ข่าว
โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “เมทินี ชโลธร” ดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกาคนใหม่

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้ง “เมทินี ชโลธร” ดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกาคนใหม่ แทน “ไสลเกษ วัฒนพันธุ์” ที่จะพ้นจากตำแหน่ง 1 ต.ค.นี้

วันที่ 25 กันยายน 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศแต่งตั้งประธานศาลฎีกา โดยมีเนื้อหาระบุว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่า โดยที่คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมได้ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้ง นางเมทินี ชโลธร ข้าราชการตุลาการ ตำแหน่ง รองประธานศาลฎีกา ให้ดำรงตำแหน่ง ประธานศาลฎีกา แทน นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ที่จะพ้นจากตำแหน่งประธานศาลฎีกา ในวันที่ 1 ตุลาคม 2563

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นางเมทินี ชโลธร ให้ดำรงตำแหน่ง ประธานศาลฎีกา ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 21 กันยายน 2563 เป็นปีที่ 5 ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นายกรัฐมนตรี

ด่วน! ไฟไหม้แล็บหัวเว่ยในจีน พนักงานวิ่งหนีตาย

เกิดเหตุไฟไหม้ห้องแล็บหัวเว่ย ตามมาด้วยระเบิดรุนแรง ส่งกลุ่มควันดำหนาทึบลอยขึ้นในอากาศ เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต สื่อท้องถิ่นของจีน รายงานเหตุระเบิดอาคารห้องแล็บของบริษัทหัวเว่ย ในเมืองตงกวน มณฑลกวางตุ้ง เมื่อช่วงประมาณบ่ายสามที่ผ่านมา (25 ก.ย. 63) ตามเวลาในท้องถิ่น ส่งผลให้เกิดกลุ่มควันสีดำขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ท่ามกลางความตกใจของผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ขณะที่พนักงานภายในอาคารดังกล่าวต่างวิ่งหนีตายออกมาจากอาคารเพื่อเอาชีวิตรอด

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้เข้าไประงับเหตุและควบคุมเพลิงให้อยู่ในวงจำกัดได้ หลังจากผ่านไปนานกว่า 1 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต และยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด โดยทางบริษัทหัวเว่ยยังไม่ออกมาแถลงเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว

ทั้งนี้ ห้องแล็บดังกล่าวมีไว้ทดสอบเสาอากาศระบบ 4G และ 5G ของบริษัทหัวเว่ย ผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายและโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของจีน โดยยังไม่มีการประเมินมูลค่าความเสียหายแต่อย่างใด


ที่มา : เซาท์ไชน่ามอนิ่งโพสต์


วังอังกฤษสุดดีใจ แจ้งข่าว เจ้าหญิงยูจีนี ทรงพระครรภ์แล้ว

วังบักกิงแฮม แจ้งข่าวดี เจ้าหญิงยูจีนีแห่งยอร์ก พระราชนัดดาในควีนเอลิซาเบธที่ 2 ทรงพระครรภ์แล้ว คาดมีพระประสูติกาลต้นปีหน้า

เมื่อ 25 ก.ย. 63 สำนักข่าวบีบีซี รายงาน สำนักพระราชวังบักกิงแฮม ในกรุงลอนดอน ประกาศข่าวที่สร้างความตื่นเต้นยินดี เจ้าหญิงยูจีนีแห่งยอร์ก พระธิดาในเจ้าชายแอนดรูว์ ดยุคแห่งยอร์ก และซาราห์ เฟอร์กูสัน ดัชเชสแห่งยอร์ก ทรงพระครรภ์ และคาดว่าจะมีพระประสูติกาลในต้นปีหน้า

