ข่าว
เมลาเนีย ฟ้อง"เดลีเมล์" กล่าวหาเคยเป็นโสเภณี

นางเมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งสหรัฐอเมริกา ยื่นฟ้องสื่อออนไลน์ยอดนิยม เดลีเมล์ ออนไลน์ ในสหราชอาณาจักร กรณีตีพิมพ์ข่าวลือเมื่อเดือนสิงหาคม กล่าวหาว่าภรรยาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยทำงานเป็นเอสคอร์ต หรือ โสเภณีชั้นสูงในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 พร้อมเรียกค่าเสียหาย 150 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5,250 ล้านบาท )

ในคำฟ้องระบุว่า เธอและแบรนด์ของเธอ พลาดโอกาสมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ในการอนุญาตให้ใช้สิทธิ ทำการตลาดและโฆษณา ในฐานะหนึ่งในสตรีที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดในโลก ซึ่งถือเป็นโอกาสอันพิเศษแบบครั้งหนึ่งในชีวิต ในการทำกำไรจากสถานการณ์ที่เป็นบุคคลมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก ตลอดจนในฐานะนางแบบอาชีพ โฆษกของยี่ห้อสินค้าและนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

เมลาเนียซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ เมลาเนีย อ้างว่า เธออาจสานสัมพันธ์ทางธุรกิจหลายล้านดอลลาร์ในระยะหลายปี หากเดลีเมล์ไม่กล่าวหาเธออย่างเสียหาย ข่าวลือของสื่ออังกฤษรายนี้กระทบความสามารถในการขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า อัญมณี เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและอีกมากมาย

เดิม เมลาเนียเคยยื่นฟ้อง เมล์ มีเดีย อิงค์ ซึ่งตีพิมพ์เดลี เมล์ ออนไลน์ ที่รัฐแมรีแลนด์เมื่อกันยายน แต่ศาลไม่รับฟ้องเนื่องจากไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจศาล ทนายของเธอจึงยื่นฟ้องที่ศาลสูงรัฐนิวยอร์กแทน

ก่อนหน้านี้ เดลีเมล์ออนไลน์ ถอนบทความที่เป็นชนวนฟ้องร้องเมื่อ 20 สิงหาคม พร้อมชี้แจงว่า ไม่ได้ตั้งใจหรือชี้นำว่า ข้อกล่าวหาเหล่านั้นเป็นความจริง และไม่ได้มีเจตนาหรือชี้นำอีกเช่นกันว่านางทรัมป์เคยทำงานในธุรกิจทางเพศ

นางเมลาเนีย เป็นอดีตนางแบบสาวชาวสโลเวเนีย ที่เดินทางเข้าทำงานในสหรัฐฯ เมื่อปี 2539 ก่อนจะพบรักกับทรัมป์ ซึ่งมีอายุมากกว่าถึง 24 ปี และแต่งงานเป็นภรรยาคนที่ 3 จะกระทั่งมีลูกชายวัย 10 ขวบ ชื่อ บาร์รอน

