Inside Dara
'แอปเปิ้ล สีสะเหงียน' สาวสวยจากลาว รักรุ่ง มุ่งเรื่องงาน

ช่วงนี้ฝนฟ้าตกกันแทบทุกวัน เรียกว่าทั่วประเทศชื่นช่ำกันไป แต่ยังไงก็ต้องดูแลสุขภาพกันด้วย ส่วนโลกสีสวยของเราวันนี้ เราภูมิใจเสนอสาวสวยอิมพอร์ตจากประเทศบ้านพี่เมืองน้องของเราที่ชื่อแปลกว่า “สีสะเหงียน สีหาราช” หรือ “แอปเปิ้ล” สาวสวยคนนี้มีชื่อเสียงมากขึ้นเมื่อตอนที่มีข่าวกับหวานใจตัวจริง “ฟลุ๊ค ซีควินท์” และยิ่งตอนนี้เธอยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้น เพราะทั้งงานโฆษณาและงานพิธีกรนั้นเข้ามามากมายเหลือเกิน แต่ก็ยังไม่มีใครเคยรู้ที่มาที่ไปของชื่อแอปเปิ้ลคนนี้ เพราะฟังครั้งแรกก็แปลกหู เอาละเริ่มต้นกับคำถามแรกกับสาวมากความสามารถคนนี้กันเลยแล้วกัน

ชื่อ สีสะเหงียน แปลว่าอะไร?

“จริง ๆ ไม่มีความหมาย คือ คุณแม่ชื่อสีสะหง่า พี่ชื่อสีสะหงวนพอแอปเปิ้ล ออกมาแม่ก็บอกรักลูกคนนี้จัง สีสะเหงียน เลยแล้วกัน (หัวเราะ) คือแม่อยากจะให้คล้องจองกัน แล้วพอมีน้องคนเล็กออกมาอีกคนคุณแม่ก็จะตั้งชื่อให้เป็น สีสะเหงียม (หัวเราะ) คืออยากให้คล้องจองกันทั้งบ้าน น้องเปิ้ลชื่อนี้มาถึงอายุ 10 ขวบ เปิ้ลก็บอกแม่ว่าขอเถอะสงสารน้อง แม่ก็โอเค อนุญาตให้เปลี่ยนชื่อ พิลารัก น้องก็ชื่อเพราะอยู่คนเดียวทั้งบ้าน”

ชีวิตที่เมืองไทยกับที่ลาว ต่างกันเยอะไหม

“ต่างกันเยอะมาก ชีวิตเมืองไทยมาแรก ๆ ไม่มีใครดูแล อยู่คนเดียวทำเองทุกอย่าง ล้างจาน ซักผ้า เก็บห้อง ทำเองหมด แต่ตอนที่อยู่ลาว สบายเพราะว่ามีพี่เลี้ยง มีคนดูแล มีกระเป๋าตังค์ของพ่อแม่ ที่เราสามารถหยิบได้ตลอดเวลา แต่พอมาที่นี่ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งเคยกดเอทีเอ็ม จนเงินเหลืออยู่ศูนย์บาท ตอนนั้นช็อกมาก ตายแล้วทำไงดี เพราะเมื่อก่อนเราอยู่บ้าน อยู่ที่ลาวจะเอาเงินหยิบตอนไหนก็ได้ แต่พอมาอยู่เมืองไทยมันต้องวางแผนการใช้ชีวิตเองทุกอย่างรวมถึงเรื่องเงินด้วย”

มีท้อไหม ช่วงมาใหม่ ๆ แบบไม่ไหวแล้วเหงากลับบ้านดีกว่า?

