ข่าว
อิสราเอลและฮามาสส่งสัญญาณ เปิดกว้างเจรจาสงบศึกกาซา

อิสราเอลจะส่งหัวหน้าหน่วยข่าวกรองเข้าร่วมการเจรจาหยุดยิงในฉนวนกาซา ขณะที่กลุ่มฮามาสให้คำมั่นว่าจะยุติการสู้รบหากสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ ท่ามกลางแรงผลักดันมากขึ้นจากหลายฝ่าย

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2567 กล่าวว่า การยุติของสงครามในฉนวนกาซาดูมีความหวังมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคู่สงครามทั้งอิสราเอลและกลุ่มฮามาสยอมเปิดกว้างให้มีการเจรจาสงบศึกอย่างจริงจัง ภายหลังได้รับแรงผลักดันจากนานาชาติมากขึ้น

ความพยายามก่อนหน้านี้นั้นล้มเหลวมาตลอด แม้ว่าสหรัฐฯจะแสดงความหวังว่าการสังหารยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำกลุ่มฮามาสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จะเป็นช่องทางสู่ข้อตกลงที่ง่ายขึ้น

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาสกล่าวกับเอเอฟพีว่า คณะผู้แทนจากผู้นำกลุ่มที่ประจำอยู่ในกรุงโดฮาของกาตาร์ได้หารือถึงแนวคิดและข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับการหยุดยิงในฉนวนกาซากับเจ้าหน้าที่อียิปต์ในกรุงไคโรเมื่อวันพฤหัสบดี

"ฮามาสแสดงความพร้อมที่จะยุติการสู้รบ แต่อิสราเอลต้องยึดมั่นต่อการหยุดยิง, ถอนตัวจากฉนวนกาซา, อนุญาตให้ผู้พลัดถิ่นกลับประเทศ, ทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนนักโทษอย่างจริงจัง และอนุญาตให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่ฉนวนกาซา" เจ้าหน้าที่ฮามาสกล่าว และเสริมว่าการเจรจาในกรุงไคโรเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องของอียิปต์ในการฟื้นข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้ง

นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลกล่าวว่าเขายินดีที่การเจรจาในอียิปต์มีการหารือข้อตกลงในการปล่อยตัวตัวประกันที่ยังคงถูกกองกำลังติดอาวุธจับตัวไว้ในฉนวนกาซา

หลังการประชุมในกรุงไคโร เนทันยาฮูได้สั่งให้หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง 'มอสสาด' เดินทางไปยังกาตาร์ซึ่งเป็นผู้ไกล่เกลี่ยหลักในวันอาทิตย์ เพื่อผลักดันความคิดริเริ่มชุดหนึ่งที่อยู่ในวาระการประชุม ตามรายงานของสำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอล

ก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดี สหรัฐและกาตาร์กล่าวว่าการเจรจาหยุดยิงในฉนวนกาซาจะกลับมาดำเนินการอีกครั้งในกรุงโดฮา

แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ พบปะกับผู้นำกาตาร์ที่โดฮาเมื่อวันพฤหัสบดี ในการเดินทางครั้งที่ 11 ของเขาไปยังภูมิภาคนี้ นับตั้งแต่การโจมตีอิสราเอลของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งจุดชนวนให้เกิดสงครามกาซา

ระหว่างการเดินทางซึ่งเกิดขึ้นไม่ถึงสองสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ บลิงเคนกล่าวว่าผู้ไกล่เกลี่ยจะพิจารณาทางเลือกใหม่

เขากล่าวว่าบรรดาผู้ไกล่เกลี่ยกำลังหาวิธีการให้อิสราเอลสามารถถอนตัวจากสงครามได้โดยไม่มีความผิด, หาวิธีการป้องกันไม่ให้กลุ่มฮามาสกลับมารวมตัวจัดตั้งใหม่ได้อีก และกำหนดแผนฟื้นฟูให้ชาวปาเลสไตน์สามารถสร้างชีวิตและสร้างอนาคตของพวกเขาขึ้นมาใหม่