ตู่ขอโทษสื่อ ยอมรับกดดัน หงุดหงิด ปชป.ชี้แก้คงคลัง

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา ต้องขอโทษเพราะบางทีก็หงุดหงิด ยุ่งๆ เหนื่อยกับการประชุมกอ.รมน.หลายเรื่องแล้วมาเจอปัญหา ที่ตนทราบคือรมว.คลังได้ชี้แจงแล้ว 2-3 รอบ ตนติดตามจากหนังสือพิมพ์เห็นว่ามีข่าว แต่พอมาถามซ้ำบางทีก็ไม่ไหวมันกดดันเยอะ แต่ตนไม่เคยปกปิดอะไรเลยขอให้เข้าใจ วันนี้ยังมีอาจารย์คนเดิมออกมาอีก ตนได้เล่าให้รมว.คลังไปแล้ว ก็บอกว่าอาจารย์อาจไม่เข้าใจในหลายเรื่องในเชิงปฏิบัติ ไม่ใช่ดูแต่ตัวเลขอย่างเดียวต้องดูวิธีปฏิบัติด้วย ฉะนั้น ยอดเงินต่างๆ กู้มากหรือกู้น้อยก็กู้มาทุกรัฐบาล ช่วงไหนใช้เยอะก็กู้เยอะแล้วใช้หมด ช่วงไหนกู้แล้วไม่ได้ใช้มันควรจะปลดล็อกไปบ้าง ไม่ใช่กู้มารอไว้เพราะบางช่วงดอกเบี้ยมันขึ้นลง ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องให้เงินเหล่านี้เหลือไว้มาก รัฐบาลนี้จะขับเคลื่อนหลายโครงการออกมาให้ได้ อาจทำให้ยอดการใช้จ่ายสูงขึ้น หากเรามีค้างไว้เยอะแล้วเบิกมาไม่ได้ก็จะถูกไล่เรื่องการใช้จ่ายงบอีก จะพันกันหมด

นายกฯกล่าวว่า ตนไม่ได้โกรธนักวิชาการ แต่เสนออะไรมาขอให้พูดด้วยข้อมูล หากสงสัยถามมาก็จะตอบ ทำความเข้าใจ ช่วยกัน อย่ามาจับผิดจับถูกตอนนี้ ตนไม่ต้องการให้มันรั่วไหล หรือใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง ทุกคนทราบดีว่าตนเข้ามาทำอะไร ไว้ใจตนแต่ไม่ไว้ใจคนอื่นมันก็ยาก เพราะเข้ามาทำงานให้คนอื่นด้วย ตนพยายามกำกับดูแลให้ดีที่สุดภายใต้กฎหมายระเบียบการเงินการคลัง ไปถามได้เลยว่าแตกต่างกับทุกรัฐบาลที่ผ่านมาหรือไม่ เพราะข้าราชการประจำเดิมๆ ก็ยังอยู่ ถามเขาเองแล้วกันถ้าถามเดี๋ยวหาว่าคุยโม้โอ้อวดอีก มันไม่ใช่

เมื่อถามว่าจะต้องมีแผนรองรับเงินคงคลังเพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เงินคงคลังกับเงินสำรองเป็นคนละเรื่องกัน เงินสำรองเรามีสูงมากลำดับที่ 18 ของโลก เพราะไม่ได้ใช้จ่ายเยอะ ยังคงคลังอยู่อย่างนั้น และอันนั้นจะเป็นตัวสร้างความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังมีความแข็งแกร่งอยู่ในด้านการเงิน เพราะมีเงินสำรองไว้เยอะมาก เคยมีบางรัฐบาลคิดจะเอามาใช้ แต่ตนไม่ใช่ก็เก็บไว้อย่างนั้น หลายประเทศเห็นว่าถ้าลงทุนในไทยแล้วมีปัญหารัฐบาลไทยยังมีเงินสำรอง นั่นแหละคือการสร้างความเชื่อมั่น

นายกฯกล่าวว่า เงินคงคลังตรงนี้มันน้อยแล้วโครงการเบิกจ่ายพอหรือไม่ ถ้าไม่พอก็กู้เงินมาเพิ่ม อันไหนไม่จำเป็นต้องกู้ก็ยังไม่กู้ ทำไมจะต้องเอาเงินมากองไว้ หากกู้มาจะต้องใช้ให้หมด โดยจะต้องมีโครงการที่ผ่านการตรวจสอบ ถ้าทำได้ก็ทำไปไม่เช่นนั้นจะติดกันทั้งหมด เงินเหลือเยอะ แต่โครงการทำไม่ได้จะมีประโยชน์อะไร ถ้ามองว่าเอาเงินไปใช้อะไร ตรงนี้ตรวจสอบได้เลย หน่วยราชการที่รับผิดชอบก็ไล่สอบกันได้ ถ้าไม่ไว้ใจ ตนไม่ได้ปิดบังอะไร