ทวิตเตอร์ทางการของสำนักพระราชวังบักกิงแฮม ยังระบุด้วยว่า เจ้าหญิงยูจีนี และพระสวามี แจ็ค บรู๊กส์แบงก์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะแจ้งข่าวดีนี้ให้สาธารณชนได้รับรู้ ‘ดยุคแห่งยอร์กและดัชเชสแห่งยอร์ก ตลอดจนบิดาและมารดาของบรู๊คแบงก์ สมเด็จพระราชินีและดยุคแห่งเอดินเบอระ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับข่าวนี้’

ทั้งนี้ เจ้าหญิงยูจีนีแห่งยอร์ก ซึ่งทรงเป็นรัชทายาทลำดับที่ 10 แห่งราชวงศ์อังกฤษ และทรงเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ ได้เสกสมรสกับ แจ๊ค บรู๊กส์แบงก์ แฟนหนุ่มสามัญชน ที่โบสถ์เซนต์ จอร์จ ในพระราชวังวินด์เซอร์ เมื่อ 12 ต.ค.61 โดยเจ้าหญิงยูจีนี ยังได้โพสต์พระรูปของพระองค์และพระสวามี จับมือกันและถือรองเท้าน่ารักคู่เล็กๆ พร้อมข้อความว่า ‘ตื่นเต้นจัง’


หลานสาวเดือด ฟ้อง ‘ทรัมป์’ พร้อม 2 พี่น้อง ฉ้อโกงเงินหลายสิบล้านดอลลาร์

แมรี ทรัมป์ หลานสาว ปธน.ทรัมป์ ยื่นฟ้องศาล กล่าวหา ทรัมป์ และพี่น้องอีก 2 คน ร่วมกันฉ้อโกงเงินหลายร้อยล้านจากการลิดรอนสิทธิของเธอในธุรกิจของตระกูลทรัมป์ที่ก่อตั้งโดยปู่

เมื่อ 25 ก.ย.63 สำนักข่าว CNN และ abc news รายงาน แมรี ทรัมป์ หลานสาวของประธานาธิบดีโดนัดล์ ทรัมป์ ได้ยื่นฟ้องประธานาธิบดีทรัมป์ พี่สาว และน้องชายของทรัมป์อีก 2 คน ต่อศาลในนครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก โดยกล่าวหาจำเลยทั้ง 3 ได้แก่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ นางแมรีแอนน์ ทรัมป์ แบร์รีย์ และโรเบิร์ต ทรัมป์ (เสียชีวิตเมื่อเดือน ส.ค. 63) ได้ฉ้อโกงเงินของเธอหลายสิบล้านดอลลาร์ หรือมากกว่านั้น ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาจากการกีดกันหรือลิดรอนสิทธิของเธอที่สมควรได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นมรดกของตระกูลทรัมป์ ที่ก่อตั้งโดยปู่ของเธอ นายเฟร็ด ทรัมป์ ซีเนียร์

แมรี ทรัมป์ นักจิตวิทยา วัย 55 ปี บุตรสาวของนายเฟร็ด ทรัมป์ จูเนียร์ ซึ่งล่วงลับไปแล้ว และเป็นพี่ชายของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ระบุในข้อกล่าวหาด้วยว่า ‘การฉ้อโกงไม่ใช่แค่เพียงธุรกิจของครอบครัวเท่านั้น แต่มันเป็นวิถีชีวิต’

ในข้อกล่าวหาต่อทรัมป์ และพี่สาวน้องชายในครอบครัวอีก 2 คนนั้น ระบุว่า จำเลยทั้ง 3 ได้วางตนเองเหมือนกับเป็นผู้คุ้มครองแมรี ทรัมป์ ขณะดำเนินการอย่างลับๆ ในการแบ่งผลประโยชน์เล็กน้อยในธุรกิจของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้แก่เธอ และน้องชาย เฟร็ด ทรัมป์ที่ 3 หลังจากเฟร็ด ทรัมป์ จูเนียร์ พี่ชายคนโตของจำเลยทั้ง 3 ได้เสียชีวิตในปี 2524 ขณะที่ตอนนั้น แมรี ทรัมป์ อายุ 16 ปี

