ข่าว
ศาลมะกันไม่ให้ประกันหญิงไทย แปรธาตุ โกงกระเป๋าแบรนด์หรู

ความคืบหน้ากรณีที่ น.ส.แพรพิชชา สมาตสรบุศย์ หญิงไทยในรัฐเวอร์จิเนีย ถูกจับกุมในคดีหลอกซื้อ-ขายกระเป๋าถือแบรนด์หรูอย่างน้อย 527 ใบ กว่า 35 ล้านบาท ว่า ศาลเขตตะวันออก เมืองอเล็กซานเดรีย รัฐเวอร์จิเนีย พิพากษาให้ น.ส.แพรพิชชา ถูกจำคุกต่อไป เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ตามเวลาท้องถิ่นนั้น

ผู้พิพากษาระบุว่า น.ส.แพรพิชชา มีพฤติกรรมเข้าข่ายเสี่ยงต่อการหลบหนีและต้องถูกควบคุมตัวจนกว่าจะมีการนัดไต่สวนอีกครั้ง หมายถึง ศาลไม่ให้ประกันตัว

ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนความมั่นคงภายในของสหรัฐระบุว่า น.ส.แพรพิชชาจะซื้อกระเป๋าถือแบรนด์หรูจากห้างสรรพสินค้าต่างๆ โดยราคาแต่ละใบไม่ต่ำกว่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ (71,000 บาท) รวมถึงห้างสรรพสินค้า ที.เจ.แม็กซ์ ซึ่งซื้อกระเป๋าถือ 226 ใบ ก่อนนำกระเป๋าถือเลียนแบบเกรดเอไปคืน เพื่อรับเงินสดคืนที่ห้างสรรพสินค้า จากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญสินค้าหลุยส์วิตตอง ยืนยันว่า กระเป๋าถือที่นำไปคืนห้างสรรพสินค้า ที.เจ.แม็กซ์ ไม่ใช่ของแท้ ขณะที่ น.ส.แพรพิชชา จะนำกระเป๋าถือแบรนด์ของแท้ไปขายต่อทางเว็บไซต์อีเบย์และอินสตาแกรม

เจ้าหน้าที่ระบุอีกว่า ในกรณีตัวอย่างที่มีรายละเอียดในบันทึกของศาล น.ส.แพรพิชชาสั่งซื้อกระเป๋าถือสีแดงทับทิมยี่ห้อ Celine Ring จากห้างสรรพสินค้า เมื่อเดือนต.ค.ปีที่แล้ว จากนั้นภายในไม่กี่สัปดาห์ น.ส.แพรพิชชาได้คืนกระเป๋าถือเลียนแบบยี่ห้อดังกล่าว แล้วนำของแท้ไปขายในเว็บไซต์อีเบย์ในเดือนธ.ค.ปีเดียวกัน

เมื่อเดือนมีนาคม เจ้าหน้าที่บุกค้นบ้านพักของ น.ส.แพรพิชชา ในมลรัฐอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย ตรวจพบกระเป๋าถือของปลอม 572 ใบ นอกจากนี้ เอกสารที่ยื่นต่อศาลระบุเพิ่มเติมว่า ตรวจยึดกล่องพัสดุที่ส่งไปที่โรงเรียนเบ็ดโดว์ มอนเตสโซรี ที่ทำงานของ น.ส.แพรพิชชาด้วย

รายงานข่าวระบุว่า น.ส.แพรพิชชา ทำงานเป็นครูสอนเด็กวัยก่อนอนุบาลที่โรงเรียนเบ็ดโดว์ มอนเตสโซรี รัฐแมริแลนด์ ทางตะวันออกของสหรัฐ ขณะที่ผู้ปกครองนักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้เปิดเผยว่า น.ส.แพรพิชชา เป็นครูสอนเด็กอายุ 4 ขวบ

ด้านเจนนิเฟอร์ สวีตแมน ผู้ปกครองของลูกสาวที่เรียนหนังสือกับ น.ส.แพรพิชชา เปิดเผยว่า ผู้ปกครองหลายคนรู้สึกกลุ้มอก กลุ้มใจ ต่อคดีอาชญากรรมดังกล่าว “คุณไม่สามารถคาดหวังว่า บุคคลผู้ไม่มีจริยธรรมจะเป็นแบบอย่างที่ดีได้”

