Inside Dara
“แพทตี้” รัก “แดน” หวาน บนพื้นฐานความมีเหตุผล

“เรื่องทะเลาะกันคู่เราไม่มีเลย แต่เรื่องเข้าใจไม่ตรงกันก็มีบ้าง ซึ่งถ้ามีเรื่องไม่เข้าใจกันเราจะคุยกันเลย พูดความเห็นของแต่ละฝ่ายและคุยกันจนกว่าจะเข้าใจ บอกเหตุผลที่เราต้องทำแบบนี้ จะเป็นแนวนั้นมากกว่า แต่เราไม่เคยมีปากเสียงกัน”

เป็นอีกนักแสดงที่ทำงานในวงการมาตั้งแต่เด็ก ๆ สำหรับสาว แพทตี้-อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา ที่นอกจากงานแสดงกำลังไปได้ดีแล้ว วันนี้เธอได้เติบโตอีกขั้นกับการลุกขึ้นมาเป็นเจ้าของธุรกิจอาหารเสริม “ดาวต่างมุม” เลยไม่รอช้า รีบนัดแนะสาวสวยคนนี้มาเปิดใจกันสักหน่อย รวมไปถึงถามไถ่เรื่องหัวใจกับหนุ่ม แดน-วรเวช ดานุวงศ์ ที่นับวันยิ่งเป็นสีชมพู จนน่าอิจฉาด้วย

บท “ของขวัญ“ ใน “ฮอร์โมน 2” เหมือนหรือต่างจากตัวแพทตี้มากน้อยแค่ไหน?

“คาแรกเตอร์ “ของขวัญ” ต่างจากตัวแพทมากเลย เพราะของขวัญเป็นคนแบบทุกอย่างต้องเพอร์เฟกต์ แต่ตัวแพทไม่ใช่แบบนั้น คือไม่ได้คิดว่าทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบเสมอไปสิ่งที่ได้เรียนรู้จากตัวละครนี้ คือการที่เราจริงจังกับบางเรื่องมากเกินไป สุดท้ายเราจะเครียดเอง ดังนั้นบางทีเราต้องยืดหยุ่นกับชีวิตบ้างก็ดีค่ะ”

ผ่านผลงานแสดงมาหลายเรื่องแล้ว ตอนนี้พอใจฝีมือการแสดงตัวเองรึยัง?

“หนูคิดว่ามันยังต้องพัฒนาและเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นะ เพราะส่วนใหญ่บทที่หนูรับมันก็เป็นแนวโรแมนติกคอมเมดี้ แต่หนังแนวดราม่าหรือสยองขวัญยังไม่เคยได้ลอง เลยไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง และหนูยังไม่เจอบทที่หนักมาก จริง ๆ เราก็อยากลองบทที่ท้าทายแบบนั้นค่ะ”

จากวันแรกถึงวันนี้ มุมมองการทำงานในวงการเปลี่ยนไปบ้างมั้ย?

“ต่างนะคะ อย่างก่อนเข้าวงการเราไม่อยากทำงานในวงการเลย เพราะเขิน คือมีโมเดลลิ่งมาติดต่อ และเราก็ให้เบอร์พี่สาวไป หลังจากนั้นเขาให้เราไปแคสติ้งหนังเรื่อง “ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น” พี่สาวเราก็ไปรับปากเขาอย่างดิบดี ตอนแรกเราไม่อยากไป แต่สุดท้ายก็ต้องไป เพราะเขาตกลงกันแล้ว และเราก็เข้าวงการมาแบบไม่คาดหวัง ซึ่งพอเข้ามาทำก็รู้สึกสนุกมาก จนมาถึงอีกช่วงที่เรารู้สึกว่าทำงานแล้วเหนื่อยและท้อ เพราะบางทีความเป็นส่วนตัวก็ไม่มี จนเราก็ยังคิดว่าหรือเราจะไม่ได้ถูกกำหนดมาอยู่ด้านนี้รึเปล่า แต่ทุกวันนี้โอเคแล้วค่ะ คิดว่าก็ทำงานไปเรื่อย ๆ และหาอย่างอื่นเสริมไปด้วย ส่วนความคาดหวังที่อยู่ในวงการ ณ วันนี้หนูคิดว่าถ้าเราเดินมาถึงจุดนึง ก็อาจจะเริ่มเฟดตัวออก เพราะรู้สึกว่าพอเราเริ่มแก่ เราก็อยากไปเที่ยว (หัวเราะ) ทุกวันนี้เราทำงานก็อยากเก็บตังค์ แต่พอมาถึงจุดนึงเราก็ไม่อยากทำงานหนักแล้ว อยากใช้ชีวิตจริง ๆ ค่ะ”

คิดมั้ยว่าอยากรีไทร์ตัวเองจากวงการเมื่อไหร่ดี?