“มีค่ะ มาเรียนเทอมแรกปุ๊บ มีที่แบบไม่ไหวแล้ว ก็ไม่รู้จะทำยังไงไม่อยากอยู่แล้ว แต่ก็ไม่กล้ากลับลาว เลยหนีไปหาพี่สาวที่แคนาดา ไปอยู่แคนาดาหลายเดือนมาก คือตอนนั้นแบบไม่ชิน อยู่ไม่ได้ท้อ เหมือนเราบินไปตั้งหลัก คือตอนนั้นจะบอกพี่ฟลุ๊ค ก็ไม่กล้าบอก ต้องมีฟอร์มนิดหนึ่งจะบอกเขาว่าเราโง่ก็ไม่ได้ (หัวเราะ) คือไม่กล้าบอกใคร บอกพ่อแม่ก็ไม่ได้กลัวเขาเป็นห่วง เลยไปหาพี่เลยดีกว่า ส่วนเรียนก็ดร็อปเอาไว้ ไปอยู่กับพี่หลายเดือนคิดว่าพี่เข้าใจเรา เพราะว่าเขาเรียนต่างประเทศเหมือนกัน เขาน่าจะเข้าใจเรามากที่สุด พี่ก็สอนมาหลายอย่าง เราก็เริ่มเรียนรู้มากขึ้น พอตั้งหลักได้ก็บินกลับมาเรียนต่อ

พอกลับมาก็เริ่มต้นใหม่หมด ตั้งแต่เรื่องไปเรียนคือนั่งแท็กซี่ เมื่อก่อนกลับก็นั่งแท็กซี่ นั่งรถไฟฟ้า เราใส่ส้นสูงแล้วเดินไม่ได้ ก็ขอพ่อขอแม่ซื้อรถ ส่วนคอนโดฯอยู่ไกลมาก มันทำให้แบบการไปมาลำบากก็ย้ายคอนโดฯเลย แล้วก็หาแม่บ้านมาทำห้องให้ทุกอาทิตย์ ก็ค่อย ๆ แก้ปัญหา ค่อยปรับตัวให้เข้ากับสภาพที่เป็นอยู่ คิดไปก็น่าสงสารตัวเองเนอะ เด็กตัวเล็ก ๆ คนเดียว (หัวเราะ)”

แล้วไปเรียนไม่มีเพื่อนเลยเหรอ ไม่ปรึกษาเพื่อนที่มหาวิทยาลัยล่ะ?

“คือตอนที่อยู่ลาว ไม่รู้จักการเข้าหาเพื่อนเลย เพราะด้วยสังคมเรามันมีแบบเพื่อนที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว และอีกอย่างครอบครับเรามีแต่คนเข้าหาไง เราก็ไม่เคยเลย ว่าเราต้องเป็นคนเข้าหาคนอื่น หาเพื่อนบ้าง ซึ่งเป็นคนนิสัยเสียมากตอนนั้น แต่พอกลับมาเราเริ่มรู้แล้วว่าเราต้องเข้าหาเพื่อน คือตอนไปอยู่แคนาดา พี่ก็สอนให้คิด และตอนนั้นว่างมากเลยเริ่มนั่งคิด พอคิดได้กลับมาเราก็เปลี่ยนตัวเอง เริ่มที่จะเข้าหาคนอื่น ๆ บ้าง ต้องไม่หยิ่ง เมื่อก่อนเปิ้ลอาจจะเป็นคนหยิ่งนิดหนึ่ง แต่หลัง ๆ รู้แล้วว่าคนเราถ้าอยากจะให้คนอื่นรักเรา เราต้องรักเขาก่อน เราต้องให้เขาก่อน เขาถึงจะให้เรา อันนี้คือจุดเปลี่ยนมากในชีวิต พอเราเปลี่ยนทำให้เราได้เจอรุ่นพี่คนหนึ่งที่เขารักเราจริง ๆ มีเพื่อนที่รักเรา คือหลังจากที่เปิ้ลรู้จักให้ ทำให้การอยู่เมืองไทยมีความสุขขึ้น มีคนคอยให้ความช่วยเหลือ เราช่วยเขา เขาช่วยเรา จากที่เราหยิ่ง ยโส คอแข็ง กลายเป็นตกกระป๋องเลยจ้า (หัวเราะ) ขนาดเรื่องเรียนก็เพิ่งรู้ว่าเวลาที่จะลงวิชาเรียน เราต้องลงเรียนเอง แบบงงมากตอนนั้น”

เรียกว่าตอนนี้สามารถลำบากได้แล้ว?