ทั้งนี้ แมรี ทรัมป์ เพิ่งเขียนหนังสือแฉทรัมป์ ชื่อ ‘Too Much and Never Enough : How My Family Created the world’s Most Dangerous Man’ (มากเกินไปและไม่เคยพอ : ครอบครัวของฉันสร้างชายอันตรายที่สุดในโลกได้อย่างไร) และกลายเป็นหนังสือขายดีระดับ Best Seller หลังวางจำหน่ายเมื่อ ก.ค.ที่ผ่านมา ในขณะที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นอา ของแมรี ทรัมป์ กำลังเร่งหาเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย.63


เผยรายงานจีนขยาย “ค่ายปรับทัศนคติซินเจียง” เพิ่มอีกกว่า 100 แห่ง

เผยรายงานจีนขยายเครือข่าย “ค่ายปรับทัศนคติ” สำหรับชาวอุยกูร์ เพิ่มอีกกว่า 100 แห่ง มากกว่าที่เคยประเมินไว้ 40% พบส่วนใหญ่มีระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ไม่ต่างจากเรือนจำ

เมื่อวันที่ 25 ก.ย. สถาบันนโยบายกลยุทธ์ออสเตรเลีย เปิดเผยรายงานที่ระบุว่า ปัจจุบันมีสถานที่ต้องสงสัยว่าเป็นค่ายปรับทัศนคติสำหรับชาวมุสลิมอุยกูร์ ในเขตปกครองตนเองซินเจียง จำนวน 380 แห่ง เพิ่มขึ้นจากที่เคยประเมินไว้ถึง 40% โดยที่ผ่านมา ทางการจีนระบุว่า ค่ายปรับทัศนคติ ไม่ใช่ค่ายกักกัน และเป็นสถานที่สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับชาวอุยกูร์ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการขจัดปัญหาความยากจนในพื้นที่ห่างไกล และกวาดล้างกลุ่มเคร่งศาสนาที่มีแนวคิดรุนแรงในพื้นที่ซินเจียง ขณะที่สหรัฐฯระบุว่า เป็นค่ายลับที่ทำการล้างสมองชาวมุสลิมอุยกูร์

นาธาน รูเซอร์ ผู้จัดทำรายงานเปิดเผยว่า รายงานฉบับนี้ได้ทำการระบุสถานที่ต้องสงสัยเป็นค่ายปรับทัศนคติเพิ่มขึ้นอีก 100 แห่งเทียบกับในการจัดทำรายงานครั้งก่อน ในจำนวนนี้มีกว่า 60 แห่งเปิดดำเนินการระหว่างเดือนกรกฎาคม 2562 ถึง กรกฎาคม 2563 และอีก 14 แห่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง กว่าครึ่งหนึ่งของค่ายที่เปิดดำเนินการเป็นสถานที่ที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดสูง เทียบได้กับการรักษาความปลอดภัยของเรือนจำ ซึ่งเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า ผู้ที่ถูกส่งเข้าไปในค่ายจะถูกกักตัวภายใต้ระบบการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด อย่างไรก็ตาม มีกว่า 70 แห่งที่มีการรื้อถอนรั้ว หรือกำแพงลงแล้ว

รายงานฉบับนี้ระบุว่า ได้จัดทำขึ้นโดยอาศัยการวิเคราะห์จากภาพถ่ายดาวเทียม การสัมภาษณ์บุคคล พยานรู้เห็น รายงานข่าวของสื่อมวลชน และเอกสารทางราชการ


ที่มา : BBC


คิม จอง อึน ขอโทษด้วยตนเอง จนท.เกาหลีใต้ถูกทหารเกาหลีเหนือระดมยิงดับสลด

คิม จอง อึน ขอโทษด้วยตนเอง ต่อปธน.มุน แจ อิน หลังเกิดเหตุจนท.เกาหลีใต้ถูกทหารเกาหลีเหนือระดมยิงจนดับสลด ชี้เหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้น ขณะที่ทางการเกาหลีเหนือยันไม่ได้เผาร่างแต่อย่างใด

