20 มิถุนายน 2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าการประกอบพิธีฮัจญ์ ในนครเมกกะ ที่ซาอุดีอาระเบีย เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน สิ้นสุดลงในวันที่ 19 มิถุนายน 2024 โดยผู้แสวงบุญชาวมุสลิมได้เริ่มทำพิธีอำลาโดยการเดินเวียนรอบหินกาบะห์ที่มัสยิดใหญ่ในนครเมกกะให้ครบ 7 รอบแล้ว ในปีนี้มีผู้แสวงบุญชาวมุสลิมมากกว่า 1.8 ล้านคน ขณะที่อุณหภูมิในนครเมกกะระหว่างพิธีฮัจญ์ปีนี้สูงสุด 52 องศาเซลเซียส การเสียชีวิตส่วนใหญ่จึงเกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดหรือฝูงชนที่หนาแน่นมากเกินไป
ด้านเจ้าหน้าที่อียิปต์ที่ประจำการในซาอุดีอาระเบีย ได้รับรายงานว่าศาสนิกชนชาวอียิปต์ที่เสียชีวิตในพิธีฮัจญ์เพิ่มจากกว่า 300 รายเป็นอย่างน้อย 600 รายในช่วงเวลาเพียง 1 วัน และยังมีผู้สูญหายอีก 1,400 ราย
นอกจากอียิปต์แล้วยังมีผู้เสียชีวิตชาวจอร์แดน ,อินโดนีเซีย ,อิหร่าน และชาวเคิร์ดจากเคอร์ดิสถานอิรัก ขณะเดียวกันมีรายงานผู้แสวงบุญชาวอินเดียเสียชีวิตด้วย 68 ราย ทั้งนี้ เมื่อปี 2566 มีผู้เสียชีวิตในช่วงพิธีฮัจญ์กว่า 200 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวอินโดนีเซีย
วันที่ 20 มิ.ย.67 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สำรวจราคาไข่ไก่และผักสดชนิดต่างๆ ในตลาดค้าปลีกเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ พบว่าตอนนี้มีพืชผักหลายชนิดยังคงมีการปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทั้งพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอยในตลาด ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้าวของทุกอย่างแพงขึ้น ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ทั้งคนขายและคนซื้อ รวมถึงคนซื้อก็เริ่มลดน้อยลงด้วยและเลือกซื้อเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น
ทั้งนี้ จากการสำรวจแผงผัก พบว่ายังคงมีการจำหน่ายในราคาคงเดิมและไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใด โดยบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ซื้อผักนำมาขายต่อ ต้องปรับกลยุทธ์การขาย เพื่อไม่ให้เสียลูกค้า โดยจะขายในราคาเดิม แต่จำนวนปริมาณจะลดน้อยลง อาทิ ถั่วฝักยาว จากแต่ก่อนเพียงไม่กี่สิบบาท ปัจจุบันราคาซื้อต้นทุนสูงถึงกิโลกรัมละ 90 บาทจากที่ก่อนหน้านี้แบ่งขายเฉลี่ยประมาณ 10-15 ฝัก 10 บาท ต้องนำแบ่งเหลือ 4-5 ฝัก 10 บาท ส่วนพืชผักชนิดอื่นๆ ก็ยังคงมีการปรับราคาสูงขึ้นเช่นเดียวกัน และคาดว่าน่าจะมีการปรับราคาสูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ต่างจากเนื้อไก่และไข่ไก่
โดยไข่ไก่ตอนนี้ก็มีการปรับขึ้นราคาหน้าฟาร์มด้วย ปรับขึ้นราคาแผงละ 6 บาทถือว่าเป็นราคาที่สูง ซึ่งปัจจุบันมีราคาขายหน้าแผงอยู่ที่ ไข่ไก่เบอร์ 0 ราคาแผงละ 160 บาท, ไข่ไก่เบอร์ 1 ราคาแผงละ 150 บาท, ไข่ไก่เบอร์ 2 ราคาแผงละ 140 บาท, ไข่ไก่เบอร์ 3 ราคาแผงละ 130 บาท และไข่ไก่เบอร์ 4 ราคาแผงละ 120 บาท ส่วนไข่เป็ดมี 2 ราคา คือแผงละ 150 กับ 160 บาทต่อแผง
