หลายรัฐในสหรัฐฯ เผชิญพายุทอร์นาโด ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ศพ ส่วนประชาชนอีก 130,000 ครัวเรือนไร้ไฟฟ้าใช้...
วันที่ 28 ก.ค. ความรุนแรงของพายุทอร์นาโด ที่พัดผ่านพื้นที่แถบหุบเขารัฐโอไอโอ และทางตอนกลางของมหาสมุทรแอตแลนติก ฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 2 ศพ ประชาชนอีกกว่า 130,000 ครัวเรือน ไม่มีไฟฟ้าใช้ นอกจากนี้ยังกระทบอีกกว่า 900 เที่ยวบินที่ต้องยกเลิกการเดินทาง
ด้านกรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งว่า ลมพายุพัดผ่านบางส่วนของรัฐโอไอโอ เคนตักกี เพนซิลเวเนีย และโอกลาโฮมา ด้วยความเร็ว 113 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก่อนมาอ่อนกำลังที่เมืองเอลมิรา รัฐนิวยอร์ก โดยรัฐเพนซิลเวเนียได้รับผลกระทบมากที่สุด ประชาชน 85,000 ถูกตัดขาดไฟฟ้าตั้งแต่ช่วงเช้าวันศุกร์ ตามเวลาท้อถิ่น ส่วนที่รัฐนิวยอร์ก ไร้ไฟฟ้า 34,000 ครัวเรือน และอีก 13,500 ครัวเรือนในโอไฮโอ ก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน
อนึ่ง รายงานสภาพอากาศระบุว่า พายุลูกดังกล่าว ก่อตัวจากบริเวณหุบเขาโอไฮโอ และเคลื่อนตัวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้มีลมกรรโชกแรง เกิดพายุลูกเห็บ และเพิ่มกำลังเป็นทอร์นาโด."ชูวิทย์" โพสต์เฟซบุ๊กร่ายยาว อัดเวรกรรมประเทศไทย นักการเมืองใหญ่ใช้อำนาจโยกย้ายลูกหลานตัวเองจากทหารมาเป็นตำรวจ มาคุมพื้นที่ทองคำ...
เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หน.พรรครักประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในชื่อ ชูวิทย์ I'm No.5 ความว่า
วันนี้ได้ข่าวว่ามีการย้ายลูกนักการเมืองใหญ่ โดยแต่เดิมถูกให้ออกจากราชการเพราะพัวพันคดียิงตำรวจในผับ ต่อมาหนีคดีและมอบตัวติดคุกสู้คดีจนหลุด เมื่อพ่อได้เป็นใหญ่ ก็ได้กลับเข้ารับราชการเป็นทหารเหมือนเดิม
แต่เท่านั้นยังไม่พอ ยังใหญ่ต่อไป วันนี้มีข่าววงในแจ้งมาว่าย้ายจากทหารไปเป็นตำรวจติดยศร้อยตำรวจโท
ประเทศไทยนักการเมืองถ้ามีอำนาจมันใช้กันไม่หมดไม่สิ้น สามารถทำอะไรก็ได้ ย้ายกลับเข้ารับราชการ ย้ายจากทหารมาเป็นตำรวจ แล้วลองคิดดูแล้วกัน ว่าเมื่อเป็นตำรวจแล้วจะทำอะไรได้บ้าง จะยิ่งใหญ่แค่ไหน แค่พูดกระซิบเบาๆ "มึงไม่รู้หรือว่ากูลูกใคร?”
ระเบียบการย้ายข้าราชการทหารไปเป็นตำรวจทำไมถึงง่ายดายเช่นนี้ จากนั้นเมื่อเป็นตำรวจแล้ว คงไม่ได้เป็นตำรวจรถไฟ ตำรวจสุนัข แต่จะเป็นตำรวจในพื้นที่ทองคำหรือกองปราบ คุณคิดดูแล้วกัน เมื่อฟ้าเปลี่ยนสี นักการเมืองไทยทำได้ทุกอย่างเพื่อลูกหลานตัวเอง
เวรกรรมประเทศไทย
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 ก.ค. 55 หลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่นที่3 ประจำปี 2554 ได้จัดบรรยายอบรมในหัวข้อ “บทบาทของผู้หญิงกับการเมืองไทย” โดยมี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย ในฐานะอดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เป็นผู้บรรยาย โดยคุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวบรรยายตอนหนึ่งว่า สังคมไทยในวันนี้ ได้ยอมรับบทบาทของผู้หญิงมากขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา แต่หากดูทางด้านการเมืองแล้ว ผู้หญิงยังได้รับการยอมรับยากกว่าผู้ชาย ทั้งที่ในวันนี้ประเทศเรากำลังได้รับโอกาสที่จะก้าวสู่ประชาคมอาเซียน ถือเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ แต่โอกาสนี้ต้องมีการพัฒนาประเทศ และการเตรียมตัวของประชากรในประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องมีการผนึกกำลังทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เพื่อให้ประเทศพร้อมที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มที่ ดังนั้นประเทศไทยต้องสนับสนุนให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นสิ่งเติมเต็มสำหรับผู้ชายในการพัฒนาประเทศ เปรียบเสมือนได้กับมือซ้ายและมือขวาที่จะสามารถผนึกกำลังช่วยประเทศชาติได้ดียิ่งขึ้นต่อไป
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวต่อว่า ตนไม่คิดว่าผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชาย หรือ ผู้ชายเก่งกว่าผู้หญิง ผู้หญิงดีกว่าผู้ชายหรือผู้ชายดีกว่างผู้หญิง เพราะต่างฝ่ายต่างมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน แต่หากนำผู้ชายและผู้หญิง มาทำงานร่วมกัน ก็จะเป็นพลังในการพัฒนาประเทศ ดังนั้นอย่าปิดโอกาสผู้หญิง ควรสนับสนุนผู้หญิงให้สนใจงานการเมือง เนื่องจากขณะนี้ผู้หญิงกลัวงานการเมือง เพราะเมื่อเข้ามาในการเมืองก็จะเกิดปัญหา โดยเฉพาะการจ้องโจมตีให้เกิดความเสียหาย กรณีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ผู้หญิงไม่สนใจและหันหลังให้กับวงการการเมือง
ส่วนกระแสข่าวที่ออกมาระบุว่าตนจะลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครนั้น จะถามว่าตนสนใจหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าสนใจ แต่ขณะนี้ตนมีภารกิจที่จะต้องทำเกี่ยวกับเรื่องของการบูรณะลุมพีนีสถาน จึงขอทำงานตรงนี้ให้เสร็จลุล่วงไปก่อน ตามที่เคยตั้งใจไว้ แล้วค่อยว่ากันเรื่องการเมืองกันอีกครั้ง แต่ขณะนี้ก็มีบุคคลที่อยู่ในใจพร้อมที่จะผลักดันให้ลงสมัครผู้ว่าฯกทม. เพราะเห็นว่านโยบายที่ตนได้เคยหาเสียงไว้เกี่ยวกับลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ในอดีต ยังไม่ล้าสมัยจนเกินไป
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012