กาตาร์กล่าวว่าทีมงานของสหรัฐฯ และอิสราเอลจะบินไปโดฮา โดยผู้ไกล่เกลี่ยของกาตาร์ได้กลับมาติดต่อกับกลุ่มฮามาสอีกครั้งนับตั้งแต่การเสียชีวิตของซินวาร์

เจ้าหน้าที่อิสราเอลและสหรัฐ รวมถึงนักวิเคราะห์บางคน กล่าวว่า ซินวาร์เป็นอุปสรรคสำคัญต่อข้อตกลงในการปล่อยตัวตัวประกัน 97 คนซึ่งยังถูกควบคุมตัวอยู่ในฉนวนกาซา โดยกองทัพอิสราเอลระบุว่า 34 รายในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว ท่ามกลางแรงกดดันจากครอบครัวตัวประกันที่เรียกร้องให้เนทันยาฮูและฮามาสบรรลุข้อตกลงในการปล่อยตัวตัวประกันที่เหลือ

หลังจากนี้ บลิงเคนจะพบกับรัฐมนตรีต่างประเทศของจอร์แดนและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนสำคัญ 2 รายในแผนหลังสงครามสำหรับฉนวนกาซา และเขาจะเข้าพบนายกรัฐมนตรีนาจิบ มิคาติ ของเลบานอน เพื่อหารือเกี่ยวกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศ

ในสนามรบ กองทัพอิสราเอลยังคงกดดันฮามาสอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มปฏิบัติการเมื่อต้นเดือนนี้ทางตอนเหนือของฉนวนกาซา ซึ่งมีพลเรือนหลายหมื่นคนติดอยู่ในพื้นที่

โฆษกสำนักงานป้องกันพลเรือนกาซากล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 770 รายในพื้นที่ทางตอนเหนือของกาซาในช่วง 19 วันนับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการ และยอดผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากยังมีผู้คนถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังจากการโจมตีทางอากาศ

มีรายงานการโจมตีล่าสุดในโรงเรียนที่กลายเป็นศูนย์พักพิงแห่งหนึ่งใจกลางกาซาเมื่อวันพฤหัสบดี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 17 ราย ซึ่งกองทัพอิสราเอลอ้างว่ามุ่งเป้าโจมตีนักรบฮามาส

กองทัพอิสราเอลระบุว่าเป้าหมายของการโจมตีคือการทำลายขีดความสามารถในการปฏิบัติการที่กลุ่มฮามาสกล่าวว่ากำลังพยายามสร้างขึ้นใหม่ในพื้นที่ทางเหนือ

สงครามกาซาเริ่มต้นขึ้นด้วยการโจมตีอิสราเอลของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1,206 ราย และการตอบโต้ของอิสราเอลทำให้มีผู้เสียชีวิต 42,847 รายในฉนวนกาซา

หลังจากทำสงครามในกาซาเกือบหนึ่งปี อิสราเอลได้ขยายแนวรบไปที่เลบานอนเมื่อเดือนที่แล้ว โดยให้คำมั่นว่าจะรักษาความปลอดภัยชายแดนทางตอนเหนือจากการโจมตีเกือบทุกวันโดยกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ ซึ่งเป็นพันธมิตรของกลุ่มฮามาส

อิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่โดยมุ่งเป้าไปที่ฐานที่มั่นของกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ที่อยู่รอบๆ เลบานอนเป็นหลัก และส่งกองกำลังภาคพื้นดินเข้าไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน ซึ่งสงครามในเลบานอนได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 1,580 ราย

สื่อของรัฐเลบานอนรายงานว่า ล่าสุดอิสราเอลโจมตีเขตชานเมืองทางใต้ของกรุงเบรุตซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากที่อิสราเอลแจ้งเตือนการอพยพ

อิสราเอลระบุว่าทหารของตน 5 นายเสียชีวิตจากการสู้รบในเลบานอนตอนใต้ ซึ่งเป็นจุดที่เกิดการสู้รบกับกลุ่มติดอาวุธฮิซบุลเลาะห์ทุกวัน นับตั้งแต่เริ่มเปิดฉากโจมตีทางภาคพื้นดิน

