ข่าว
จีนเซ็นสัญญาซื้อข้าว1.2ล้านตัน “นิวัฒน์ธำรง”เริ่มส่งให้เดือนหน้า

นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยหลังเป็นสักขีพยานในการลงนามสัญญาซื้อขายสินค้าเกษตรระหว่างไทยกับ จีน ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยนายสรศักดิ์ เรืองเครือ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กับบริษัท เบจิน เกรท นอร์ทเทิร์น ไวลด์เดอร์เนส ไรซ์ อินดัสทรี้ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เป่ยต้าฮวง กรุ๊ป ที่เป็นบริษัทของกรมการเกษตร มณฑลเฮยหลงเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า ในสัญญาจีทูจีกับจีนระบุซื้อขายข้าวขาว 5% และปลายข้าว ปริมาณรวม 1.2 ล้านตัน และมันสำปะหลังอีก 9 หมื่นตัน กำหนดส่งมอบภายใน 2 ปี ซึ่งจากการทำสัญญาดังกล่าวทำให้มีสัญญาการซื้อขายข้าวกับจีนล่าสุด 3 สัญญา รวม 3.2 ล้านตัน โดยจะอ้างอิงราคาตลาดโลกเป็นหลัก โดยจะสามารถส่งมอบได้เดือนละ 5 หมื่นตัน ในล็อตแรกคาดว่าจะส่งมอบได้ภายในเดือนธ.ค.นี้ และจากการลงนามในครั้งนี้จะทำให้ข้าวในสต๊อกรัฐบาลเหลือประมาณ 7 ล้านตัน ไม่รวมปลายข้าวและข้าวในสต๊อกของโครงการรับจำนำในปีปัจจุบัน

นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์กล่าวถึงการระบายข้าวด้วยการประมูลผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า แห่งประเทศไทย (เอเฟต) ครั้งที่ 2/2556 ว่า เตรียมเปิดให้มีการประมูลในวันที่ 25 พ.ย.นี้ เป็นข้าว 131,849.865 ตัน แยกเป็นข้าวขาว 5% จำนวน 114,425.052 ตัน ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ปริมาณ 17,424.813 ตัน กำหนดระยะเวลาส่งมอบระหว่างเดือนม.ค.-มี.ค.2557 ซึ่งมั่นใจว่าจะมีผู้สนใจมาร่วมประมูลมากกว่า 10 ราย จากครั้งแรกที่มีเพียง 5 รายเท่านั้น รวมทั้งปริมาณน่าจะมากกว่าเดิมที่ประมูลไปได้ 14,000 ตัน จากที่เปิดประมูลไว้กว่า 140,000 ตัน

"เพื่อไทย" ออกแถลงการณ์ 9 ข้อ ชี้เหตุไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ

คำแถลงของพรรคเพื่อไทย

ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย กรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยกเลิกสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และให้มีวุฒิสภาจำนวน 200 คน ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 นั้น

พรรคเพื่อไทยขอเรียนพี่น้องประชาชนทุกท่าน ดังนี้

1. การที่สมาชิกรัฐสภาประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 312 คน ร่วมเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องดังกล่าว ก็เพื่อให้เป็นไปตามหลักประชาธิปไตย ที่ถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ดังนั้น สมาชิกรัฐสภาทั้งหมดย่อมต้องมาจากการเลือกตั้งของปวงชน ดังที่ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยทั้งหลายปฏิบัติกัน และสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งถือเป็นฉบับประชาชน

2. การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า เป็นอำนาจของรัฐสภา โดยมีข้อห้ามแก้ไขอยู่ 2 ข้อ เท่านั้น คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ ซึ่งการแก้ไขเพิ่มเติมที่มาของสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว ไม่เกี่ยวข้องกับข้อห้ามทั้ง 2 ข้อ แต่อย่างใด ทั้งศาลรัฐธรรมนูญเองก็เคยวินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัย ที่ 18-22/2555 ว่า “รัฐสภาจะใช้อำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราก็เป็นความเหมาะสม และเป็นอำนาจของรัฐสภาที่จะดำเนินการดังกล่าวนี้ได้ ซึ่งจะเป็นการสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 291”

3. การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องในเรื่องดังกล่าว โดยอาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 เป็นการกระทำที่ถือได้ว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งอยู่ในข่ายที่จะถูกร้องขอให้ถอดถอนหรือถูกดำเนินคดีอาญาได้ เพราะมาตรา 68 เป็นกรณีเกี่ยวกับการที่บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้ แต่การตรากฎหมาย ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการที่รัฐสภากระทำไปตามอำนาจหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 บัญญัติ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยรับรองไว้เองอีกโสตหนึ่งดังที่กล่าวมาข้างต้น จึงไม่เข้าเงื่อนไขที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้ได้

4. ศาลรัฐธรรมนูญอ้างหลักนิติธรรมในคำวินิจฉัยในลักษณะที่ต้องการตีความขยายความเพิ่มอำนาจให้ตนเองมากกว่าที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เช่นที่ได้เคยทำมาแล้วในคำวินิจฉัย ที่ 18-22/2555 ด้วยการอ้างว่า “ความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ... ถือเป็นเจตนารมณ์หลักของรัฐธรรมนูญว่าจะต้องยึดถือไว้เป็นสำคัญยิ่งกว่าเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ” คำวินิจฉัยทั้ง 2 ครั้งในปี 2555 และ 2556 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ตัวแทนของปวงชนที่รับมอบอำนาจมาจากปวงชนเพื่อมาแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีที่มาที่ชอบธรรม เป็นประชาธิปไตย และเป็นธรรม ไม่ว่าจะแก้ทั้งฉบับหรือรายมาตราไม่อาจกระทำได้เลย เพราะถูกขัดขวางโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่กล่าวมา ด้วยการตีความรัฐธรรมนูญขยายอำนาจของตนเอง ไม่ยอมผูกพันตามตัวอักษร และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

5. การอ้างหลักนิติธรรม เป็นการกล่าวอ้างอย่างลอย ๆ มิได้ระบุให้ชัดเจนว่าตามหลักสากลเขาเป็นเช่นไร การขัดกันแห่งผลประโยชน์ รัฐธรรมนูญ มาตรา 265 ถึง 269 บัญญัติไว้ชัดเจนแล้วว่ามีความหมายอย่างไร แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็เพิ่มเติมขึ้นใหม่ โดยไม่ได้ดูที่องค์กรของตนเองเลยว่า ได้กระทำการขัดต่อหลักที่ตนอ้างหรือไม่ เช่น ได้ตัดสินด้วยความเป็นอิสระ และเป็นกลาง เป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ และก่อให้เกิดความสงบสุขแห่งราชอาณาจักร ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 197 และ มาตรา 201 บัญญัติหรือไม่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ตุลาการ 3 คน เคยเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมาก่อน และ 1 ใน 3 คน เคยถูกคัดค้านประเด็นนี้ จนต้องถอนตัวในการพิจารณาคดีในคำวินิจฉัยที่ 18-22/2555 มาแล้ว แต่คราวนี้ไม่ถอนตัว และอีก 1 คน เคยแสดงความเห็นไว้ชัดเจนว่า การลงโทษบุคคลย้อนหลังกระทำได้ถ้าไม่ใช่การลงโทษทางอาญา อันเป็นเหตุให้มีการยุบพรรคไทยรักไทย และลงโทษตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดเป็นเวลา 5 ปี โดยผู้ถูกตัดสิทธิไม่ได้มีโอกาสรับทราบข้อหาและต่อสู้ชี้แจงแต่อย่างใด ดังนั้น หากตุลาการทั้ง 3หรือ 4 คนดังกล่าวต้องถอนตัว ผลของคำวินิจฉัยจะกลับเป็นตรงกันข้าม