เมื่อ 25 ก.ย.63 สำนักข่าว BBC และเว็บไซต์ ยอนฮัปสื่อในเกาหลีใต้ รายงาน คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ขอโทษต่อประธานาธิบดีมุน แจ อินแห่งเกาหลีใต้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น กรณีเกิดเหตุสะเทือนใจกับเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ สังกัดกรมประมง วัย 47 ปี ซึ่งคาดว่าพยายามแปรพักตร์ ได้ถูกทหารเกาหลีเหนือยิงเสียชีวิตและจุดไฟเผา หลังจากเขาสูญหายไปตั้งแต่วันจันทร์ที่ 20 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยคิม จอง อึน กล่าวด้วยความเสียใจว่า เหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้น

ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ แถลงว่า คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้ส่งจดหมายมาขอโทษกับประธานาธิบดีมุน แจ อิน แห่งเกาหลีใต้ว่า ตนรู้สึกเสียใจอย่างมากสำหรับเหตุการณ์ที่สร้างความน่าผิดหวังนี้ต่อประธานาธิบดีมุน แจ อิน และประชาชนชาวเกาหลีใต้

ด้านนายซู ฮุน ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ทางการเกาหลีเหนือยังได้มอบผลการสอบสวนในเหตุการณ์นี้ต่อเกาหลีใต้ ระบุว่า ทหารเกาหลีเหนือได้ยิงปืนกว่า 10 นัดปลิดชีพ เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้คนดังกล่าว หลังพบว่าได้แอบเข้ามาในน่านน้ำเกาหลีเหนือ ใกล้กับเกาะยอนพยอง รวมทั้ง

ไม่ยอมเปิดเผยแสดงตัวตน และพยายามจะหลบหนี

ขณะเดียวกัน ทางการเกาหลีเหนือยังยืนยันว่า ทหารเกาหลีเหนือไม่ได้จุดไฟเผาร่างเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้คนดังกล่าวหลังถูกยิงจนเสียชีวิตตามที่มีข่าวก่อนหน้านี้ และดูเหมือนได้จุดไฟเผาอุปกรณ์ในการลอยตัวใน

น้ำเท่านั้น ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามมาตรการฉุกเฉินป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19

ประท้วงเดือดทั่วสหรัฐฯ!

หลังศาลตัดสินไม่เอาผิดตำรวจคดีสังหาร “บรีออนนา เทย์เลอร์” ความเดือดดาลและการเดินขบวนประท้วงปะทุขึ้นอีกครั้งในหลายเมืองทั่วสหรัฐฯ เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านคำตัดสินของศาลที่ไม่เอาผิดกับตำรวจรัฐเคนตั๊กกี้ผู้ยิงสังหารสตรีอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน บรีออนนา เทย์เลอร์ (Breonna Taylor) ในบ้านของเธอเอง

ที่เมืองลุยซ์วิลล์ รัฐเคนตั๊กกี้ บ้านเกิดของเทย์เลอร์ ผู้ประท้วงพากันเดินขบวนไปตามท้องถนนก่อนที่จะลุกลามไปเป็นความรุนแรง เมื่อผู้ประท้วงปะทะกับตำรวจและมีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด และมีตำรวจได้รับบาดเจ็บสองคนเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

บรีออนนา เทย์เลอร์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในเมืองลุยซ์วิลล์ ถูกยิงใส่หลายนัดอย่างผิดตัวในบ้านของเธอเอง เมื่อตำรวจผิวขาวบุกจับตัวผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติดในชุมชนที่เธออาศัยอยู่เมื่อเดือนมีนาคม