แฉเงินจากขบวนการค้ายา “ไซซะนะ” ใช้ก่อความไม่สงบทางภาคใต้ของไทย

อินดิเพนเดนท์ (สิงคโปร์) - สื่อสิงคโปร์รายงานว่า การจับกุมชายสัญชาติมาเลเซีย ที่เชื่อมโยงกับ นายไซซะนะ แก้วพิมพา เจ้าพ่อค้ายาระดับอาเซียน ค่อยๆเปิดโปง และเปิดเผยให้เห็นถึงขอบเขตที่แก๊งยาเสพติดมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาความไม่สงบทางการเมืองทางภาคใต้ของไทย

ในขณะเดียวกัน การจับกุมดังกล่าวยังเผยให้เห็นถึงบทบาทของสาขามาเลเซีย ของเครือข่ายเจ้าพ่อยาเสพติดชาวลาว ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

หนังสือพิมพ์อินดิเพนเดนท์ของสิงคโปร์ รายงานโดยอ้างกองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติดของไทย เผยว่า ตำรวจมาเลเซียได้จับผู้ต้องสงสัยค้ายารายใหญ่คนหนึ่ง ที่เชื่อมโยงกับนายไซซะนะ ซึ่งถูกรวบตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังบินมาจากจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 19 มกราคม

คามารูดิน บิน อาวาง ชายสัญชาติมาเลเซีย ถูกจับกุมในเคลันตัน เมื่อวันจันทร์ (6 ก.พ.) ขณะที่ทีมสืบสวนที่นำโดยตำรวจ เชื่อว่า เขาเป็นลูกเขยของ นายมารินิง จาโก หัวหน้าเครือขายยาเสพติดหนึ่งที่รับยามาจากทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย อินดิเพนเดนท์ ระบุ พร้อมอ้างข้อมูลจากตำรวจไทย เผยว่า ได้ติดตาม คามารูดิน มานานกว่า 5 ปี และนำไปสู่การจับกุมตัวเขาในที่สุด

อินดิเพนเดนท์ อ้างคำสัมภาษณ์ พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) เชื่อว่า เงินที่ได้จากการค้าขายยาเสพติดของคามารูดิน บางส่วนถูกใช้สนับสนุนการก่อความไม่สงบทางภาคใต้ของไทย

เป็นที่น่าสังเกตว่า การจับกุมครั้งนี้ไม่ถูกรายงานข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ของมาเลเซีย แต่ข้อมูลดังกล่าวมาจากคำพูดของ พล.ต.ท.สมหมาย ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไทย อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติดรายนี้อ้างว่า ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่ได้รับมาจากเจ้าหน้าที่มาเลเซีย

จนถึงตอนนี้ตำรวจมาเลเซียยังไม่แสดงความคิดเห็นต่อกรณีตำรวจไทย กล่าวหาว่า คามารูดิน คือ ผู้ต้องสงสัยเป็นแกนหลักในมาเลเซียของเครือข่ายนายไซซะนะ ขณะที่พวกเขาก็ไม่เคยออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆ เลย นับตั้งแต่นายไซซะนะถูกจับกุมในไทย

อินดิเพนเดนท์ อ้างตำรวจไทยเปิดเผยว่า จากการตรวจค้นพบเงินสดมากกว่า 30 ล้านบาท ซุกซ่อนไว้ในท่อที่บ้านพักของนายคามารูดิน พร้อมบอกว่า ชายชาวมาเลเซียรายนี้ รับยามาจากภาคเหนือ ก่อนส่งต่อมันไปยังมาเลเซีย ผ่านภาคใต้ของไทย