มือปืน UCLA มี “บัญชีฆ่า” หนึ่งในรายชื่อถูกเจอเป็นศพ

ผู้บัญชาการตำรวจลอสแองเจลิส เผยเมื่อวันพฤหัสบดี (2 มิ.ย.) ว่า ชายที่ถูกกล่าวหาว่ายิงสังหารเหยื่อ และฆ่าตัวตายตาม ณ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในลอสแองเจลิส (ยูซีแอลเอ) มี “บัญชีฆ่า” เขียนด้วยลายมือ ในนั้นรวมถึงสตรีรายหนึ่งที่ถูกพบเสียชีวิตในมินนิโซตา

คณะสืบสวนพบบัญชีรายชื่อดังกล่าวระหว่างการเข้าตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องสงสัยในมินนิโซตา ชาร์ลี เบ็ค ผู้บัญชาการตำรวจลอสแองเจลิส ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เคทีแอลเอ พร้อมเผยว่า การสืบสวนขยายสู่มินนิโซนา หลังจากพบจดหมายฉบับหนึ่งในที่เกิดเหตุ ขณะที่รายชื่อในบัญชีฆ่ายังมีชื่อของศาสตราจารย์ของยูซีแอลเออีกคน ซึ่งไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เช่นเดียวกับผู้หญิงรายดังกล่าว

“ในบ้านพักที่มินนิโซตา เราพบข้าวของต่าง ๆ มากมาย ในนั้นรวมถึงกระสุนพิเศษและจดหมายฉบับหนึ่ง พร้อมรายชื่อที่บ่งชี้ว่ามันคือบัญชีฆ่า” เบ็ค กล่าว พร้อมระบุว่า ตำรวจเข้าตรวจสอบบ้านของผู้หญิงรายนี้ที่อยู่ในบัญชีฆ่าในเมืองแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆกันในมินนิโซตา และพบว่าเธอถูกยิงเสียชีวิต “ชื่อของศาสตราจารย์ คลัก อยู่ในบัญชี เช่นเดียวกับศาสตราจารย์ของยูซีแอลเออีกคน ที่ปลอดภัยดี”

เจ้าหน้าที่เผยว่า ไมนัค ซาร์คาร์ วัย 38 ปี ยิง วิเลียม คลัก ศาสตราจารย์วิศวกรรมอวกาศและเครื่องกลเสียชีวิตก่อนฆ่าตัวตายตาม ในเหตุโจมตีที่กระตุ้นให้มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอต้องปิดการเข้าออกนานกว่า 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ ตำรวจพบว่า นายซาร์คาร์ จบการศึกษาระดับปริญญาที่ยูซีแอลเอในปี 2013 และพักอาศัยอยู่ในมินนิโซตามานานหลายปี

“เราเชื่อว่า นายซาร์คาร์ เพิ่งเดินทางมาในพื้นที่ลอสแองเจลิสไม่กี่วันมานี้ ภายในช่วง 2 - 3 วันที่ผ่านมา” ผู้บัญชาการตำรวจลอสแองเจลิส บอกกับผู้สื่อข่าว “เขาไปที่นั่นเพื่อฆ่าอาจารย์ของยูซีแอลเอ 2 คน แต่เขาหาเจอแค่รายเดียว” พร้อมระบุ นายซาร์คาร์ ใช้อาวุธปืนสั้น 9 มม. 2 กระบอกในการลงมือและฆ่าตัวตายในทันทีหลังจากปลิดชีพศาสตราจารย์ คลัก

จากข้อมูลบนเว็บบล็อกที่โพสต์โดยบุคคลที่ใช้ชื่อเดียวกับนายซาร์คาร์ ทำให้ก่อข้อสันนิษฐานว่า เหตุโจมตีครั้งนี้น่าจะมีแรงกระตุ้นจากกรณีที่ นายซาร์คาร์ เชื่อว่า นายคลัก ขโมยรหัสคอมพิวเตอร์ของเขา “ศัตรูของคุณก็คือศัตรูของผม แต่เพื่อนสามารถทำร้ายคุณได้มากกว่า” ซาร์คาร์ เขียนลงบนเว็บบล็อก “จงระวังคนที่คุณไว้ใจ”