ขณะที่ฮิซบุลเลาะห์กล่าวว่าได้โจมตีทหารและพื้นที่ต่างๆ ในภาคเหนือของอิสราเอล รวมถึงทหารอีกจำนวนหนึ่งที่บุกเข้ามาภายในดินแดนเลบานอนด้วย

สงครามครั้งนี้ก่อให้เกิดวิกฤตผู้พลัดถิ่นครั้งใหญ่ในเลบานอนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตทางการเมืองและเศรษฐกิจมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว.

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ร่วมกับสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียได้จัดกิจกรรมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๗

เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๗ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ร่วมกับสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียได้จัดกิจกรรมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๗ โดยสถานกงสุลใหญ่ฯ ได้มอบหมายให้นายภาวัสส์ เรืองวิชาธร กงสุล เป็นผู้แทนสถานกงสุลใหญ่ฯ พร้อมด้วยหัวหน้าสำนักงานทีมประเทศไทย และข้าราชการสถานกงสุลใหญ่ฯ เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บริเวณหน้าพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ วัดไทยลอสแองเจลิส โดยมีผู้แทนสมาคม ชมรม และองค์กรชุมชนไทยต่าง ๆ เข้าร่วมด้วย


4 ชาติอาเซียนรวม ไทย เข้าเป็นหุ้นส่วนกลุ่ม BRICS เพิ่มโอกาสทางการค้า ประเทศหุ้นส่วนของกลุ่ม BRICS คาดว่าเพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนให้มากขึ้น

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 24 ต.ค. 2567 ว่า 13 ประเทศ รวมถึง 4 ชาติอาเซียนได้แก่ มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม และไทย เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนของ “บริกส์” (BRICS) กลุ่มประเทศกําลังพัฒนาที่มีการพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาเพื่อคานอำนาจกับชาติตะวันตกแล้ว

บัญชีผู้ใช้ X อย่างเป็นทางการของกลุ่ม BRICS (@BRICSInfo) โพสต์ข้อความในวันพฤหัสบดีที่ 24 ต.ค. ว่า 13 ประเทศได้เข้าร่วมกับพวกเขาในฐานะประเทศหุ้นส่วนแล้ว โดยอีก 9 ประเทศนอกจาก 4 ชาติอาเซียน ได้แก่ แอลจีเรีย, เบลารุส, โบลิเวีย, คิวบา, คาซัคสถาน, ไนจีเรีย, ตุรกี, ยูกันดา และอุซเบกิสถาน

นายโมฮาหมัด ฮาซาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของมาเลเซียกล่าวว่า จากนี้มาเลเซียจะมีโอกาสทางการค้าที่ดีขึ้น เนื่องจากกลุ่ม BRICS มีประชากรรวมกันมากกว่า 3.2 พันล้านคน

มาเลเซียยังให้คำมั่นว่า จะไล่ตามเป้าหมายของกลุ่มประเทศซีกโลกใต้ (Global South) ในการเพิ่มความร่วมมือ โดยเฉพาะระหว่างที่มาเลเซียรับหน้าที่เป็นประธานเวียนของอาเซียนในปีหน้า เพื่อสร้างสมดุลระหว่างชาติมหาอำนาจและเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจและการลงทุนใหม่ๆ

อีกด้านหนึ่ง นายซูจิโอโน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศคนใหม่ของอินโดนีเซีย เรียกร้องให้เกิดความสงบและความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างประเทศกำลังพัฒนา ที่การประชุมสุดยอดชาติสมาชิกกลุ่ม BRICS ที่รัสเซีย และทำหน้าที่ของตัวเองในการสร้างระเบียบโลกที่เท่าเทียม, เป็นธรรม และครอบคลุมมากขึ้น