6. การที่ศาลรัฐธรรมนูญอ้างว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ขัดต่อมาตราต่าง ๆในรัฐธรรมนูญ นั้น นับว่าเป็นอันตรายที่สุด เพราะเป็นการใช้อำนาจเหนือรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง และถ้าอ้างเช่นนี้ การที่มาตรา 309 ขัดต่อมาตรา 3 และมาตรา 6 จะอธิบายกันต่อไปอย่างไร เนื่องจาก มาตรา 3 กำหนดหลักนิติธรรม มาตรา 6 กำหนดหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐ ธรรมนูญ ในขณะที่ ประกาศ คำสั่งของคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับประกาศ คำสั่งดังกล่าว ให้ถือว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญทั้งหมด แต่กฎหมายที่ออกโดยสภา และพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย อาจถูกโต้แย้งว่าขัดรัฐธรรมนูญได้หมด เช่นนี้เป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักนิติธรรมอย่างชัดแจ้งที่สุด

7. การก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า มีการกระทำที่ผิดข้อบังคับการประชุมรัฐสภาหรือไม่ เป็นการกระทำที่แทรกแซงอำนาจนิติบัญญัติโดยชัดแจ้ง ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจในมาตรา 3 และมาตรา 89 ที่บัญญัติให้ “ประธานรัฐสภา ....ดำเนินกิจการของรัฐสภาในกรณีประชุมร่วมกันให้เป็นตามข้อบังคับ” ซึ่งข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 117 บัญญัติว่า “ถ้ามีปัญหาที่จะต้องตีความข้อบังคับนี้ ให้เป็นอำนาจของรัฐสภาที่จะวินิจฉัย ... ให้ถือว่าคำวินิจฉัยนั้นเด็ดขาด” กับข้อ 45 ที่ให้ถือว่าคำวินิจฉัยของประธานถือเป็นเด็ดขาด ถ้ามีการประท้วงว่ามีการฝ่าฝืนข้อบังคับ ยิ่งไปกว่านั้น ข้อ 116 ยังให้อำนาจที่ประชุมรัฐสภามีมติให้งดใช้ข้อบังคับข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ หากศาลรัฐธรรมนูญก้าวล่วงเช่นนี้ได้ ก็อาจมีการร้องกันว่าการฝ่าฝืนข้อบังคับทั้งหลายเป็นการกระทำผิดรัฐธรรมนูญ สภาก็คงปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เลย

8. เมื่อรัฐสภาได้ลงมติในวาระที่ 3 และนายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ว่าจะทรงเห็นชอบด้วยหรือไม่ จนกว่าจะพ้นเก้าสิบวัน และมิได้พระราชทานคืนมา การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องและวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวโดยไม่มีอำนาจ ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นการกระทบกระเทือนต่อการใช้พระราชอำนาจ และการกระทำในพระปรมาภิไธย ทั้งนี้ เพราะประการแรก ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเองหรือไม่ ประการที่สองเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีการตรวจสอบว่า ร่างพระราชบัญญัติใดมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่แล้วนั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 154 ให้ตรวจสอบได้ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ หากมีการทูลเกล้าฯแล้วย่อมจะอยู่ในพระบรมราชวินิจฉัย ไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

9. การทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ถ้ารัฐธรรมนูญบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบได้ก็ย่อมเป็นไปตามนั้น แต่หากไม่ได้บัญญัติไว้ ย่อมเป็นเรื่องเกี่ยวกับวงงานหรืออำนาจหน้าที่ของรัฐสภา และเป็นอำนาจของรัฐสภาโดยแท้ ดังเช่นที่รัฐธรรมนูญในอดีตทุกฉบับก่อนปี 2540

วางหลักไว้ การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวจะดีหรือไม่ ถูกใจหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ ย่อมจะถูกตัดสินโดยประชาชนในการเลือกตั้ง และนี่ถือเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชน ศาลจะก้าวล่วงเข้าไปใช้อำนาจนี้แทนไม่ได้ มิเช่นนั้นก็จะเป็นการยึดอำนาจของประชาชนไปใช้เช่นเดียวกับการรัฐประหาร

