เมื่อวันที่ 15 ก.ย. บริษัท เคทีดี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ชี้แจงว่า ขอเรียนให้ทราบว่า การขออนุญาตเช่าพื้นที่สาธารณะห้วยเม็ก ต.บ้านดง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น เนื้อที่ 31 ไร่ ซึ่งอยู่ติดกับพื้นที่ก่อสร้างโรงงานราว 500 ไร่ นั้น บริษัทฯ ได้ดำเนินการตามระเบียบ ข้อบังคับและขั้นตอนทางกฎหมายของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง ครบถ้วนทุกประการ
บริษัทฯ ยังได้แจ้งการเข้ามาตั้งโรงงานของบริษัทฯ รวมถึงการจะขอเช่าพื้นที่สาธารณะห้วยเม็ก โดยมีความประสงค์เพื่อทำการปรับปรุงพัฒนาเป็นแหล่งเก็บกักน้ำ และฟื้นฟูรักษาให้เป็นสภาพที่สมบูรณ์ รวมถึงเพื่อที่จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการน้ำให้กับชาวบ้าน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายด้านกิจกรรมเพื่อสังคมของบริษัทฯ ที่จะมุ่งช่วยเหลือชุมชนโดยรอบโรงงาน
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเมื่อปรากฏมีผู้คัดค้านการขอเช่าพื้นที่ บริษัทฯ ก็พร้อมที่จะยกเลิกโครงการบริหารจัดการน้ำ และยกเลิกใบอนุญาตเช่าพื้นที่สาธารณะห้วยเม็ก และให้ชุมชน ต.บ้านดง ได้บริหารจัดการกันเองต่อไป ที่ผ่านมาบริษัทฯได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่อย่างเคร่งครัด โดยบริษัทฯ มีความตั้งใจที่จะดูแลอนุรักษ์ให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สีเขียว บริษัทฯ ไม่มีความประสงค์ที่จะใช้น้ำในห้วยเม็กเพื่อการอุปโภคบริโภค และไม่มีความประสงค์ที่จะนำที่ดินของห้วยเม็กมาใช้ในทางใดทางหนึ่งเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ แต่เป็นความตั้งใจที่จะช่วยเหลือชุมชนอย่างแท้จริง
ในหลวง ร.10 โปรดเกล้าฯ ให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ ในหลวง ร.9 ถึง 30 ก.ย. เป็นวันสุดท้าย เพื่อจัดเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
ประกาศสำนักพระราชวัง เรื่อง การเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2559 นั้น
บัดนี้ สำนักพระราชวังจะดำเนินการจัดเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ จึงขอให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ ในวันที่ 30 กันยายน เป็นวันสุดท้าย จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 15 กันยายน พุทธศักราช 2560
ทั้งนี้ สำนักพระราชวัง ได้สรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 14 ก.ย.หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ให้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 22.20 น. จากกำหนดเดิม เวลา 21.00น. เนื่องจากยังมีประชาชนเข้าแถวรอกราบสักการะพระบรมศพ ในมณฑลพิธีสนามหลวงเป็นจำนวนมาก มีจำนวนทั้งสิ้น 45,988 คน รวม 316 วัน มี 10,602,174 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 2,956,020 บาท รวม 316 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 787,028,004.26 บาท
เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์อย่างมีอารมณ์ฉุนเฉียวหลังตอบคำถามถึงสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ ว่า วันนี้เป็นเหมือนกันทุกเรื่อง สื่อเอาอีกข้างมาว่าข้างนี้ เอาข้างนี้ไปให้ข้างโน้น หาเหตุอยู่เช่นนี้ ไม่มีจบ ไม่ต้องไปถามเรื่องใต้ เรื่องที่กรุงเทพฯ เรื่องการเมืองก็เหมือนกัน ตราบใดที่ยังปล่อยให้คนเหล่านี้คนที่มีคดีออกมาพูดออกสื่อทุกวันมันทำได้หรือไม่