รอยเตอร์ไม่สามารถยืนยันได้ว่าข้อความบนเว็บบล็อกดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ลอสแองเจลิสไทม์ส อ้างแหล่งข่าวของมหาวิทยาลัย บอกว่า คำกล่าวอ้างบนบล็อกไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย

รายงานเกี่ยวกับเหตุยิงกัน หรือกระทั่งการพบเห็นบุคคลต้องสงสัยว่าเป็นมือปืน กระตุ้นให้ตำรวจระดมกำลังมายังยูซีแอลเอ และมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ต้องปิดการเข้าออก เนื่องจากในสหรัฐฯมีประวัติเกี่ยวกับเหตุสังหารหมู่ในสถาบันการศึกษามาช้านาน

เมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน มีผู้ถูกยิงเสียชีวิต 9 ราย ที่วิทยาลัยชุมชนอัมควา รัฐออริกอน ขณะที่ในปี 2007 มือปืนรายหนึ่งลงมือกราดยิงที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค คร่าชีวิตผู้คน 32 ศพ นับเป็นเหตุยิงสังหารหมู่ครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ


‘พิชัย’ โพสต์ตอบ ‘บิ๊กตู่’ ‘จบเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ’

จากกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคสช . พูดถึงการจัดอันดับของไอเอ็มดีที่ไทยถูกปรับให้ขึ้นมาและวิจารณ์นายพิชัย โดยถามว่าจบการศึกษาอะไรมา และชอบวิจารณ์ด้านเศรษฐกิจรัฐบาลเหลือเกิน โดยระบุว่า

“ไม่ใช่เรื่องง่ายใน 2 ปีที่ผ่านมา แต่บางคนบอกว่า ไอเอ็มดีเชื่อมั่นได้แค่ไหน ผมก็ปวดหัวเหมือนกัน แล้วจะเชื่อใคร ไปเชื่อนายพิชัย (นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน)เหรอ นายพิชัยเคยทำอะไรมา เรียนจบอะไรมา วิจารณ์เศรษฐกิจไทยเยอะแยะไปหมด เก่งเศรษฐกิจเหลือเกิน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ทั้งนี้ เฟสบุ๊ค Pichai Naripthaphan ซึ่งเป็นบัญชีของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์ข้อความตอบพล.อ.ประยุทธ์ แล้ว ระบุว่า

“จบเศรษฐศาสตร์ จุฬา ฯ และ MBA จุฬาฯ ครับ ไม่ได้เก่งครับ แค่พูดความจริงเท่านั้น ใครเชื่อบิ๊กตู่บ้าง”

ทั้งนี้ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช และคณะทำงานทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ และระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ และระดับปริญญาโท ด้านการบัญชี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ซึ่งหลังจากมีการปฏิวัติในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 นายพิชัยยังคงวิพากษ์วิจารณ์ผลกระทบของการปฏิวัติและภาวะการเมืองที่มีผลต่อเศรษฐกิจอย่างมาก จนถูกเรียกปรับทัศนคติถึง 7 หน โดยครั้งที่ 7 ถูกกักตัวนานถึง 7 วัน


‘วัฒนา’ติง ‘นายกฯ’ มีอคติ-ขาดวุฒิภาวะ

วันนี้ (3 มิ.ย.) นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ก Watana Muangsook วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ระบุว่า นายกรัฐมนตรีชอบกล่าวในโอกาสต่างๆ ว่าตัวเองไม่ใช่นักการเมืองและไม่เคยเอาเงินไปสร้างประโยชน์ให้ตนเอง อันเป็นการพูดแบบเอาดีเข้าตัวเป็นทำนองว่านักการเมืองที่มาจากประชาชนแสวงหาประโยชน์ แต่การพูดดังกล่าวจะทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด เพราะนายกรัฐมนตรีคือตำแหน่งทางการเมืองที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร หากจะพูดให้ถูกต้องคือตนเป็นนักการเมืองที่ไม่เหมือนคนอื่นเพราะได้ตำแหน่งมาจากการยึดอำนาจ

