สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้ากระหม่อมให้ประกาศว่า
สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นศูนย์รวมและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนชาวไทย พระมหากษัตริย์และพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ทรงดำรงสถานะอยู่เหนือการเมือง และทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประเทศชาติและประชาชนมาโดยตลอด ดังเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่าตลอดระยะเวลา 70 ปี แห่งการครองสิริราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อความผาสุกและความอยู่ดีกินดีของประชาชน ทรงปกครองประเทศด้วยทศพิธราชธรรม และนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยก่อการร้าย ภัยพิบัติ และภัยที่เกิดจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองในประเทศ ทรงบำบัดทุข์บำรุงสุขและดูแลปกป้องประชาชนด้วยน้ำพระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาอย่างมิอาจประมาณได้ ประชาชนทุกหมู่เหล่าเคารพรัก และเทิดทูนพระองค์เสมือนด้วยบิดา จึงทรงเป็น “พ่อแห่งแผ่นดิน” โดยแท้จริง
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทั้งยังเป็นพระเชษฐภคินีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ แม้จะทรงกราบถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์ไปแล้วตามกฎมณเฑียรบาล โดยได้กราบบังคมทูลพระกรุณาเป็นลายลักษณ์อักษร หากยังทรงสถานะและดำงพระองค์ในฐานะสมาชิกแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงเป็นที่รักใคร่ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราชชนนี ตลอดจนเป็นที่เคารพยกย่องของพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์และประชาชนชาวไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนานด้วยทรงประกอบพระกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน โดยในการดำรงพระองค์และการประกอบพระกรณียกิจต่างๆ นั้น ทรงปฏิบัติด้วยการถวายงานของข้าราชการในพระองค์ และหน่วยราชการต่างๆ ขอหน่วยราชการในพระองค์ตลอดมา การนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางใดก็ตาม จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อโบราณราชประเพณี ขนมธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาติ ถือเป็นการกระทำที่มิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
อนึ่ง บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทุกฉบับรวมทั้งฉบับปัจจุบัน มีหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์เป็นการเฉพาะ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่รองรับสถานะพิเศษของสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่เหนือการเมืองและทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิด กล่าวหา หรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ ซึ่งบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญดังกล่าวย่อมครอบคลุมถึงพระราชินี พระรัชทายาทและพระบรมราชวงศ์ซึ่งมีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ ดังที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจร่วมกับพระองค์หรือแทนพระองค์อยู่เป็นนิจ ดังนั้นพระราชินี พระรัชทายาท และพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ จึงอยู่ในหลักการเกี่ยวกับการดำรงอยู่เหนือการเมือง และความเป็นกลางทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ด้วย และไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดๆ ในทางการเมืองได้ เพราะจะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ประกาศ ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2562 เป็นปีที่ 4 ในรัชกาลปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ กล่าวภายหลังยื่นพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคไทยรักษาชาติ ว่า
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงรับเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ตามระเบียบและกฎหมาย โดยพรรคได้ประชุมและพิจารณา ก่อนกรรมการบริหารพรรคได้พิจารณา และเห็นว่าพระองค์ทรงมีความรู้ความสามารถ จึงมีมติเห็นชอบ ก่อนประสานไปยังพระองค์ท่าน โดยพระองค์ท่านเองทรงมีพระเมตตาตอบรับและให้พรรคไทยรักษาชาติเสนอพระนามในบัญชีนายกฯของพรรค
“ท่านเป็นผู้ที่ทำงานเพื่อสังคมมาตลอด ทั้งโครงการทู บี นัมเบอร์ วัน และโครงการป้องกันยาเสพติด วันนี้เป็นพระเมตตาที่ทรงเสียสละมาทำงาน เพื่อพี่น้องประชาชน และทรงตอบรับในบัญชีนายกฯของพรรค”
ร.ท.ปรีชาพลกล่าวอีกว่า รายละเอียดหลังจากนี้คงต้องรอพระเมตตา หลังจากกกต.ประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว
เมื่อถามว่าเช่นนี้จะเป็นรัฐบาลแห่งชาติ ร.ท.ปรีชาพลกล่าวว่า คงยังไม่ใช่ ทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญทุกอย่าง ส่วนความได้เปรียบเสียเปรียบต้องขึ้นอยู่กับประชาชนเป็นผู้ตัดสิน แต่พรรคไทยรักษาชาติชัดเจนในเรื่องของประชาธิปไตย และป้องกันการสืบทอดอำนาจ
“พระองค์ท่านมีบุคลิกและแนวคิดสอดคล้องกับพรรคไทยรักษาชาติ”
ด้านผู้สื่อข่าวต่างชาติถามว่าการเสนอพระนามในครั้งนี้ ประชาชนจะเข้าใจหรือไม่ ร.ท.ปรีชาพลกล่าวว่า เชื่อว่าประชาชนเข้าใจได้และประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน
เมื่อวันที่ 8 ก.พ. หลังจากพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นพระนาม ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ต่อกกต. โดยเปิดภาพเอกสาร เป็นพระรูป ทูลกระหม่อมฯ และได้ยื่นให้สื่อมวลชนได้ถ่ายภาพ
สำหรับแถลงการณ์พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ระบุว่า พรรคไทยรักษาชาติ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับพระเมตตาจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ มหิดล ในการรับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในนามพรรค
ทูลกระหม่อมฯ ทรงจบการศึกษาปริญญาตรี และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าของสหรัฐอเมริกา คือ Massachusetts Institute of Technology (MIT) และ University of California, Los Angeles (UCLA) ตามลำดับ ทูลกระหม่อมฯ ได้ทรงใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน โดยการทำงานเพื่อส่งตัวเองเรียนในขณะที่พำนักอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา และทรงได้ลาออกจากฐานันดรศักดิ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515
เมื่อกลับมาพำนักอยู่ที่ประเทศไทยก็ได้จัดตั้งโครงการ To Be Number One เพื่อจูงใจให้เยาวชนไทยห่างไกลยาเสพติด โดยเสด็จไปทั่วประเทศ จึงได้เห็นความทุกข์ยากของประชาชน และเป็นห่วงอยากมีส่วนได้ช่วยเหลือให้คนไทยหลุดพ้นจากความยากจน และมีอนาคตที่ดี ประกอบกับการที่ได้เป็นผู้แทนไปส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมากว่า 10 ปี จึงทรงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะอาสามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี เพื่อได้ช่วยเหลือประชาชน และประเทศชาติ โดยใช้ความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาในด้านต่างๆ ทั้งใน และต่างประเทศอย่างเต็มที่
ทูลกระหม่อมฯ มีพระประสงค์ที่จะสร้างความเจริญให้กับประเทศ และความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชน ด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม เพื่อให้ประเทศไทยทันสมัยทันโลก ยิ่งไปกว่านั้น คือ การสร้างความสามัคคีปรองดองให้กับคนในชาติ นโยบายต่างๆ ของทูลกระหม่อมฯ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) จะน้อมรับมาปฏิบัติอย่างเต็มกำลังความสามารถ
พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) จึงขอกราบเรียนมายังพี่น้องประชาชน เพื่อโปรดทราบในพระเมตตาครั้งนี้
(8 ก.พ. 62) "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ออกสารโดยมีใจความว่า ตอบรับเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้กับพรรคพลังประชารัฐ โดยมีรายละเอียดดังนี้
สารจากนายกรัฐมนตรี
8 กุมภาพันธ์ 2562
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน
นับเป็นเวลากว่าสิบปี ก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารประเทศ พี่น้องทั้งหลายคงจำได้ว่า บ้านเมืองเราขณะนั้น ได้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง ประชาชนแตกแยกเป็นกลุ่มเป็นฝ่าย บางครั้งเกิดความรุนแรงถึงขั้นมีการใช้กำลังและอาวุธสงครามเข้าทำร้ายกัน การทำลายสถานที่ราชการ การทำลายการประชุมระดับชาติ จนเป็นอันตรายถึงชีวิตและทรัพย์สิน ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต และการทำมาหากินของพี่น้องประชาชน ตลอดจนชื่อเสียงและความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของประเทศชาติ สถานการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2557 ผลก็คือการพัฒนาประเทศ การลงทุนและเศรษฐกิจเกิดสภาวะชะงักงัน การใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายขององค์กรอิสระ และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายไม่ว่าตำรวจ ทหาร หรือพลเรือนไม่สามารถกระทำได้ตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย การดำเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ รวมถึงการจัดทำงบประมาณปี 2558 มีข้อติดขัดทางกฎหมาย มีทั้งทำได้ และทำไม่ได้ในบางเรื่อง ขณะนั้นไม่มีทางออกหรือแนวโน้มว่าสถานการณ์ จะกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยได้อย่างไร ซึ่งนับเป็นวิกฤตการณ์ร้ายแรงและไม่เคยปรากฏขึ้น ในประเทศมาก่อน
เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาลเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ในช่วงเวลาสี่ปีเศษที่ผ่านมาก็ได้พยายามแก้ไขสถานการณ์จนกลับฟื้นคืนสู่สภาวะปกติ บ้านเมืองมีความสงบสุข อยู่รอดปลอดภัย ประชาชนดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ ประเทศมีการพัฒนาขึ้นตามลำดับในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าขาย การลงทุน การท่องเที่ยว มีความมั่นคงทางการเมืองทั้งในและระหว่างประเทศ ไม่มีการชุมนุมประท้วงทางการเมืองหรือความเคลื่อนไหวใด ๆ ที่กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยรวม รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างมีเอกภาพจนได้รับการยอมรับจากต่างประเทศว่าสามารถแก้ไขปัญหาหมักหมมของประเทศที่การเมืองปกติไม่สามารถแก้ไขได้ ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดทางกฎหมาย หรือเนื่องจากระยะเวลาการบริหารประเทศของแต่ละรัฐบาลที่สั้นและไม่ต่อเนื่อง ซ้ำยังมีการเกิดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ในสังคมอยู่เป็นระยะ