“เทพเทือก” ลั่น 24 พ.ย. คนครบล้านเคลื่อนม็อบ

เมื่อวันที่ 22 พ.ย. เวลา 21.00 น. ที่อนุสาวรีประชาธิปไตย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส. สุราษฎร์ธานีพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวบนเวทีราชดำเนิน ถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ระบุว่าหากมีความรุนแรงเกิดขึ้นในการชุมนุม ตนและนายทุนผู้ที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ ก็ขอให้เข้ามาจับกุมเลย และตนมีนายทุนมีที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นผู้บริจาคเงินสนับสนุนการชุมนุมเป็นล้านคนตั้งแต่เด็กยันคนแก่ และที่บอกว่าจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคอยติดตามตนในวันที่ 24 พ.ย.นั้น ข้อเท็จจริงไม่สามารถทำได้เพราะตนไม่ได้ทำผิดอะไร และการชุมนุมก็เป็นไปโดยการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ นี้ก็ถือว่าเป็นการข่มขู่

หากแน่จริงก็ให้ ร.ต.อ.เฉลิม แต่งเครื่องแบบมาประกบตนเลย จะได้เจอเท้าประชาชนที่มาร่วมชุมนุมหนึ่งล้านคนที่นี้ ส่วนที่จะตั้งทนายความฟ้องร้องตนที่กล่าวพาดพิง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าต้องการจะเป็นประธานาธิบดีนั้น เรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ฟ้องตนและศาลได้ยกฟ้องไปแล้ว

แต่ทำให้รู้ว่าคนพวกนี้หากศาลตัดสินเป็นคุณก็จะยอมรับแต่ถ้าหากเป็นโทษก็จะไม่ยอมรับ

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ขณะนี้นักวิชาการก็ได้กล่าวโจมตีรัฐบาล ที่มีพฤติกรรมปฏิเสธไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับรัฐบาล ที่มาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ การไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เท่ากับว่าไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญด้วย ดังนั้นเท่ากับว่ารัฐบาลไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลอีก ความเป็นรัฐบาลถือว่าหมดสิ้นแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของประชาชนทั้งประเทศที่จะต้องลุกขึ้นปกป้องรัฐธรรมนูญ

และขอบอกให้ข้าราชการทั่วประเทศทราบว่ารัฐบาลนี้ ที่ลุกขึ้นต่อต้านรัฐธรรมนูญไม่ใช้รัฐบาลที่ชอบด้วยต่อไปคำสั่งของรัฐบาลชุมนี้จึงไม่ใช้คำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย อย่ารอให้ถึงวันที่ 24พ.ย. ขอให้มาร่วมกับประชาชนจัดการกับรัฐบาลตั้งแต่วันนี้

นอกจากนี้ นายสุเทพ ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังมีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ค้างวาระ 3 อยู่ในรัฐสภา เขาจะหยิบขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ และจะสามารถเขียนรัฐธรรมนูญได้ตามอำเภอใจ ถือเป็นหนึ่งความเลวร้ายของรัฐบาลชุดนี้ เราจึงทนไม่ไหวแล้ว เป็นหน้าที่ของประชาชนต้องลุกขึ้นมาร่วมแรงร่วมใจกันกวาดล้างระบอบทักษิณ ให้สิ้นไปจากแผ่นดินไทย คือวันที่ 24 พ.ย. เมื่อประชาชนมารวมกันเป็นล้านคนแล้ว วันนั้นเราจะได้ยกระดับการต่อสู้ไปอีกขั้นหนึ่ง และตั้งแต่มีการชุมนุมที่สามเสน เราเคลื่อนย้ายกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่อยากบอกให้ ร.ต.อ.เฉลิม ทราบว่า ในวันที่ 25 พ.ย. เราจะลุกขึ้นจากตรงนี้แล้วเดินออกไป 12 เส้นทาง แต่ขอยังไม่บอกว่าเป็นเส้นทางไหนบ้าง ขอยืนยันว่าจะเป็นการเดินทางโดยสงบไม่มีความรุนแรงแต่อย่างใด