นายกรัฐมนตรียังพาดพิงมายังคดีรับจำนำข้าวว่า หากไม่ต้องฟ้องศาลจะใช้มาตรา 44 สั่งจำคุกให้หมด อันเป็นการชี้นำว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด จึงเป็นการพูดที่มีอคติและขาดความรับผิดชอบ เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารที่กำลังจะใช้คำสั่งทางปกครองเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง จึงเป็นคู่กรณีที่มีส่วนได้เสียโดยตรงทำให้นายกยิ่งลักษณ์ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการต่อสู้คดี ประกอบกับคดีนี้ศาลมีคำสั่งห้ามการนำเสนอข่าวที่มีลักษณะเป็นการชี้นำ นายกรัฐมนตรีจึงควรเรียนรู้และรักษามารยาทเรื่องนี้โดยเคร่งครัด สิ่งที่ควรเร่งทำให้เห็นเป็นตัวอย่างคือการดำเนินคดีกับ อผศ. ในความผิดฐานหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาตามโครงการขุดลอกคูคลอง ทำให้ อผศ. ซึ่งเป็นหน่วยงานของกองทัพเองแต่ไม่มีความพร้อม เอางานที่ได้รับมามูลค่าหลายพันล้านบาทไปขายต่อให้ผู้รับเหมาช่วงเพื่อชักหัวคิวแบ่งกัน จนเกิดการทิ้งงานอย่างมากมายทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ความผิดดังกล่าวอยู่ในบัญชีแนบท้ายคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2559 โดยมีตัวการร่วมคือ คสช. ตามหลักฐานรายงานการประชุมที่ผมโพสต์มาให้ดูอีกครั้งกันลืม หลักฐานชัดขนาดนี้ยังไม่ดำเนินการเพราะพวกเดียวกัน หรือจะรอให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติเพื่ออาศัยมาตรา 279 หลบหนีการตรวจสอบช่วยบอกประชาชนด้วย

การแสดงออกของนายกรัฐมนตรีในหลายโอกาส ไม่ได้แสดงให้เห็นเพียงการขาดองค์ความรู้ในด้านการบริหารเท่านั้น ยังประกอบด้วยอคติและขาดวุฒิภาวะอย่างรุนแรง ที่สำคัญไม่เข้าใจวิธีการแบบอารยะ เช่น การอดอาหารประท้วงซึ่งถือเป็นการต่อสู้แบบอหิงสา แต่นายกรัฐมนตรีกลับให้สัมภาษณ์ทำนองว่าเป็นความผิดของผู้อดอาหารและจะใช้วิธีบังคับให้รับประทานด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ที่น่าตกใจคือเป็นคนเดียวกันกับผู้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติให้ประเทศไทยต้องเดินตามอีก 20 ปี ใครชอบแนวทางนี้ก็เชิญตามสะดวก สำหรับผมขอไปกรวดน้ำคว่ำขันในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 บอกล่วงหน้าเลยว่า “ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญครับ


ฟ้อง‘สรยุทธ-ไร่ส้ม’ ข้อหาปลอมเอกสาร

อัยการฟ้อง“สรยุทธ-ไร่ส้ม”อีก3ข้อหาปลอมเอกสารสิทธิ-ใช้เอกสารสิทธิปลอม-ทำลายเอกสารหลังจบคดีอาญาทุจริตค่าโฆษณาส่วนเกินกว่า138ล. พิธีกรดังแจกเอกสารแจงสื่อคดีซ้ำซ้อน

วันที่ 2 มิถุนายน เมื่อเวลา 09.30 น. ร.ท.สมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดและนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกันแถลงผลสั่งคดี กล่าวหา บจก.ไร่ส้ม, น.ส.สุกัญญา แซ่ลิ่ม, น.ส.อังคณา วัฒนมงคลศิลป์, นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา อดีตพิธีกร รายการเล่าข่าวชื่อดัง และ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม, น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่ บจก.ไร่ส้ม และ นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด หรือ นางชนาภา บุญโต อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ผู้ต้องหาที่ 1-6 ฐานร่วมกันฉ้อโกง และร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และร่วมกันทำให้เสียหาย และทำลายเอกสารของผู้อื่น มูลค่าทรัพย์จากเหตุที่ไม่ชำระค่าโฆษณาส่วนเกินกว่า 138 ล้านบาท