มีรายงานบ่งชี้ว่า เขายังเกี่ยวข้องกับการค้ายากับ นายอุสมาน สะแลแมง ซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนี และเป็นที่ต้องการตัวในข้อหาค้ายาเสพติดตามหมายจับในปี 2012 ขณะเดียวกัน เชื่อว่า นายคามารูดิน มีบ้าน 3 หลัง ในภาคใต้ของไทย ที่มีชาวมุสลิมเป็นคนส่วนใหญ่

ตำรวจไทยเผยว่า เวลานี้อยู่ระหว่างตรวจสอบเหล่าสหายชาวมาเลเซียของเขา เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับขอบเขตความเชื่อมโยงระหว่างผู้ต้องสงสัยรายนี้กับนายไซซะนะ


ปส.บุกยึดรถหรู3คัน พัน"เบนซ์-บอย-เอก”

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 8 กุมภาพันธ์นายณัฐวัฒน์ ห่วงมณีหรือ เอก บูโน่ เจ้าของเต็นท์รถ บูลโน ออโต คลินิก (BUONO AUTO CLINIC) ย่านพระราม3 ให้ปากคำกับตำรวจปส. นานกว่า 2 ชั่วโมง โดยนายณัฐวัฒน์ กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า วันนี้มาตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัว ซึ่งได้สอบปากคำกรณีของรถเท่านั้น โดยเตรียมเอกสารเป็นสำเนาทะเบียนรถเข้ามายืนยันว่า รถลัมโบร์กินีนั้น ได้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งชื่อผู้ครอบครองรถคันดังกล่าวเป็นชื่อของไฟแนนซ์

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า รู้จักนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ และนายณัฐพล หรือ บอย นาคคำ ด้วยหรือไม่ นายณัฐวัฒน์ ไม่ตอบคำถามใด ๆ ก่อนที่จะเดินกลับไปทันที

ด้านพล.ต.ท.สมหมาย สมหมาย กองวิสัยสุข ผบช.ปส. กล่าวว่า นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้ทำการอายัดรถต้องสงสัยเป็นรถหรูจำนวน 3 คัน มูลค่าคันละประมาณ 20ล้านบาท ที่บ้านพักแห่งหนึ่งในย่านประชาชื่น และพื้นที่ปริมณฑลอีก 2 แห่ง หลังจากทีมคลี่คลายคดีสืบทราบเบาะแสว่า รถทั้ง 3 คันดังกล่าว น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ และนายณัฐพล หรือ บอย นาคคำ เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องอายัดรถทั้ง 3 คันดังกล่าวมาทำการตรวจสอบให้แน่ชัดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินที่ได้มาจากขบวนการยาเสพติดหรือไม่ต่อไป


‘จุ๋ย-พุฒ’ แจ้งความ ปอท. 3 เว็บไซต์ดังปูดตั้งครรภ์

จุ๋ย-วรัทยา ดาราช่อง 3 ควงแฟนหนุ่ม ดีเจพุฒ เข้าแจ้งความ ปอท.ดำเนินคดีหมิ่นประมาท และนำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ กับเว็บไซต์ 3 เว็บ กับอีก 1 เฟซบุ๊ก กรณีนำเสนอข่าวอันเป็นเท็จว่า คู่จิ้น "พุฒ-จุ๋ย" ตั้งครรภ์

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 10 ก.พ. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นักแสดงสาวชื่อดัง ช่อง 3 "จุ๋ย-น.ส.วรัทยา นิลคูหา" พร้อม นายพุฒิชัย เกษตรสิน หรือ "ดีเจพุฒ" แฟนหนุ่ม ได้เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.กง ไม่เศร้า รองสารวัตร (สอบสวน) กก.3 บก.ปอท. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับเว็บไซต์ 3 เว็บ กับอีก 1 เฟซบุ๊ก กรณีนำเสนอข่าวอันเป็นเท็จว่า คู่จิ้น "พุฒ-จุ๋ย" ตั้งครรภ์