นางทองลอ กะเชื่อมรัมย์ เจ้าของร้านทองณภัสไข่ไก่สด อยู่ในตลาดค้าปลีกเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ บอกว่า ยึดอาชีพขายไข่มานานร่วม 30 ปี ตั้งแต่ปี 2540 ช่วงยุคไข้หวัดนกระบาด ก็ยังไม่เคยพบเคยเห็นว่าไข่ไก่จะมีราคาแพงมากถึงขนาดนี้ โดยทางผู้ค้าส่งแจ้งมาว่า ไข่ไก่ก็มีการปรับขึ้นราคาหน้าฟาร์มด้วย โดยจะมีราคาสูงขึ้นอีกเฉลี่ยแผงละ 6 บาท ซึ่งตั้งแต่ขายไข่มาร่วมจะ 30 ปี ก็ไม่เคบพบเคยเห็นว่า ไข่จะมีการปรับราคาสูงขึ้นถึง 6 บาทต่อแผง เคยเห็นอย่างมากก็แค่ 3 บาทต่อแผงเท่านั้น ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะมีการปรับราคาขึ้นในวันไหน แต่ทางผู้ค้าส่งได้แจ้งราคาขาย มายังพวกตนซึ่งเป็นผู้ค้าปลีก ว่าจะมีการปรับราคาไข่ไก่ขึ้นอีก
นางทองลอ บอกด้วยว่า ส่วนลูกค้าก็ยังคงนิยมซื้อไข่ไก่ ติดครัวไว้ประกอบอาหารรับประทานเช่นเดิม แต่เริ่มจะมีแนวโน้มการซื้อจะลดลงด้วย เนื่องจากรายได้ไม่สอดคล้องกับรายจ่าย จึงทำให้ไม่มีเงินที่จะจับจ่ายได้มากเหมือนก่อนหน้านี้ เพราะในช่วงนี้ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่าง มีราคาสูงขึ้นเรียกว่าแพงทุกอย่าง แม้กระทั่งไข่ไก่และไข่เป็ด ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักใช้ประกอบอาหารของทุกบ้านยังมีราคาแพง นอกจากส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภคแล้ว พ่อค้าแม่ค้าก็เดือดร้อนเช่นเดียวกัน เพราะจากที่เคยลงทุนซื้อไข่ไก่และไข่เป็ดมาขาย ต่อวัน 100 แผง เฉลี่ยราคาไม่ถึง 10,000 บาท แต่ทุกวันนี้หากซื้อไข่มาขาย 100 แผง จะต้องลงทุนถึง 15,000 บาท ทำให้ต้องหาเงินทุนมาเพิ่ม และหากเป็นไปได้ขอให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหา เพราะไข่ถือเป็นเมนูหลักที่แทบทุกบ้านต้องมีติดไว้ในครัวเรือน
ขณะที่นางเย็น นะรารัมย์ เจ้าของแผงเย็นของชำ ซึ่งเปิดแผงขายทั้งผักสดและอาหารแห้งในตลาดค้าปลีกเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ บอกว่าตอนนี้มีพืชผักหลายชนิด ยังคงมีการปรับราคาต้นทุนสูงขึ้นกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง อาทิ ถั่วฝักยากกิโลกรัมละ 90 บาท, มะเขือเทศสีดาลูกเล็ก กิโลกรัมละ 100 บาท, ลูกท้อกิโลกรัมละ 100 บาท โดยมีการปรับราคาสูงขึ้นมาหลายเดือนแล้วและคาดว่าน่าจะยังมีการปรับราคาสูงขึ้นอีก ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากภาคขนส่งที่น้ำมันได้มีการปรับราคาขึ้นอย่างเรื่อยๆ จึงทำให้สินค้าอุปโภค-บริโภค และที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องปรับราคาสูงขึ้นตามไปด้วย
12 มิถุนายน 67 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.มักกะสัน ได้ควบคุมตัวนายนรเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ อายุ 52 ปี ชาวจ.อุทัยธานี ญาติสนิทนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย นายกิจจา จุลมุสิก อายุ 55 ปี ชาวจ.อุทัยธานี น.ส.วาลิส ทัศนเอกจิต อายุ 36 ปี ชาวจ.นครปฐม และ น.ส.อัญชลีพร เหมือนแก้ว อายุ 41 ปี ชาว กทม. ผู้ต้องหาคดียาเพติด มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลครั้งแรก
กรณีเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 67 วลากลางคืน เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.1 บช.น.ได้เข้าตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด ได้ภายในห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่ง ใน กทม.พร้อมของกลางยาไอซ์ชนิดเกล็ด บรรจุในถุงใสซิปล็อค 6 ถุง รวมน้ำหนัก 5.4 กรัม และอาวุธปืน GLOCK 30 ขนาด.45 พร้อมกระสุน 6 นัด ของนายนรเศรษฐ์ ส่งพนักงานสอบสวน สน.มักกะสันแจ้งข้อหาดำเนินคดีข้อหา ร่วมกันครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาไอซ์) โดยไม่ได้รับอนุญาต และแจ้งข้อหาเพิ่มนายนรเศรษฐ์ ความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร
ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนต้องสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีกหลายปาก รอผลการตรวจประวัติอาชญากรผู้ต้องหารอผลการตรวจพิสูจน์ยาเสพติด และอาวุธปืนของกลาง และอื่นๆ จึงขอฝากขังผู้ต้องหาทั้งหมดไว้เป็นเวลา 12 วันตั้งแต่วันที่12 -23มิถุนายนนี้
ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้
ต่อมาญาติผู้ต้องหาทั้งหมดได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างสอบสวน ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ต้องหาทั้งสี่ มีประกันตัวไป โดยนายนรเศรษฐ์ไทยเศรษฐ ศาลตีราคาประกัน 55,000 บาท นายกิจจา จุลละมุสิก ศาลตีราคาประกัน 2 หมื่นบาท น.ส.วาริศ ทัศนจิต ศาลตีราคาประกัน 2 หมื่นบาท และน.ส.อัญชลี เหมือนแก้ว ศาลตีราคา ประกัน 55,000 บาท โดยศาลไม่กำหนดเงื่อนไขใดๆ
วันที่ 20 มิถุนายน 2567 เวลา 15.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. , พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง โฆษก ตร. , พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.รน. และ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. ร่วมแถลงความคืบหน้าคดีการสืบสวนสอบสวนกรณีการตรวจยึดเรือบรรทุกน้ำมันของกลางที่หลบหนีไป
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า การไปดำเนินการทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ได้เข้าไปตรวจสอบ แม้กระทั่งกองปราบปราม และ ปปป. เราจะทำงานได้ดีหรือไม่ดีแล้วแต่ใครจะคิดแต่ทุกอย่างที่ทำเพื่อรักษาองค์กรให้ไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย เรือลำใหญ่ไม่สามารถดูแลของกลางได้ มีเสียงติฉินนินทาไม่เชื่อถือ แต่ขอบอกว่าทุกอย่างเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นตามหน้าข่าวที่ได้ให้ไป จะไม่บิดเบือนข้อมูลให้เกิดความไขว้เขว จะทำอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงการยึดเรือน้ำมันที่ได้มาขนาดไหนก็ให้ว่าไปตามข้อเท็จจริง
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า 3 เรื่องที่ทำ มีดังนี้ 1.การตรวจสอบเจ้าหน้าที่ที่บกพร่องในการปล่อยปละละเลยทำให้เสื่อมเสียต่อทางราชการ รวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ โดยจะนำทุกสำนวนมารวมเป็นสำนวนเดียว และการตรวจสอบแชตที่หลุดออกมา ยืนยันจะทำอย่างตรงไปตรงมา เพื่อรักษาองค์กรเอาไว้ จะดำเนินคดีไม่ว่ายศเล็กหรือยศใหญ่ จะดำเนินคดีโดยไม่มีความลำเอียง ขอให้เกิดความเชื่อมั่นในส่วนนี้ 2.การนำเรือของกลางกลับมา ด้วยการประสานงานจากภาคีเครือข่าย 3.การตรวจสอบทั้งหมดจะรวมสำนวนมาไว้เป็นสำนวนเดียว