เคยมีหรือไม่ที่ประเทศไหนทำ ก็มีแต่ประเทศไทยนี่แหละที่คนอยู่ในคดีออกมาพูดทุกวัน คดีกองเป็นหลายๆคดีแต่ก็ยังออกมาพูด สื่อเองก็นำเสนอข่าวแล้วก็เอามาใส่ผม แล้วผมก็ต้องสวนกลับไป ทางโน้นก็สวนกลับมา สนุกกันนักหรืออย่างไร ผมไม่โต้ตอบอีกแล้ว พวกคุณอยากจะฟังไอ้พวกนั้นก็ฟังไปเถอะ เพราะถึงเวลาก็บอกว่าไม่เป็นธรรมอีก ดำเนินคดีข้างเดียว มันทั้งขึ้นทั้งล่องไม่มีจบ ไม่มีปรองดองกันได้ วันนี้จะปรองดองได้อย่างเดียวคือการใช้กฎหมาย เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้นคือกระบวนการปรองดอง แล้วว่าไปตามขั้นตอน ถ้าไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมผมยังนึกไม่ออกว่าจะปรองดองด้วยวิธีการอะไร
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 14 ก.ย.60 ที่ สน.บางบอน นายอภิรักษ์ ชัชอานนท์ หรือ “เสี่ยโป้ อานนท์” อายุ 25 ปี พร้อม นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ณรัช มูลศาสตรสาทร ผกก.สน.บางบอน เพื่อร้องทุกข์และประสงค์แจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจฝ่ายสืบสวนไม่ทราบสังกัด ชื่ออาร์ต และพวกรวม 4 คน หลังถูกคู่กรณีชักปืนขึ้นลำจ่อหัวและเรียกรับสินบน ภายในร้านอาหารบ้านรถบางบอน ถนนเอกชัย แขวงและเขตบางบอน กทม.เหตุเกิดเมื่อเวลา 22.00 น.วันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา
นายอภิรักษ์ เผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาเวลาประมาณสี่ทุ่ม ตนและพวกเพื่อนฝูงได้ไปคุยธุระกันที่ร้านอาหารดังกล่าว สักพักมีตำรวจนอกเครื่องแบบซึ่งเป็นฝ่ายสืบสวนไม่ทราบสังกัดรวม 4 นาย มีตำรวจนายหนึ่งไม่ทราบยศและตำแหน่ง ซึ่งตนรู้จักมาก่อนจำเพียงชื่อเล่นได้แค่ว่า อาร์ต เข้ามาขอตรวจค้นคนในกลุ่มตน โดยชักอาวุธปืนออกมาขึ้นลำจ่อที่ตนและเพื่อนๆ กระทั่ง สามารถจับกุมรุ่นน้องตนชื่อ นายวรรลภ มณีธีรพงศ์ อายุราวๆ 20 ปี ไว้ได้พร้อมอาวุธปืนมีทะเบียนที่ญาตินำมาฝากไว้ จำนวน 2 กระบอก จากนั้น ตำรวจที่ชื่ออาร์ตพร้อมพวก ก็คุมตัว นายวรรลภ มาส่งดำเนินคดีมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่ผู้อื่นได้รับอนุญาตให้มีและใช้ถูกต้องตามกฎหมายไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย
นายอภิรักษ์ กล่าวอีกว่า ปืนที่นายวรรลภ ถูกยึดไปนั้นถูกค้นพบในกระเป๋าสะพาย ประกอบด้วย อาวุธปืนลูกโม่ ขนาด .38 ยี่ห้อสมิทแอนด์เวสสัน จำนวน 1 กระบอก และอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม.ยี่ห้อบาเร็ตต้า อีก 1 กระบอก รวมทั้งสิ้น 2 กระบอก แต่ตนเกิดความสงสัยว่าเหตุใดตำรวจชุดจับกุมจึงลงในบันทึกพร้อมส่งของกลางกับพนักงานสอบสวนเพียงกระบอกเดียว คือปืนลูกโม่ ส่วนปืนกึ่งอัตโนมัติหายไปไหน เมื่อตนสอบถามไปกับทางตำรวจที่ชื่ออาร์ต ก็ได้ความว่าเดี๋ยวจะช่วยเหลือให้นายวรรลภ ได้รับการประกันตัว แต่ต้องมีค่าดำเนินการให้นาย โดยก็ยังไม่ตกลงราคากันที่เท่าใด กระทั่งตนแจ้งสื่อมวลชนมาร่วมสังเกตการณ์ในวันนี้ทำให้ นายวรรลภ ได้รับการประกันตัวโดยยื่นหลักทรัพย์จำนวน 100,000 บาท และก็ไม่สามารถติดต่อกับตำรวจชื่ออาร์ตได้ ซึ่งตนก็ยังไม่ทราบว่าปืนอีกกระบอกที่หายไป จะได้รับการนำมาคืนหรือไม่ด้วยเช่นกัน