“คือตอนนี้สบายมาก กินส้มตำทุกวันเลย (หัวเราะ) คือรู้หมด รู้แล้วว่าจะต้องใช้ชีวิตยังไง พอเรารู้แล้ว เรามีประสบการณ์แล้ว ก็กลับไปสอนน้องอย่างเดียว งานนี้ทำให้แม่ภูมิใจมากว่าลูกฉันเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกว่าเมื่อก่อนมาก (หัวเราะ) ขนาดเปิ้ลเอง กลับไปมองตัวเองว่าเราเป็นคนแบบนั้นจริง ๆเหรอ แต่หลัง ๆ กลายเป็นคนมีแปลนตลอดเลย ทำอะไรต้องวางแผน ต้องมีแผนสำรอง เป็นแบบนี้จนที่บ้านด่า (หัวเราะ) เลยบอกไปว่า เพราะว่าที่ผ่านมาเราพลาดมาเยอะ”

แล้วเริ่มเข้าวงการได้ยังไง?

“แรก ๆ ไม่อยากทำงาน มีอยู่คนหนึ่งชื่อพี่ปู เขาก็ชวนอยู่ประมาณปีสองปี พี่ฟลุ๊คชวนก็ไม่ทำ ไม่อยากทำอะไร แต่หลัง ๆ เริ่มมีความคิดว่า เพราะว่าเราเห็นพี่ฟลุ๊คด้วย เวลาที่เขาถ่ายละครเขาได้เงินมาเยอะ แล้วเขาก็แบ่งเงินให้แม่เขา เปิ้ลเห็นเขาเขียนเช็คให้แม่เขาด้วยความภาคภูมิใจ เราเห็นแล้วแบบดีอ่ะ แล้วเปิ้ลเห็นหน้าแม่เขาแบบภูมิใจ น้ำตาจะไหล

เปิ้ลเลยอยากให้แม่เปิ้ลมีความรู้สึกแบบนั้นบ้าง แล้วอย่างวันเกิดพ่อพี่ฟลุ๊ค พี่ฟลุ๊คซื้อเก้าอี้ตัวละแสนให้พ่อเขา เราเห็นเราก็อยากจะซื้อให้พ่อเราบ้าง เปิ้ลก็เลยคิดใหม่เราต้องทำงานแล้ว เราอยากซื้อของให้พ่อแม่เราบ้าง อิจฉาพี่ฟลุ๊ค (หัวเราะ) เปิ้ลเลยติดต่อหาพี่ปูเองเลย หลังจากผ่านไปสองปี (หัวเราะ) แต่พี่ปูก็ยังให้โอกาสได้ถ่ายคอลัมน์แรก ตอนนั้นได้มา 5,000 บาท โอ้...ดีใจ แล้วจากนั้นพี่เขาก็โทรฯมาอีกบอกให้เราขึ้นปกนิตยสารชีส ตอนนั้นแบบดีใจมาก แล้วพอขึ้นปกไปได้ไม่เท่าไร มีงานเข้ามาเยอะมาก

จากงานที่เข้ามาทำให้เปิ้ลเก็บเงินได้เป็นก้อนแล้ว ก็เลยซื้อไอแพดให้พ่อ กลัวพ่อเหงาเลยซื้อไอแพดให้พ่อไว้เล่นเกม แล้วซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมให้แม่ แล้วถ้ามีเงินก็ใส่ซองให้เขา คือเขาไม่ได้ต้องการเลย แต่มันเป็นความอิ่มอกอิ่มใจของเขาที่ลูกทำให้ แล้วเราเองก็พอทำแล้วได้ เห็นเขาปลื้มเราก็ภูมิใจในตัวเอง และจุดนี้แหละที่ทำให้เราทำงานในวงการต่อไป”

ขอถามเรื่องความรักหน่อยกับฟลุ๊ค ได้ข่าวว่าเจอกันจากทางไฮไฟว์?