อนึ่ง กลุ่ม BRICS ก่อตั้งขึ้นในปี 2549 โดยมีสมาชิกเริ่มแรกคือ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย และจีน จากนั้น แอฟริกาใต้ก็เข้าร่วมเป็นสมาชิกในปี 2553 ตามด้วย อียิปต์, เอธิโอเปีย, อิหร่าน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกในปีนี้ ส่วน 13 ประเทศล่าสุด ไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกับกลุ่ม BRICS อย่างเต็มตัว

ชาติสมาชิกกลุ่ม BRICS มีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันถึง 28.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 28% ของเศรษฐกิจโลก โดยพวกเขาจะจัดการประชุมประจำปีขึ้นที่เมือง คาซาน ประเทศรัสเซีย ระหว่างวันที่ 22-24 ต.ค.

ทั้งนี้ นายฮัลมี อัซรี นักวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเมือง มองว่า 4 ชาติอาเซียนเข้าเป็นหุ้นส่วน BRICS เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้า และเพิ่มความหลักหลายในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของพวกเขา ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามในยูเครนกับตะวันออกกลาง

แรงจูงใจอีกอย่างอาจเป็น เพื่อผูกมิตรกับจีน และเพื่อให้ได้เงื่อนไงการลงทุนและการค้าที่ดีขึ้นจากแดนมังกร เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลักดันหลักของกลุ่ม BRICS

ขณะที่ ดร.โอ เอ ซุน จากสถาบันวิจัยกิจการระหว่างประเทศของสิงคโปร์ เชื่อว่า การเข้าเป็นหุ้นส่วน BRICS ของ 4 ชาติอาเซียนนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาคมอาเซียนมากนัก นอกจากจะถูกมองว่าเอนเอียงไปทางจีนมากขึ้น ในการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

ส่วนนายฮัลมีระบุว่า ทั้ง 4 ประเทศอาจกลายเป็นกระบอกเสียงของอาเซียน เพื่อหยิบยกปัญหาหรือเสนอการพัฒนาร่วมกันกับชาติสมาชิก BRICS ได้

ที่มา : cna


เกาหลีใต้โวยรัสเซียให้สัตยาบันกับเกาหลีเหนือ ปูตินชี้ “เรื่องภายใน”

รัฐบาลโซลแสดงความไม่พอใจอย่างหนัก ต่อการที่สภาของรัสเซียให้สัตยาบันข้อตกลงความร่วมมือกับรัฐบาลเปียงยาง ท่ามกลางกระแสข่าวทหารเกาหลีเหนือในรัสเซีย ด้านผู้นำรัสเซียกล่าวว่า "เป็นกิจการภายใน"

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ว่ากระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ออกแถลงการณ์ ว่ามี “ความวิตกกังวลอย่างยิ่ง” ต่อการที่สภาผู้แทนราษฎรของรัสเซีย หรือสภาดูมา ให้สัตยาบันต่อตกลงความร่วมมือการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมกับเกาหลีเหนือ ในเวลาเดียวกับที่หลายฝ่ายกำลังจับตา เกี่ยวกับการที่เกาหลีเหนือเริ่มส่งทหารเข้าไปในรัสเซีย เพื่อรอเดินทางต่อไปยังยูเครน

ขณะเดียวกัน แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้เน้นย้ำ การเรียกร้องให้ทหารเกาหลีเหนือถอนกำลังออกจากรัสเซีย “และพื้นที่ซึ่งถูกยึดครองอย่างผิดกฎหมาย” และรัฐบาลโซล “จะตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น”

แม้สภาแห่งรัฐหรือวุฒิสภาของรัสเซียต้องให้สัตยาบันด้วย ก่อนมีการประกาศลงในรัฐกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลอย่างเป็นทางการ แต่ทุกฝ่ายเชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา

สำหรับสาระสำคัญของข้อตกลงดังกล่าว ที่เกาหลีเหนือและรัสเซียลงนามร่วมกัน เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา คือการที่ทั้งสองประเทศ “มอบความสนับสนุนและความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” ในกรณีที่อีกฝ่าย “เผชิญกับการถูกคุกคามด้วยความก้าวร้าว” ซึ่งถือเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนือ “ไปสู่ยุคสมัยใหม่”

ด้านประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธเรื่องนี้ แต่กล่าวเป็นนัยว่า รัฐบาลมอสโก “ติดต่อประสานงานกับเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่อง” และการดำเนินการใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย หรือการตัดสินใจที่เกี่ยวกับระหว่างรัฐต่อรัฐ “ถือเป็นกิจการภายใน”.