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ส่วนกรณีแชตหลุดที่ปรากฏในสื่อมวลชน จากการตรวจสอบ เชื่อได้ว่า แชตดังกล่าวเป็นแชตจริง โดยเป็นการสนทนาระหว่างข้าราชการตำรวจ 4-6 คน ซึ่งหนึ่งในนั้น เป็นทหารเรือ เพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันกับตัวเอง ก่อนที่จะมีการโอนย้ายไปเป็นตำรวจน้ำ ส่วนที่เหลืออีก 5 คน แบ่งเป็น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง 2 คน, รองผู้บังคับการสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง 2 คน, ผู้กำกับการอีก 1 คน พร้อมยืนยันตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้อยู่แล้ว
"ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยตัวเองในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน อยากเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอหน่วยงานอื่นเข้ามาตรวจสอบเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและข้าราชการตำรวจที่ถูกกล่าวหา เพื่อพิสูจน์ความจริง ซึ่งส่วนนี้จะเป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะพิจารณาว่าคณะกรรมการชุดใดจะมีความเหมาะสม"พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าว
ขณะที่ พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ กล่าวว่า เรือของกลางหายทางกองบังคับการตำรวจน้ำ กองบัญชาการสอบสวนกลางเสียใจที่เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ควรเกิดขึ้น ความบกพร่องในกรณีจะเยียวยาได้ดีที่สุดคือการตามเรือของกลาง น้ำมันในเรือ และผู้ต้องหากลับมาให้ได้ ทั้งนี้ขอไล่ไทม์ไลน์ ดังนี้เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ตามที่ได้มีการจับกุมเรือ 5 ลำ ต่อมาวันที่ 12 มิถุนายน เรือได้สูญหายจากท่าที่จอด จากการตรวจสอบเบื้องต้นได้สอบสวนปากคำผู้เกี่ยวข้องมีผู้เข้าข่ายความผิดบกพร่องการปฏิบัติหน้าที่จำนวน 3 ราย ซึ่งผลสรุปจะนำเสนอกองบัญชาการสอบสวนกลางเพื่อดำเนินการต่อไป
พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ กล่าวว่า ในวันที่ 12 มิถุนายนได้รับรายงานเวลา 10.00 น. ได้นำเรียน ผอ.ศปนม.ตร.และ ผบช.ก. ได้สั่งการให้ติดตามเรือและผู้ต้องหากลับมาให้ได้ ต่อมาวันที่ 13 มิถุนายน ได้ประสานไปยังประเทศเพื่อนบ้านโดยได้ประสานไปยังตำรวจและทหารในพื้นที่ประเทศกัมพูชา และได้มีการประสานงานในทางลับ โดยปล่อยข่าวและออกข่าวต่าง ๆ ทำให้กลุ่มเหล่านี้รับทราบข้อมูล ตนยืนยันพร้อมแสดงความบริสุทธิ์ใจในการติดตามเรือทั้ง 3 ลำ กลับมา ทำให้กลุ่มคนร้ายรับทราบ และในวันที่ 17 มิถุนายน จึงสามารถจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาไว้ได้ เมื่อจับกุมผู้ต้องหาและเรือกลับมาได้ น้ำมันของกลางเหลืออยู่ 18,000 ลิตร หลังจากจับกุมมีแชตหลุด ผมขอให้ความเป็นธรรมกับตนเอง ซึ่งมีสื่อบางสื่อไปลงว่าปีนั้นปีนี้ผู้การรับเงินจำนวนเท่านี้ ซึ่งเอกสารที่เผยแพร่ไม่ใช่ปีที่ตัวเองรับราชการอยู่ในตำรวจน้ำ ซึ่งเอกสารเหล่านี้เป็นเอกสารที่เคยยึดไว้ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และนำมาเป็นเรื่องเดียวกันจึงขอความเป็นธรรมในส่วนนี้ด้วย
