอกว่าสนใจงานการเมือง ตอนนี้ตัดสินใจหรือยังว่าจะเข้าทำงานการเมืองในช่องทางใด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ยัง ตอนนี้ยังฟังไม่ครบเลย ถามว่าจะสมัครสังกัดพรรคการเมืองใดหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ยังไม่ขอตอบอะไรทั้งสิ้น ขอดูกฎหมายก่อนว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเขียนไว้แล้ว ถ้านายกฯ จะลงไปอยู่การเมืองจะต้องไปอยู่ตรงไหน ทำอะไรได้บ้าง ต้องไปดูตรงโน้น จะมาถามอะไรเรา ขณะเดียวกันเราก็ต้องปรึกษาฝ่ายกฎหมายว่าทำอะไรได้แค่ไหน

เมื่อถามถึงความชัดเจนในวันเลือกตั้ง นายกฯ กล่าวทันทีว่า ยังยืนยันว่าเป็นเดือน ก.พ. ตนไปเลื่อนตรงไหนสักอันหรือยัง เมื่อถามว่ามีพรรคการเมืองร้องมาที่ คสช.หรือไม่ ให้ขยับวันเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เห็นแต่ทางหน้าหนังสือพิมพ์ ในส่วนของ คสช.ยังไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เป็นเรื่องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะไปว่ามา ตนไม่มีส่วนในการตัดสินตรงนี้ เมื่อถามว่า นายกฯ ไม่ตัดสินใจเข้าพรรคเพื่อที่จะเป็นคนในหรือ นายกฯ กล่าวว่า ไม่จำเป็น เมื่อถามต่อไปว่า เมื่อไหร่นายกฯ จะเปิดเผยความในใจ พล.อ.ประยุทธ์ส่ายหัวปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว

ส่วนเรื่องรัฐมนตรีที่ไปทำงานพรรคพลังประชารัฐ ตอนนี้มีการตัดสินใจอย่างไรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในทางกฎหมายบอกว่าไม่เป็นไร แต่เดี๋ยวทั้ง 4 รัฐมนตรีเขาจะดูเองว่าจะออกเมื่อไหร่ ยังไงก็แล้วแต่เขา เมื่อถามว่าหาก 4 รัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง นายกฯจะปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ยังไม่ปรับ ไม่มีปรับ ไม่ปรับแล้ว จะปรับทำไม ตามกฎหมายถ้าไม่ปรับก็มีคนแทนได้


‘ไทยรักษาชาติ’เผยตัวแทน “ดร.-ผู้สมัครใต้-ตะวันออก”

23 พ.ย.61 ที่พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) มีการเปิดตัวสมาชิกที่จบการศึกษามีดีกรีระดับปริญญาเอก “ดร.” กว่า 20 คน ที่เข้าสมัครสมาชิกพรรค พร้อมแสดงความจำนงที่จะลงสมัคร ส.ส. และยังมีผู้สมัครสมาชิกจากพื้นที่ภาคใต้ และภาคตะวันออก เช่น จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา พังงา ระยอง จันทบุรี ตราด และพิษณุโลก อาทิ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย , นางพนิดา กำภู ณ อยุธยา อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จำนวนกว่า 40 คน เดินทางมาสมัครสมาชิกด้วย

ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค ทษช. กล่าวว่า ขอต้อนรับสมาชิกใหม่ที่ให้เกียรติมาสมัครสมาชิกพรรคในวันนี้ แม้เราจะเป็นพรรคน้องใหม่ เพิ่งก่อตั้งเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา แต่ทุกย่างก้าวของเรามั่นคง และตั้งใจที่จะประโยชน์ให้แก่ประชาชน และประเทศ ซึ่งเราจะได้ระดมความรู้ และประสบการณ์เพื่อมากำหนดเป็นนโยบายเพื่อประชาชน รวมทั้งจะมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาศักยภาพให้กับประเทศด้วย เชื่อมั่นว่า เรือ ทษช. ลำนี้จะร่วมแรงร่วมใจ นำความหวัง และนำพาประชาชนให้หลุดพ้นจากกับดัก และเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ.62

ทั้งนี้ ในวันที่ 24 พ.ย.นี้ พรรค ทษช. จะลงพื้นที่ พร้อมรถรับสมัครสมาชิกเคลื่อนที่ไปรับสมัครสมาชิกที่หน้าโฮมโปร ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ ตั้งแต่เวลา 10.30-12.00 น. และในวันที่ 25 พ.ย.นี้ กรรมการบริหารพรรค ทษช. นำโดยตน นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรค และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. จะไปร่วมประชุมจัดตั้งสาขาพรรคลำดับที่ 4 ภาคใต้ ที่โรงแรมราวดี จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงขอเชิญชวนพี่น้องที่สนใจมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคของเราได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีนายชยานิน คงสง แกนนำเกษตรกรชาวสวนยางตำบลควนหนองหงษ์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นแกนนำผู้ประท้วงรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เรื่องราคายางภาคใต้ที่ตกต่ำ ได้เดินทางมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคทษช. ในครั้งนี้ด้วย