“ตอนนี้หนูอายุ 23 ปี แล้ว ก็เคยคิดเล่น ๆ นะว่าถ้าขึ้นเลข 3 ก็คงอาจจะเริ่มถอย แต่เราก็ต้องดูตอนนั้นด้วยว่าเราจะเป็นยังไง แต่ถ้าให้คิดคร่าว ๆ ถ้าตอนอายุเท่านั้นหนูคงอยากไปทำอะไรที่ชิล ชิล ได้พักผ่อน หนูอยากเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ซีเรียสกับงาน เพราะเวลาที่เราได้รับบทหนัก ๆ มันก็เหมือนทำลายสุขภาพนิดนึง ดังนั้นพอเราแก่แล้วก็อยากเอ็นจอยกับชีวิตจริง ๆ เก็บเงินแล้วก็เอาไปเที่ยวเมืองนอกแบบอยู่เป็นเดือน ๆ เลย (ยิ้ม)”

แบบนี้รึเปล่าเราถึงเริ่มทำธุรกิจอาหารเสริม “แพทตี้อัง ไวท์ แอนด์ บล็อก”?

“ก็ด้วยนะคะ เพราะเรารู้สึกว่าเรายังเด็กอยู่ ทำได้ก็ทำไปก่อน จุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้มันเหมือนเป็นรุ่นต่อรุ่น คืออากงแพทเป็นหมอแมะที่เชี่ยวชาญสมุนไพรจีน แล้วก็สืบทอดมาถึงมาม้า คือตอนเด็กเราจะโดนจับกินวิตามินเป็นกำ ๆ ซึ่งเราก็ไม่ชอบ แต่พอเราโตขึ้น ใช้ร่างกายทำงานเยอะ ก็รู้เลยว่าอาหารเสริมพวกนี้มันช่วยร่างกายเราจริง ๆ เลยเป็นจุดเริ่มต้นทำ เพื่อสานต่อธุรกิจครอบครัวด้วยค่ะ”

จากนักแสดงมาเป็นนักธุรกิจ รู้สึกยังไงบ้าง?

“เราเริ่มจากที่ไม่เคยทำอะไรเลย ก็มีคุณแม่เป็นที่ปรึกษา แล้วท่านก็ปล่อยให้เราอยากทำอะไรก็ทำ ซึ่งมันหนักเลยนะ เพราะเราทำตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการ กระทั่งดิวงานทุกอย่างเอง ก็มีจุดที่เราเหนื่อยและท้อมากแบบไม่อยากทำแล้ว แต่สุดท้ายเราก็คิดว่าตัดสินใจทำแล้วก็ห้ามถอย เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุน้อย มันก็เหนื่อยกว่าเด็กคนอื่น แต่เรามีฝันค่ะว่าถ้าอนาคตอยากจะสบาย ทุกวันนี้ก็ต้องทำงานให้มันหนักและถ้ามันประสบความสำเร็จในวันนึง ก็เพราะอย่างน้อยเราได้เริ่มทำ คือทำธุรกิจนี้ก็สอนให้เรารู้ว่าถ้าคิดอยากทำอะไรต้องพยายามทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองได้เริ่มทำก่อน ตอนเด็กแพทอยากทำทุกอย่างเต็มไปหมด แต่ก็ไม่ได้เริ่มทำ เพราะปรึกษาใครแล้วสุดท้ายเราต้องเดินคนเดียว เราก็คิดว่าจะไหวมั้ย แต่พอเราเริ่มได้ทำงาน ก็ทำให้เราต้องฮึดทำให้ได้”

ถามถึงเรื่องความรักกับ “แดน-วรเวช” บ้าง ทั้ง ๆ ที่ทั้งคู่ก็รักกันดี แต่มักชอบมีข่าวว่าเลิกกันออกมาเรื่อย ๆ เลย?