ส่วนเรื่องโพยส่วยที่มีการออกมาเปิดเผยข้อมูลรายละเอียดการจ่ายเงิน ให้กับ 10 หน่วยงาน ซึ่งหนึ่งในนั้นปรากฏ ข้อมูลว่ามีการจ่ายเงินให้กับผู้บังคับการตำรวจน้ำ 1 ล้านบาท พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ กล่าวว่า เอกสารที่พบเป็นเอกสารเก่าที่เคยมีการตรวจยึดได้มานานแล้วเมื่อปี พ.ศ.2555 ที่มีการตรวจยึดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนจะจริงหรือไม่ ตัวเองไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดเนื่องจากเป็นหน่วยงานของตัวเองแต่ยินดีให้หน่วยงานอื่นเข้ามาตรวจสอบ ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเนื่องจากตัวเองเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง
ขณะที่ พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า คดีแรกเรือน้ำมันเถื่อนอยู่ในความรับผิดชอบของ บก.ปอศ. และอัยการสูงสุดเนื่องจากเป็นคดีนอกราชอาณาจักร กองบังคับการปราบปรามมีหน้าที่ในการสืบสวนขยายผลและนำพยานหลักฐานไปสนับสนุนพยานหลักฐานในคดีที่ บก.ปอศ. รับผิดชอบอยู่ ส่วนคดีที่ 2 เกี่ยวกับเรื่องเรือหาย ทางกองบังคับการปราบปรามเป็นผู้ควบคุม วันนี้ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย ไปฝากขังเรียบร้อยแล้ว ส่วนการขยายผลผู้ต้องหาที่นำเรือทั้ง 3 ลำและน้ำมันไปขายเพื่อหาคนที่เกี่ยวข้องว่ามีใครบ้าง ขณะนี้ฝ่ายสืบสวนกองปราบกำลังเร่งรวบรวมข้อมูล เพื่อนำเสนอศาลออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งเป็นผู้สั่งการให้นำเรือ เบื้องต้นมีประมาณ 3-4 คน ที่เข้าข่ายกระทำความผิดแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ ส่วนจะมีนาย จ. ด้วยหรือไม่ ขอไม่ระบุตัวบุคคลว่าเป็นใคร
20 มิถุนายน 2567 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่าชาวมุสลิมทั่วบังกลาเทศเชือดสัตว์พลีทาน 10,408,918 ตัวในช่วงเทศกาลอีดิลอัฎฮา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัวและแพะ ตัวเลขดังกล่าวคิดเป็นจำนวนมากกว่าปีที่แล้วที่มีการเชือดสัตว์พลีทาน 10.1 ล้านตัวทั่วประเทศ โดยกรุงธากามีการเชือดสัตว์พลีทานมากที่สุดในปีนี้ จากจำนวนสัตว์ที่ถูกนำมาพลีทานในปีนี้ แบ่งเป็นวัว 4,766,859 ตัว ควาย 112,918 ตัว แพะ 5,056,719 ตัว แกะ 471,149 ตัว และสัตว์อื่นๆ อีก 1,273 ตัว
เทศกาลอีดิลอัฎฮาตรงกับวันที่ 10 ของเดือนที่ 12 หรือเดือนสุดท้ายตามปฏิทินจันทรคติของอิสลาม หลังจากพิธีฮัจญ์อันศักดิ์สิทธิ์ โดยจะมีขึ้นหลังจากผ่านช่วงเทศกาลวันอีฎิลฟิตริ ราวสองเดือนและ 10 วัน ซึ่งเป็นอีกเทศกาลทางศาสนาที่สำคัญอันเป็นสัญญาณสิ้นสุดของเดือนรอมฎอน
หลังจากละหมาดเสร็จสิ้น ชาวมุสลิมในบังกลาเทศจะนำสัตว์หลายชนิด เช่น แกะ วัว แพะ และอูฐ มาเชือดพลีทานในนามของพระองค์อัลลอฮ์ พระเจ้าตามความเชื่อของชาวมุสลิม โดยชาวมุสลิมที่มีฐานะทางการเงินจะมีส่วนร่วมในพิธีดังกล่าวเพื่อนำเนื้อสัตว์มาแจกจ่ายให้กับครอบครัวและคนยากจน
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012