นายชยานิน กล่าวว่า ในอดีตที่ประท้วงเกิดจากความรักในเพื่อนร่วมอาชีพ และเพื่อนร่วมชาติ แต่ด้วยความซื่อทำให้ตนตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายเผด็จการ จนนำไปสู่การยึดอำนาจ วันนี้เราได้เห็นถึงความเป็นจริง จึงขอลุกขึ้นมาต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ และสร้างสังคมที่เป็นประชาธิปไตย จึงมาร่วมกับคนอยากเลือกตั้งเพื่อนำศักดิ์ศรีความเป็นพลเมืองกลับมาในประเทศอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ขอให้ทุกคนเลิกแบ่งแยกฝักฝ่าย และมาสร้างกติกาการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขเพื่อให้สังคมน่าอยู่

ด้านนายวีระกานต์ มุสิกพงษ์ แกนนำภาคใต้ กล่าวถึงกรณีทีมภาคใต้พรรคเพื่อไทยเดิมมาอยู่กับ ทษช.หมด แล้วพรรคเพื่อไทยจะส่งผู้สมัครในพื้นที่ภาคใต้หรือไม่ ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะส่งผู้สมัครหรือไม่ แต่ในส่วนของพรรค ทษช. จะมีการหารือเรื่องนี้ในการเปิดสาขาพรรคที่นครศรีธรรมราช แต่เราก็หวังจะได้ผู้สมัครทั้งระบบเขตและบัญชีรายชื่อ


"ผอ.เขตอุตสาหกรรมฯ" อ้าง ตบสาวเสิร์ฟเพราะพูดจาไม่ดี

(23 พ.ย.) จากกรณีที่เพจดังเผยแพร่คลิปวงจรปิด ขณะที่นายสุรสีห์ แห่งศรีสุวรรณ ผอ.โครงการเขตอุตสาหกรรมนวนครสูงเนิน จ.นครราชสีมา ตบหน้า นายปริตา คชประภา อายุ 25 ปี สาวประเภทสองที่เป็นพนักงานเสิร์ฟของโรงแรม เนื่องจากโมโหที่ถูกห้ามไม่ให้สูบบุหรี่ในที่ห้ามสูบ

ซึ่งนายสุรสีห์ เปิดเผยภายหลังยอมรับว่าตบหน้าพนักงานคนดังกล่าวจริง เพราะถูกพูดจาไม่ดีใส่ก่อนและไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งพร้อมต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม

ทางด้าน นายปริตา เผยว่าวันเกิดเหตุได้เดินเข้าไปแจ้งนายสุรสีห์ว่าไม่สามารถสูบบุหรี่ในโรงแรมได้ต้องไปสูบบริเวณหน้าโรงแรม แต่นายสุรสีห์กลับหงุดหงิดพูดจาเสียงดัง จนผู้จัดการห้องอาหารบอกให้ตนออกไปด้านนอก หลังเดินออกไป นายสุรสีห์ ก็เดินตามออกมาพร้อมบอกว่า มึงท้าทายหรอ และตบหน้าตนอย่างแรง

ซึ่งหลังเกิดเหตุได้ไปแจ้งความที่ สภ.พระนครศรีอยุธยา แต่คดีไม่คืบ จึงขอคลิปภาพจากกล้องวงจรปิดเผยแพร่ในโซเชียลฯ เพื่อขอความเป็นธรรรม โดยหลังเกิดเหตุมีผู้ใหญ่หลายคนพยายามมาขอให้ยุติ แต่ตนไม่ยอม พร้อมยืนยันว่าวันเกิดเหตุพูดจาสุภาพและได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากตัวนายสุรสีห์ชัดเจน ขอยืนยันที่จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า นายสุรสีห์ เคยเป็นนักข่าวบันเทิงอยู่ที่หนังสือพิมพ์ข่าวสด เดินสายนักเลงชอบเล่นการพนัน ได้เข้าไปทำงานที่นวนคร เพราะตามไปรับใช้ พล.อ.อัครเดช ศศิประภา หรือ เสธ.แอ๊ว อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และประธานกรรมการบริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) ที่เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา

ซึ่งนายสุรสีห์ ได้บารมี เสธ.แอ๊ว ไปหากินจนมีฐานะดีขึ้นมา ก่อนที่ เสธ.แอ๊ว จะเสียชีวิตก็ได้ประกาศตัดขาดไม่ให้ นายสุรสีห์ มายุ่งเกี่ยวด้วยเพราะมีนิสัยนักเลงและมักทำตัวกร่างอยู่บ่อยครั้ง