“ชินมากกว่าค่ะ กับข่าวที่ออกมาเราไม่ได้นอยด์กันเลย เพราะว่ามันไม่ใช่ ก็ไม่คิดมาก ส่วนที่ก่อนหน้านี้ที่มีหมอดูทักว่าจะเลิกกัน คือหนูก็ไม่ถึงกับไม่เชื่อนะคะ แต่สุดท้ายมันอยู่ที่คนสองคนว่าคบกันแบบไหน ยังคุยกันดีมั้ย หรือมีอะไรก็ชอบชวนทะเลาะกัน ถ้าอย่างนั้นเราก็เริ่มรู้แล้วว่าสุดท้ายเราอาจจะไปไม่รอด ไม่ต้องให้ใครมาดูก็ได้ ส่วนเชื่อเรื่องดวงมั้ย คือมันก็ห้าสิบห้าสิบ หนูเชื่อว่าชีวิตเราบางทีก็ถูกลิขิตมาก่อนแล้ว แต่สุดท้ายมันอยู่ที่เราจะเลือกเดินทางไหนค่ะ”

คบมา 4 ปีแล้ว ยังต้องปรับกันอยู่อีกมั้ย?

“หลัง ๆ ก็ปรับน้อยลง แต่ก็ยังมีอยู่ ด้วยความที่เราไม่ได้เกิดมาจากสังคมเดียวกัน หนูว่าทุกคู่ต้องเป็นนะ พอเราใช้เวลาด้วยกันมาสักระยะนึง ความเป็นตัวตนบางอย่างก็จะออกมา ก็จะทำให้เรารู้ว่ามันเป็นแบบนี้นะ ต้องปรับไปอย่างนี้ พอมีเรื่องใหม่เข้ามา ก็ต้องปรับจูนกันไป เราต้องปรับไปเรื่อย ๆ แต่ปรับไปในที่นี้ต้องโอเคทั้งคู่ ถ้าปรับแล้วมันฝืนตัวเอง ไม่เวิร์กก็ต้องรู้ตัวเองว่ามันอาจจะต้องเดินคนละทาง เรื่องอย่างนี้หนูว่ามันต้องใช้เวลาค่ะ”

จนถึงวันนี้ “แดน” พิสูจน์ตัวเองกับเราได้รึยัง?

“โอเคค่ะ แต่อย่างที่บอกว่าเราต้องดูอนาคตไปเรื่อย ๆ คือระยะเวลาที่เราเติบโตขึ้นมันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ที่เจอ เราเจออะไรมามันก็ทำให้เราโตขึ้น และเปลี่ยนแปลงความคิดเราไปในบางเรื่องด้วย ถามว่ามุมมองความรักแพทเปลี่ยนไปจากตอนเด็กมั้ย จริง ๆ ตอนเด็กหนูไม่ค่อยอะไรกับความรักเลย ไม่รู้ว่าการคบกับใครแบบไหนถึงเรียกว่าความรัก มันเป็นไปตามความรู้สึกล้วน ๆ จนมาถึงวันนี้ก็เริ่มรู้แล้วว่าความรักมันเป็นแบบไหน แม้จะมีงง ๆ บ้าง (ยิ้ม) แต่เราก็รู้ว่าสุดท้ายแล้วชีวิตรักอย่างคุณพ่อคุณแม่เรา ทำไมเขาถึงอยู่ด้วยกันได้จนถึงแก่โดยที่ไม่เบื่อกัน ก็เพราะว่ามันมีทั้งความเป็นเพื่อนและเป็นให้กันได้ทุกสถานะค่ะ”

ความประทับใจที่มีต่อ “แดน” ล่ะ?

“มีหลายอย่างนะคะ อย่างแรกคือเขาเป็นคนที่รักครอบครัวและพวกพ้องมาก พอได้มารู้จักกันเขาเป็นคนที่มองโลกแง่บวกสูงมาก แม้ใครเคยทำไม่ดีให้เขา เขาก็ไม่โกรธหรือเกลียด เหมือนเขาพยายามหาเหตุผลให้กับมันตลอดว่าทำไมคนนั้นถึงทำไม่ดีกับเขาค่ะ”

เคล็ดลับในการดูแลความรักของทั้งคู่?