จากนั้น ทีมงานของ 2 ดาราที่มาด้วย เห็นสื่อมวลชนที่มานั่งรอทำข่าว ได้เข้ามาขอร้องว่าขอความเป็นส่วนตัว และไม่ให้ทำข่าว และจะมีการแถลงข่าวให้สังคมทราบเอง รายงานข่าวต่อว่า 3 เว็บไซต์ที่จุ๋ย-วรัทยาและดีเจพุฒ แจ้งความดำเนินคดีหมิ่นประมาท และนำข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ ประกอบด้วย เว็บไซต์ BTS Station.com เว็บไซต์ mahtem.com และเว็บไซต์ UpYim.com กับอีก 1 เฟซบุ๊ก กำลังให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าเป็นของใคร

ทั้งนี้ สาเหตุที่ จุ๋ย-วรัทยา และดีเจพุฒ มาแจ้งความ บก.ปอท. เนื่องจากก่อนหน้านี้ ในสังคมออนไลน์ มีข่าวลือว่า คู่จิ้น "พุฒ-จุ๋ย" ตั้งครรภ์ ต่อมาทั้งคู่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อยืนยันว่า ไม่ได้ท้อง และไม่ใช่เรื่องจริง หลังจากนั้นได้มีแชตสนทนาหลุดออกมา อ้างว่าเป็นเพื่อนสนิทคุยกับฝ่ายหญิงในเชิงปรึกษาว่า ตั้งท้องจะจัดการกับเด็กอย่างไร อาจจะต้องรีบแต่งงานเร็วๆ นี้ ทำให้ในสื่อออนไลน์นั้นโยงไปที่ "พุฒ-จุ๋ย" อีกครั้ง จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง สร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้ทั้งสองฝ่าย

ทรัมป์เงิบอีก แพ้ศาลอุทธรณ์ ไม่ฟื้นคำสั่งแบนมุสลิม7ชาติ

10 ก.พ.60 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แพ้อีกแล้วในความพยายามฟื้นคำสั่งแบนชาวมุสลิม 7 ชาติ เมื่อคณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางประจำเขต 9 ได้วินิจฉัยด้วยเสียงเอกฉันท์ 3 ต่อ 0 เสียง ตัดสินยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นรัฐบาลกลาง ไม่ฟื้นคำสั่งแบน 7 ชาติมุสลิม ชี้ รัฐบาลทรัมป์ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะมาออกคำสั่งพิเศษประธานาธิบดี ห้ามชาวมุสลิม 7 ชาติ และผู้ลี้ภัยทุกสัญชาติเข้าสหรัฐฯ เนื่องจากจะทำให้ประเทศชาติเสี่ยงต่อการเผชิญภัยก่อการร้าย

คำตัดสินของศาลอุทธรณ์เขต 9 ดังกล่าว หมายความว่า ประชาชนจากอิหร่าน อิรัก ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน และเยเมน ที่มีวีซ่าเข้าสหรัฐฯ อย่างถูกต้อง สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศสหรัฐฯ ได้ตามเดิมต่อไป อีกทั้งผู้ลี้ภัยจากทั่วโลกที่ได้รับอนุมัติให้เข้าสหรัฐฯ ก็สามารถเข้าสหรัฐฯ ได้เช่นกัน

ข่าวแจ้งว่า หลังจากศาลอุทธรณ์เขต 9 ตัดสินช็อกรัฐบาลทรัมป์อีกครั้ง ทำให้ทรัมป์ ออกมาทวีตข้อความทางทวิตเตอร์ด้วยความโกรธว่า ความมั่นคงของชาติตกอยู่ในความเสี่ยง และเป็นการท้าทายโดยกฎหมาย ขณะที่มีการคาดว่า เรื่องนี้รัฐบาลทรัมป์จะต่อสู้จนไปสิ้นสุดที่ศาลสูงหรือศาลฎีกา.