‘อัจฉริยะ’ ร้องแพทยสภา หมอสูติฯ ฉาวข่มขืนคนไข้

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 พ.ย. ที่แพทยสภา นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ นพ.เมธี วงศ์สิริสุวรรณ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กรณีของ นพ.จักรพงษ์ ลีลาพร อายุ 53 ปี เจ้าของคลินิก หมอจักรพงษ์ ในจ.นครสวรรค์ ที่มีพฤติกรรมล่อลวงคนไข้ กระทำการลามกอนาจาร รวมถึงถูกคนไข้กล่าวหาว่าข่มขืนกระทำชำเรา โดยเชื่อได้ว่า นพ.จักรพงษ์ ผิดข้อบังคับแพทยสภาด้านจริยธรรม

นายอัจฉริยะ กล่าวว่า วันนี้ได้นำหลักฐานมายื่นต่อแพทยสภา เพื่อเอาผิดกับ นพ.จักรพงษ์ ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 และตามข้อบังคับว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2549 โดยหลักฐานประกอบด้วย สลิปการโอนเงินที่นพ.จักรพงษ์ โอนให้ผู้เสียหาย, ข้อความจากเฟซบุ๊กที่ นพ.จักรพงษ์ พูดคุยกับผู้เสียหาย ว่าจะรับผิดชอบ ดูแลตลอดชีวิต และรายการประจำวันคดี 3 ฉบับ เมื่อปี พ.ศ.2560 ทาง นพ.จักรพงษ์ ยอมรับว่าได้ทำการอนาจารคนไข้ 2 ราย พร้อมกับให้เงินค่าเสียหาย 30,000 และ 40,000 บาท ซึ่งล่าสุดก็ได้ให้เงินผู้เสียหายอีก 300,000 บาท

“จากการพูดคุยกับผู้เสียหายรายหนึ่งในจ.เพชรบรูณ์ เล่าให้ผมฟังว่า มีการตรวจโดยการเปิดเสื้อชั้นใน ใช้มือที่ไม่ใส่ถุงมือยาง คลึงบริเวณเต้านมและบอกว่าเต้านมสวย ลูบไล้ไปตามร่างกาย เล้าโลม ใช้นิ้ว สอดใส่อวัยวะเพศ ซึ่งไม่ใช่การรักษา แต่เป็นการลวนลาม และอ้างว่า เป็นขั้นตอนของกระบวนการรักษา โดยจากการตรวจสอบแล้ว ตั้งแต่คลินิกเปิดมา ไม่เคยมีพยาบาล ผู้ช่วยพยาบาลหรือบุคคลที่สามเข้ามาอยู่ด้วยในระหว่างการตรวจภายในเลย ซึ่งถือว่าผิดแน่นอน” อัจฉริยะ กล่าว

ด้าน นพ.เมธี กล่าวว่า เมื่อรับเรื่องแล้ว ตามขั้นตอน ทางสำนักงานเลขาธิการแพทยสภา จะนำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการ ซึ่งจะมีการประชุมในช่วงต้นเดือน ธ.ค.นี้ โดยขณะนี้ยังไม่มีผู้เสียหายเข้ามาร้องทุกข์กล่าวโทษ ต่อแพทยสภาเลย แต่ก็ได้มีการติดตามข่าวมาโดยตลอด และจะรีบดำเนินการให้ความจริงกระจ่างโดยเร็ว

นพ.เมธี กล่าวต่อว่า โดยเน้นเรื่องจริยธรรมวิชาชีพของหมอ เมื่อตรวจสอบแล้ว จะมีการเรียก นพ.จักรพงษ์ มาสอบสวน คาดว่าจะภายในเดือน ธ.ค.นี้ หากพบว่ามีความผิดจริง ก็จะถูกลงโทษตามกระบวนการ ตั้งแต่ ตักเตือน เพิกถอดใบวิชาชีพ และถอดใบวิชาชีพ แต่ขณะนี้ทาง นพ.จักรพงษ์ ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ และยังสามารถประกอบอาชีพได้

นพ.เมธี กล่าวอีกว่า ส่วนระยะเวลาการตรวจสอบข้อเท็จจริง ขึ้นอยู่กับทางหลักภาษาและ การสอบปากคำของ นพ.จักรพงษ์ ว่าจะให้ความร่วมมือมากน้อยแค่ไหน แต่ยืนยันว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด และจะไม่มีการเข้าข้างผู้กระทำผิดอย่างแน่นอน เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ทำให้ประชาชนไม่มีความไว้ใจในอาชีพแพทย์ จึงอยากให้ประชาชนไว้ใจกระบวนการทำทางของแพทยสภาได้