“การใส่ใจกันเยอะ ๆ อย่างเขาทำงานมา ก็ถามไถ่เขาหน่อยว่าเหนื่อยมั้ย เป็นยังไงบ้าง ไม่จู้จี้จุกจิก เจอกันก็ต้องแฮปปี้ ยิ้มแย้ม ไม่ใช่เจอกันแล้วไม่มีความสุขก็ไม่เวิร์กค่ะ ส่วนเรื่องทะเลาะกันคู่เราไม่มีเลย แต่เรื่องเข้าใจไม่ตรงกันก็มีบ้าง ซึ่งถ้ามีเรื่องไม่เข้าใจกันเราจะคุยกันเลย พูดความเห็นของแต่ละฝ่ายและคุยกันจนกว่าจะเข้าใจ บอกเหตุผลที่เราต้องทำแบบนี้ จะเป็นแนวนั้นมากกว่า แต่เราไม่เคยมีปากเสียงกัน คือมันไม่เวิร์กเลย เพราะถ้าทะเลาะกันด้วยอารมณ์ที่รุนแรง ก็จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดีแน่นอน ทั้งสีหน้า พฤติกรรม ก็จะรู้สึกแย่ต่อกันค่ะ”

อายุเป็นอุปสรรคในการคบกันบ้างมั้ย?

“เราห่างกัน 7 ปีค่ะ แต่สำหรับหนูเรื่องอายุไม่ได้เป็นปัญหา แต่มันก็มีแค่เรื่องแนวคิดนิดหน่อย ด้วยความที่ว่าประสบการณ์ในการทำงานเราน้อยกว่าเขา ปัญหาที่เราเจอก็น้อยกว่าเขา วิธีการแก้ปัญหาของเราก็จะมีอยู่ในระดับนึงไม่เท่าเขา เพราะเขาเจออะไรที่เยอะกว่า วิธีคิดก็จะกว้างกว่าเรา จัดการกับปัญหาได้ง่ายกว่าเรา ซึ่งมันก็กลายเป็นดีนะ คือพอเขาเคยเจอปัญหาแบบนี้มาแล้ว เขาก็จะบอกเราได้ว่าถ้าเดินทางนี้มันจะเป็นแบบไหน อย่างน้อยมันก็มีไกด์แนะนำไว้ก่อน แต่แพทไม่ได้เชื่อเขาทุกอย่าง เพราะเขาจะให้ตัวเลือกแต่สุดท้ายเราก็ต้องมาคิดตรองกับตัวเองว่าอยากเป็นแบบไหนค่ะ”

สุดท้ายความคาดหวังต่อความรักของแพทตี้?

“จริง ๆ หนูไม่อยากคาดหวังอะไรอยู่แล้ว ก็เอาเป็นว่าถ้าวันนี้มันยังดี แล้วอนาคตมันยังดี ก็โอเค แต่ถ้ามันไม่โอเคจนต้องแยกจากกัน ก็คงต้องไปแยกตามเหตุผลที่มันมี คือความรักเราต้องมีเหตุผลซัพพอร์ต เพราะสุดท้ายเราและเขาก็ต้องเป็นตัวเอง ในความเป็นตัวตนเวลาที่มาอยู่ด้วยกัน เรารับข้อเสียเขาได้มั้ย เพราะถ้าเรารับข้อเสียเขาไม่ได้ ยังไงมันก็อยู่กันไม่ได้ แต่ถ้าเรารับข้อเสียกันได้ เราก็จะไม่ทะเลาะกัน และถ้ามันเป็นไปได้ดีเรื่อย ๆ ก็อาจจะได้ไปถึงวันนั้นที่เราอยู่ด้วยกันค่ะ”

เห็นมุมมองทั้งเรื่องงานและความรักของสาวคนนี้แล้ว ต้องบอกว่าเธอเป็นอีกคนที่มีดีทั้งหน้าตาและสมองจริง ๆ จ้า.