เครดิตภาพ : AFP...

Lonely Planet ยกไทยติด Top 10 เมืองน่าเที่ยวของโลก ปี 2025-นายกฯ คาดสิ้นปีคนแห่เที่ยวไทยเพิ่ม

โฆษกรัฐบาลเผย “โลนลีแพลนเน็ต” ยกไทยติด 1 ใน 10 ประเทศน่าเที่ยวของโลก ในปี 2568 เมืองกรุงติดอันดับด้านศิลปะการแสดงที่มีมากกว่าวัฒนธรรม ด้านนายกฯ ย้ำสนับสนุนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง คาดสิ้นปีนักท่องเที่ยวแห่เที่ยวไทยเพิ่ม

วันที่ 25 ตุลาคม 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกรัฐบาลและที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอบคุณผลการจัดอันดับจากหนังสือคู่มือการเดินทางท่องเที่ยวระดับโลก “โลนลี แพลนเน็ต” Lonely Planet ซึ่งเป็นหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกที่เป็นคู่มือให้กับนักท่องเที่ยวนักผจญภัยทั่วโลกมากว่า 50 ปี โดยมียอดพิมพ์ไปแล้วกว่า 150 ล้านเล่ม โดยได้เลือกให้ประเทศไทยติด 1 ใน 10 ในหลายหมวดหมู่ที่ต้องมาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวโลกในปี พ.ศ. 2568 นี้ ใน “Best in Travel 2025”

โดยประเทศไทยติด 1 ใน 10 ประเทศที่น่าเดินทางมาในหลากหลายสถานที่ท่องเที่ยว อาทิเช่น เชียงใหม่ติดอันดับในหัวข้อเมืองที่ดีที่สุด (Best Cities) ตลาดน้ำท่าคา จังหวัดสมุทรสงครามติดอันดับในหัวข้อตลาดที่ดีที่สุดที่น่าเดิน (Best Markets) ส่วนหาดซันเซ็ท เกาะกระดาน จังหวัดตรังติดอันดับในหัวข้อชายหาดที่ดีที่สุดที่ควรไปเยือน (Best Beaches) ส่วนกรุงเทพมหานครติดอันดับในหัวข้อที่มีศิลปะการแสดงที่มีมากกว่าวัฒนธรรมของไทย (Best Drag Shows)

“การติดอันดับของประเทศไทยในความหลากหลายทั้งสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่สวยงามของประเทศไทย รวมทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ จนถึงกิจกรรมของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่อยู่ในกระแส ซึ่งประเทศไทยมีความเปิดกว้าง รับทุกชนชาติรองรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าด้วยการ สนับสนุนโดยนโยบายของรัฐบาลต่างๆ เช่น การอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว การสนับสนุนการลงทุนด้านอุตสาหกรรมการโรงแรมและการท่องเที่ยว และการประชาสัมพันธ์ประเทศไทย ที่เป็นนโยบายของรัฐบาล

นำโดยนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งกำหนดเป็นนโยบายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งกระทรวงอื่นๆ ที่มีส่วนในการสนับสนุนการท่องเที่ยว ทั้งการแสดงศิลปวัฒนธรรมหรือการประชุม ที่ทยอยปล่อยนโยบายออกมาในช่วงปลายปีนี้ การท่องเที่ยวไทยจะยิ่งโด่งดังในเวทีโลก โดยคาดว่าจะส่งผลให้มีปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจประกอบกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนด้านอื่นๆ จะส่งผลให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจพลิกฟื้นกลับมาเป็นยักษ์ใหญ่ในอาเซียนได้อีกครั้ง” นายจิรายุกล่าว