พี่น้องประชาชนที่รัก ประเทศชาติของเราจะต้องเดินไปข้างหน้า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่ได้กำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อเป็นแนวทางและทิศทางของประเทศต่อไปในอนาคต เพื่อลูกหลานของเรา เพื่อเด็ก ๆ ในวันนี้จะได้มีอนาคตที่ดีในวันข้างหน้า อยู่ในประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีความสงบสุขมั่นคง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราประชาชนทุกภาคส่วน จะต้องร่วมกันนำพาประเทศในช่วงเปลี่ยนแปลงอันสำคัญนี้ไปสู่จุดหมายปลายทางให้ได้ ที่สำคัญจะต้องมีรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับ ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน และมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง
ผมขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐที่ได้ให้เกียรติเชิญผมเข้าอยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลที่จะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ผมได้พิจารณาไตร่ตรอง และทบทวนอย่างรอบคอบแล้ว ในเรื่องนโยบายของพรรคว่าจะสามารถขยายผลสืบเนื่องสิ่งต่าง ๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลนี้ได้ดำเนินการ หรือวางแนวทาง หรือริเริ่มไว้ได้หรือไม่ อีกทั้งพิจารณาหลายๆ มิติที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องนโยบายและมาตรการด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม การดูแลพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ความต่อเนื่องในการบริหารและพัฒนาประเทศ ในห้วงเวลาการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังที่กล่าวข้างต้น รวมทั้งพิจารณาภาพรวมของพรรคซึ่งประกอบด้วยสมาชิกหลากหลาย เช่น ตัวแทนภาคประชาชนทั้งคนรุ่นใหม่ นักวิชาการ นักธุรกิจ ที่มีความรู้ความสามารถ ตลอดจนนักการเมืองที่มีประสบการณ์ ถึงแม้บางคนเคยเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม และพิจารณาโอกาสที่จะได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ
การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ง่ายนักเพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของประเทศ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ผมจะเป็นทหารมาตลอดชีวิต แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย และผมมีความมั่นใจ ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะสามารถร่วมมือร่วมใจกับพี่น้องประชาชน นำพาประเทศของเราก้าวไปข้างหน้าด้วยกันได้อย่างมีความสงบสุข มีความสามัคคี ไม่มีความขัดแย้งในสังคมอีกต่อไป
ดังนั้น ผมจึงขอตอบรับการเชิญโดยยินยอมให้พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ผมขอยืนยันว่า ผมมิได้มุ่งหวังจะสืบทอดอำนาจใด ๆ เพียงแต่มุ่งหวังถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยรวมเป็นสำคัญอย่างแท้จริง โดยจะเร่งบริหารและพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผมมีความคาดหวังว่า ในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ เราจะได้รัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีประสิทธิภาพ มีธรรมาภิบาล ไม่มีการใช้วัฒนธรรมการเมืองเดิมๆ ที่มีการต่อรองผลประโยชน์หรือตำแหน่งเพื่อกลุ่มของตนเอง เพื่อให้ได้คนดีมีความสามารถมาบริหารราชการ โดยทุกคนต้องเสียสละทำงานเพื่อส่วนรวมเท่านั้น ทั้งนี้ผมพร้อมจะร่วมมือทำงานกับทุกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์และจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน” ขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง และขอให้ทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวังภายใต้กฎหมาย และกติกาที่กำหนด สร้างมิตร สร้างความสามัคคี มุ่งทำบ้านเมืองให้เกิดสันติสุขเจริญรุ่งเรืองต่อไปอย่างยั่งยืน .............สวัสดี
เอิน กัลยกร อดีตนักร้องดัง ปรี๊ดแตกรับไม่ได้ ด่าประชาธิปไตยบ้าบอ หลังเปิดแคนดิเดตนายกฯ ไทยรักษาชาติ
จากกรณีที่ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ได้เดินทางมายื่นเอกสารรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค โดยปรากฏชื่อของ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี จนเป็นที่ฮือฮาอย่างมากมายนั้น โดยตลอดทั้งวันยังคงมีกระแสในเรื่องดังกล่าวอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็น ผู้คนที่แสดงความยินดี และ วิพากษ์วิจารณ์
ล่าสุด เอิน กัลยกร นาคสมภพ อดีตนักร้องหญิงชื่อดัง ที่ฝากผลงานเพลงอย่าง เพื่อนรัก และ ขอโทษ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องดังกล่าว โดยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า
“คืออะไร ไม่โอเค ไม่โอเคเลย รับไม่ได้ แล้วพูดอะไรได้มั้ย กล้ามั้ย น่าเศร้าเกินไปแล้ว ผิดหวังเกินไปแล้ว ประชาธิปไตยบ้าบอ เลือกตั้งบ้าบอ”
“แล้วที่ท่านผู้นั้นเพียรทำมาทั้งชีวิตล่ะ มันแย่ขนาดอยากร้องไห้ เงินและอำนาจคงหอมหวานเกินไป”
นอกจากนี้สาวเอิน ยังไปตอบคอมเมนต์ ผู้โพสต์คนอื่นเพิ่มด้วยว่า “อยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก อยากจะกรี๊ดแต่เสียงไม่ดัง อยากจะพูดแต่พูดไม่ได้ โกรธด้วย เศร้าด้วย แต่ดันระบายไม่ได้”