“ตนกลัวว่าหลังจากนี้จะถูกลอบปองร้ายจึงนำเรื่องไปปรึกษาทนายความ และประสงค์จะเดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจที่ชื่ออาร์ต พร้อมพวกในข้อหาพยายามฆ่า ที่เอาปืนออกมาขึ้นลำชี้มาที่ตน กับข้อหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับสินบนจากตน โดยขณะนี้ทางพนักงานสอบสวน สน.บางบอน ได้ลงบันทึกประจำวันเอาไว้แล้ว และอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าชุดจับกุมเป็นฝ่ายสืบสวนสังกัดใด อีกทั้งให้ตนไปเก็บหลักฐานเป็นภาพกล้องวงจรปิดในร้าน และคลิปวิดีโอที่พวกตนถ่ายเอาไว้มามอบให้อีกครั้ง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” นายอภิรักษ์ กล่าว
ต่อมาเมื่อเวลา 16.10 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง นายอภิรักษ์ พูดคุยให้ข้อมูลกับทางผู้บังคับบัญชา สน.บางบอน เสร็จสิ้น ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า จากการได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ภัทรศักดิ์ รักการ รอง ผกก.(หัวหน้างานสอบสวน) สน.บางบอน ทราบว่า ตำรวจที่ชื่ออาร์ต น่าจะเป็นนายตำรวจระดับร้อยตำรวจเอก ตำแหน่ง รอง สว.สส.สน.บางบอน แต่ขณะนี้ยังติดต่อไม่ได้
เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนได้ให้ตนกลับไปรวบรวมพยานหลักฐานทุกชิ้นที่มีก่อนจะนัดหมายให้เข้ามายื่นหลักฐานอีกครั้งในช่วง 1-2 วันนี้ ซึ่งตนจะรีบกลับไปดำเนินการรวบรวมพยานและหลักฐานตามที่พนักงานสอบสวนร้องขอและจะเดินทางมาพร้อมทนายความอีกครั้งเพื่อแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับผู้กองอาร์ตและพวกอย่างแน่นอน.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ย.60 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานพระราชานุญาตให้ถอดยศตํารวจและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยระบุว่า มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ถอด พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร อดีตข้าราชการตํารวจ ออกจากยศตํารวจ ตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค.2558 ซึ่งเป็นวันที่มีคําพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจําคุกในความผิดต่อประมวลกฎหมายที่ดิน ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ตํารวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ประกอบระเบียบสํานักงานตํารวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตํารวจ พ.ศ.2547 ข้อ 1 (2) และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย และเหรียญจักรมาลาที่บุคคลดังกล่าวได้รับพระราชทาน ตามข้อ 6 และข้อ 7 (2) ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ.2548.
เจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมที่ห้องปฏิบัติการจรวดขับเคลื่อนความดัน กอดกันหลังสัญญาณจากยานแคสสินหายไป ซึ่งบ่งชี้ว่ายานอวกาศได้พ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศดาวเสาร์แล้ว (ROBYN BECK / AFP)
เจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมที่ห้องปฏิบัติการจรวดขับเคลื่อนความดัน กอดกันหลังสัญญาณจากยานแคสสินหายไป ซึ่งบ่งชี้ว่ายานอวกาศได้พ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศดาวเสาร์แล้ว (ROBYN BECK / AFP)
นาซายืนยันปิดฉากภารกิจ 20 ปี “ยานแคสสินี” พุ่งชนดาวเสาร์แล้ว หลังจากนี้นักวิทยาศาสตร์ต้องใช้เวลาอีกหลายปีวิเคราะห์ข้อมูลวาระสุดท้ายของยานอวกาศ
องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ยืนยัน “ยานอวกาศแคสสินี” (CASSINI SPACECRAFT) มูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท พุ่งชนดาวเสาร์แล้ว ในวันที่ 15 ก.ย.2017 นี้ ตามกำหนดปิดฉากภารกิจ 20 ปีของปฏิบัติการสำรวจดาวเสาร์และบริวาร
“สัญญาณจากยานอวกาศหายไปแล้ว” เอิร์ล เมซ (EARL MAIZE) ผู้จัดการปฏิบัติการแคสสินีกล่าว ระหว่างที่ยานอวกาศหมดเชื้อเพลิงและแตกสลายสู่ชั้นบรรยากาศดาวเสาร์ตามกำหนด ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสที่ยานจะทำอันตรายดวงจันทร์ของดาวเสาร์
ทั้งนี้ ยานอวกาศแคสสินี เป็นโครงการความร่วมมือนานาชาติ ที่มีนักวิทยาศาสตร์จาก 27 ชาติเข้าร่วมในโครงการนี้ โดยเชื้อเพลิงของยานหมดลงหลังจากที่เดินทางเป็นระยะทางราวๆ 7.9 พันล้านกิโลเมตร
แม้จะดูเศร้าและโหดร้าย แต่เอเอฟพีรายงานว่าจุดจบของยานแคสสินีนี้ได้รับการวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหายใดๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อดาวจันทร์ไทนทัน (TITAN) และเอนเซลาดัส (ENCELADUS) ของเสาร์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ต้องการคงความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของดวงจันทร์ทั้งสองไว้ สำหรับรองรับการสำรวจในอนาคตเพื่อหาโครงสร้างสิ่งมีชีวิต
“เป็นเรื่องเศร้าที่จะได้เห็นยานแคสสินีจากไปในวันศุกร์นี้ ยิ่งเมื่อเครื่องไม้เครื่องมือที่เราสร้างขึ้นมานั้นยังทำงานได้อย่างดีเยี่ยม แต่เราก็ตระหนักดีว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจบภารกิจอย่างมีแบบแผนและควบคุมได้” สแตนลีย์ คาวลีย์ (STANLEY COWLEY) ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ จากมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ (UNIVERSITY OF LEICESTER) ในอังกฤษให้ความเห็น
นอกจากยานแคสสินีแล้วยังมียานอวกาศอีก 3 ลำที่บินผ่านดาวเสาร์ นั่นคือ ยานไพโอเนียร์ 11 (PIONEER 11) ในปี 1979 ตามมาด้วยยานวอยเอเจอร์ 1 (VOYAGER 1) และวอยเอเจอร์ 2 ในช่วงปีทศวรรษ 1980 ทว่าไม่มียานลำใดที่ศึกษาดาวเสาร์ได้ละเอียดเท่ายานแคสสินี
ชื่อของยานแคสินีนั้นเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามนักดาราศาสตร์ฝรั่งเศส-อิตาลีชื่อว่า จิโอวานนี โดเมนิโก แคสสินี (GIOVANNI DOMENICO CASSINI) โดยเมื่อศตวรรษที่ 17 แคสสินีได้ค้นพบว่า ดาวเสาร์มีดวงจันทร์หลายดวงและระหว่างวงแหวนของดาวเสาร์ก็มีช่องว่าง
ยานแคสสินีถูกส่งขึ้นไปจากเคปคานาเวอรัล ฟลอริดา เมื่อปี 1997 โดยใช้เวลาเดินทางในอวกาศนาน 7 ปี ก่อนจะไปถึงดาวเสาร์แล้วใช้เวลาโคจรรอบดาวเคราะห์วงแหวนนานอยู่ 13 ปี ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวยานโคจรของนาซาได้ค้นพบดวงจันทร์ที่โคจรรอบดาวเสาร์เพิ่มอีก 6 ดวง โครงสร้างสามมิติที่สูงท่วมวงแหวนดาวเสาร์ และพายุขนาดใหญ่ที่กระหน่ำทั้งดาวเคราะห์เกือบตลอดทั้งปี
เมื่อปี 2005 ยานแคสสินีได้ปล่อยยานลงจอดที่ชื่อว่า “ฮอยเกนส์” (HUYGENS) บนดวงจันทร์ไททัน ซึ่งนับเป็นการปล่อยยานลงจอดในระบบสุริยะชั้นนอกเป็นครั้งแรกและเพียงครั้งเดียว โดยปล่อยลงวัตถุอวกาศที่อยู่นอกแถบดาวเคราะห์น้อย (ASTEROID BELT) โดยยานฮอยเกนส์เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างนาซา องค์การอวกาศยุโรป (EUROPEAN SPACE AGENCY) และองค์การอวกาศอิตาลี (ITALIAN SPACE AGENCY)
นาซาระบุด้วยว่า ภารกิจของแคสสินีสิ้นสุดที่เวลา 18.55 น.
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012