ภายหลังได้รับสำนวนหลักฐานจากพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมาโดยสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งฟ้อง บจก.ไร่ส้ม, นายสรยุทธ, น.ส.มณฑา และน.ส.พิชชาภา ผู้ต้องหาที่ 1, 4-6 ฐานร่วมกันฉ้อโกงและร่วมกันปลอมเอกสารฯ และเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง น.ส.สุกัญญา และน.ส.อังคณา ทั้งสองซึ่งเป็นพนักงานบจก.ไร่ส้ม

โดย ร.ท.สมนึก โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า หลังจากรับสำนวนแล้ว คณะทำงานฯ พิจารณาพยานหลักฐานทั้งปวงในสำนวนสอบสวนและหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาแล้ว เห็นว่าประเด็นที่ผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมทั้งหมด รับฟังได้เฉพาะข้อหาร่วมกันฉ้อโกงที่ขอให้อัยการสั่งยุติการดำเนินคดี

ส่วนประเด็นอื่นที่ร้องขอความเป็นธรรมไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานในสำนวนคดีได้ คดีมีหลักฐานพอฟ้อง จึงสั่งฟ้อง บจก.ไร่ส้ม, นายสรยุทธ, น.ส.มณฑา, และน.ส.พิชชาภา ในความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอม และร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารของผู้อื่นในการที่จะน่าเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 188, 264, 265 และ 268 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 ขอริบใบคิวโฆษณาของกลาง

รวมทั้งขอนับโทษต่อจากโทษจำคุก ตามคำพิพากษาของศาลอาญา หมายเลขแดง อ.595-596/2559 ที่อัยการยื่นฟ้องตามความผิดพ.ร.บ.พนักงานองค์การของรัฐฯ ซึ่งศาลพิพากษาให้จำคุกนายสรยุทธ และน.ส.มณฑา คนละ 13 ปี 4 เดือน และจำคุกน.ส.พิชชาภา 20 ปี ปรับ บจก.ไร่ส้ม 80,000 บาท และคดีอาญาหมายเลขดำ อ.8134/2558 ของศาลแขวงพระนครเหนือ โดยอัยการเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง น.ส.สุกัญญา และ น.ส.อังคณา ผู้ต้องหาที่ 2-3 ในทุกข้อหาดังกล่าว เนื่องจากคณะทำงานมีความเห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ

ร.ท.สมนึก กล่าวอีกว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง คณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นควรยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมด เพราะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว และ บมจ.อสมท. ผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแล้ว ไม่ว่าจะฟ้องก่อนหรือหลังจากที่พนักงานอัยการได้รับสำนวนการสอบสวน ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 55(9)

“คดีนี้คณะทำงานฯ ได้เสนอนายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา เพื่อพิจารณา ซึ่งอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งฟ้อง บจก.ไร่ส้ม, นายสรยุทธ, น.ส.มณฑา และน.ส.พิชชาภา และสั่งไม่ฟ้องน.ส.สุกัญญา และน.ส.อังคณา พร้อมทราบการสั่งยุติการดำเนินคดีตามที่คณะทำงานเสนอ” โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด

ต่อมาเวลา 10.00 น.วันเดียวกัน นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงาคดีอาญา ได้นำคำฟ้องพร้อมตัวผู้ต้องหา ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาเป็นจำเลย ในความผิดดังกล่าว โดยอยู่ระหว่างที่ศาลอธิบายคำร้องและสอบคำให้การจำเลย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ถูกนำตัวมาฟ้อง ทีมงานนายสรยุทธ ได้แจกเอกสารเกี่ยวกับคดีให้สื่อมวลชน สรุปว่า การกล่าวหาหรือฟ้องในความผิดร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ น่าจะขัดต่อประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) เพราะเป็นการดำเนินคดีซ้ำซ้อนกับคดีอาญาที่ศาลอาญามีคำพิพากษาไปแล้วและในเรื่องดังกล่าว บมจ. อสมท. ก็ได้ยื่นฟ้องคดีเองต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ไปเมื่อวันที่ 28 ก.ค.58 เป็นคดีหมายเลขดำ 8134/2558 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนมูลฟ้องว่าศาลจะรับฟ้องหรือไม่ ดังนั้นอัยการจึงไม่จำเป็นต้องฟ้องคดีเอง และเป็นที่น่าสงสัยว่าภาพถ่ายรายงานการสอบสวนคดีอาญา ประกอบด้วย ความเห็นพนักงานสอบสวน สรุปคำให้การของตน บจก.ไร่ส้ม และพยานในคดี ถูกนำไปเผยแพร่โดยสื่อมวลชนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังมีการแสดงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมที่ไม่ถูกต้อง ทำให้สาธารณชนเข้าใจว่าเป็นเรื่องใหม่ และชี้นำว่ามีการกระทำผิดอีก

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับความผิดฐานเกี่ยวกับเอกสาร มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี

'ธรรมกาย' ให้แพทยสภา ตรวจอาการ 'พระธัมมชโย'

ธรรมกายยินดีให้ทีมแพทยสภาเข้าตรวจอาการพระธัมมชโย ปัดถูกกล่าวหาใบรับรองแพทย์เท็จ ปฏิเสธข้อเสนอดีเอสไอ ส่งหมอรพ.ตำรวจเข้าร่วมตรวจสอบ หวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม...

3 มิ.ย.59 นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย เปิดเผยถึงกรณีที่คณะอนุกรรมการบริหารแพทยสภา เตรียมยื่นหนังสือขอความยินยอมมายังพระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย ในการเข้าตรวจอาการอาพาธตามคำร้องขอของกรมสอบสวนคดีพิเศษและคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย โดยได้ระบุว่าขอขอบคุณแพทยสภาที่เป็นที่พึ่งของคณะศิษยานุศิษย์ ซึ่งหากทีมแพทยสภามีการส่งจดหมายมาอย่างเป็นทางการ ก็จะนำเรียนให้พระธัมมชโยทราบตามขั้นตอน และต้องให้ทีมแพทย์ประเมินความพร้อมของพระธัมมชโยด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการประสานงานกับทางทีมแพทย์ พร้อมยืนยันว่าทีมแพทยสภาไม่ได้กล่าวหาว่าใบรับรองแพทย์เป็นเท็จ แต่กระบวนการในการออกใบรับรองแพทย์นั้นอาจต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม

สำหรับกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ มีความประสงค์ให้แพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจมาตรวจอาการพระธัมมชโยนั้น ทางคณะศิษยานุศิษย์ได้ยืนยันว่าไม่สมควรอย่างยิ่งเนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะมีการโพสต์ข้อความวิจารณ์พระธัมมชโยอย่างไม่เหมาะสมจากบุคคลที่ระบุว่าทำงานในโรงพยาบาลตำรวจ

อย่างไรก็ตาม ในเวลา 14.00 น. คณะศิษยานุศิษย์จะเดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรคลองหลวง ว่ามีบุคคลภายนอกแฝงตัวอยู่ภายในวัดพระธรรมกาย ตามคำให้สัมภาษณ์ของพระพุทธะอิสระ เพื่อเป็นการยืนยันว่าหากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงภายในวัด ก็ไม่ใช่เกิดจากลูกศิษย์ของวัดพระธรรมกายอย่างแน่นอน และบุคคลภายนอกที่แฝงตัวอยู่นั้นต้องมีส่วนรับผิดชอบ

นายองอาจ มองว่าสถานการณ์ในวัดพระธรรมกายผ่อนคลายลงมาก การรักษาความปลอดภัยก็ลดความเข้มงวดลง เป็นไปตามมาตรฐานปกติของวัดที่มีการตรวจตรารถที่ผ่านเข้าออกเพื่อความปลอดภัย.