อัยการของรัฐเคนตั๊กกี้ แดเนียล แคเมอรอน สังกัดพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นอัยการผิวดำคนแรกของรัฐนี้ กล่าวปกป้องการกระทำของตำรวจว่าอยู่ภายใต้มาตรการบุกจับตัวผู้ต้องสงสัยในที่พักโดยไม่มีการเคาะประตู หรือ no-knock warrants และทางตำรวจได้ตะโกนบอกล่วงหน้าแล้วก่อนที่จะบุกเข้าไปในห้องนั้น

อัยการแคเมอรอน กล่าวว่า ตำรวจทั้งสามคนลั่นไกเพื่อปกป้องตัวเอง เนื่องจากเพื่อนชายของเทย์เลอร์ได้ยิงใส่ตำรวจก่อนทำให้ตำรวจต้องยิงสวนออกไปหลายนัด ซึ่งทางนายเคนเน็ธ วอล์คเกอร์ เพื่อนชายคนดังกล่าวได้ให้การว่า เขาได้ยินเสียงเคาะประตูก่อนที่จะมีคนพังประตูเข้ามา จึงยิงใส่เพราะคิดว่าเป็นผู้บุกรุก

หมายค้นดังกล่าวเชื่อมโยงไปถึงผู้ต้องสงสัยค้ายาเสพติดซึ่งไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่น และไม่พบยาเสพติดในห้องของเทย์เลอร์แต่อย่างใด ต่อมาทางการเมืองลุยซ์วิลล์ได้สั่งยกเลิกหมายค้นแบบ no-knock warrants ดังกล่าว

ต่อมาหนึ่งในตำรวจสามคน คือ เบรตต์ แฮงกิสัน (Brett Hankison) ถูกไล่ออกจากการเป็นตำรวจเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทางการเมืองลุยซ์วิลล์ได้ตกลงประนีประนอมยอมความในคดีที่แม่ของเทย์เลอร์ยื่นฟ้องตำรวจสามรายนั้น โดยจะจ่ายเงิน 12 ล้านดอลลาร์ให้กับครอบครัวของเทย์เลอร์ พร้อมไปกับการปฏิรูปสำนักงานตำรวจของเมืองนี้เสียใหม่

และเมื่อวันพุธ คณะลูกขุนใหญ่มีคำตัดสินไม่เอาผิดตำรวจในกรณีสังหารบรีออนนา เทย์เลอร์ แต่ยังคงเอาผิดต่อตำรวจ เบรตต์ แฮงกิสัน ในข้อหากระทำการโดยปราศจากความระมัดระวังเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย 3 กระทง ซึ่งหมายถึงเเพื่อนบ้านของเทย์เลอร์ โดยคำตัดสินนี้อาจทำให้เขาถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี

หลังคำตัดสินดังกล่าว ผู้ประท้วงหลายร้อยคนเดินขบวนและตะโกนชื่อ บรีออนนา เทย์เลอร์ ตามท้องถนนในหลายเมืองใหญ่ รวมทั้งในกรุงวอชิงตัน นครฟิลาเดลเฟีย นครชิคาโก ลอส แอนเจลิส และนครลาสเวกัส เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่คนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน เช่นเดียวกับกรณีการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำที่ถูกตำรวจผิวขาวใช้เข่ากดที่คอจนเสียชีวิตที่นครมินนีแอโปลิส เมื่อเดือนพฤษภาคม

ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีคำแถลงว่า “ความยุติธรรมไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป” และทวีตข้อความในเวลาต่อมาว่า ขอสวดภาวนาให้กับตำรวจสองคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการกระสุนปืนจากการประท้วงที่ลุยซ์วิลล์เมื่อคืนวันพุธ

ส่วนนายโจ ไบเดน ตัวแทนพรรคเดโมแครตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบการทำงานของตำรวจละระบบยุติธรรมเสียใหม่ รวมทั้งยกเลิกหมายค้น no-knock warrants