“ใช่ค่ะ (หัวเราะ) ดูเก่ามากเนอะ คือตอนนั้นเปิ้ลอยู่ลาว กำลังทำเรื่องไปเรียนที่อเมริกา คิดว่าพี่อยู่แคนาดา เราไปอเมริกาดีกว่าจะได้เที่ยวเล่นสองประเทศ แล้ววันหนึ่งมีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในไฮไฟว์ของเรา เข้ามาชวนไปเป็นแบบในโมเดลลิ่งเขา เราเห็นก็แบบหล่อจังเลย (หัวเราะ) คือตอนนั้นพี่ฟลุ๊คเขาทำโมเดลลิ่ง เปิ้ลก็แบบเราเป็นคนลาว เราไปไม่ได้หรอก พี่ฟลุ๊คก็แบบจริงเหรอมันเหมือนมีความตื่นเต้นพอรู้ว่าเป็นคนลาว เปิ้ลก็ตอบ ๆ ไปงั้น ๆ ทุกอย่างก็จบ

ผ่านไปสองสามเดือน เปิ้ลทำเรื่องไปอเมริกาเสร็จ ก็จะเตรียมตัวไปอเมริกาแล้ว ก็บินมากรุงเทพฯเพื่อมาซื้อของที่สยาม ก็เดินสวนกับพี่ฟลุ๊คนั่นแหละ เปิ้ลก็จำเขาได้แต่ก็ไม่ได้ทัก เพราะไม่ได้คิดอะไร แต่เขาเข้ามาทัก เขาบอกนี่คือคนลาวเหรอ แล้วทำไมมาเดินอยู่กรุงเทพฯได้ไง เปิ้ลก็บอกว่ามาชอปปิง วันนั้นเขาก็ช่วยถือของให้เลย เดินเป็นเพื่อนซื้อของด้วยทั้งวัน แล้วไปส่งที่โรงแรมด้วย ตอนนั้นเปิ้ลมากับเพื่อนสองคน”

ตอนนั้นรู้สึกยังไง ไม่กลัวเหรอ?

“ไม่กลัวนะเพราะว่าเขามาดี แต่ก็ยังไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไร แต่ก็แอบชอบ ขาวไง (หัวเราะ) แต่ในใจก็คิดว่าต้องใช่แน่ ๆ เลย แต่ไม่กล้ายิ้ม ไม่กล้าแสดงออก แต่ก็รู้แล้วแหละว่าเขาจีบเรา จนเปิ้ลกลับไปลาว พี่ฟลุ๊คก็ยังโทรฯติดต่อ ตอนนั้นค่าโทรศัพท์แพงมากคือเขาทำแบบจริงจังมาก เราก็คุยกันเรื่อย ๆ จนใกล้เวลาไปอเมริกาแล้ว พี่ฟลุ๊คเขาก็บอกว่าอย่าไปเลย เขาบอกว่าถ้าเธอไปอเมริกาชีวิตรักเราจบแน่ ๆ คือเหมือนยุให้มาเรียนเมืองไทย แล้วตอนนั้นเปิ้ลก็เริ่มมีใจ ก็เริ่มคิดว่าจะเอาไงดี เรียนเมืองไทยดีไหม ก็เลยไปคุยกับแม่ เริ่มมองเห็นข้อดีที่นี่ (หัวเราะ) แม่ก็เห็นด้วย ซึ่งพี่ฟลุ๊คนี่แหละเป็นคนติดต่อมหาวิทยาลัยให้”

เคยทะเลาะกันไหม?

“มีค่ะ มีบ้างเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรแรง ๆ”

หึงล่ะ?

“ก็มีครั้งเดียวนั่นแหละที่เป็นข่าว (หัวเราะ) เพราะว่าเราไม่รู้จักพี่พิ้งกี้ (สาวิกา ไชยเดช) คือไม่รู้จักเลย แล้วเขามาสนิทกับพี่ฟลุ๊ค แล้วพี่ฟลุ๊คไม่เคยสนิทกับผู้หญิงคนไหนเลย ตั้งแต่คบกันมา 5-6 ปี เขาไม่มีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิงเลย เราไม่เคยเห็นแบบนี้ เราก็เลยแบบเกินเปิ้ลไปแล้ว เห็นเขาคุยไลน์กัน กินข้าวกัน ถามไถ่ไปไหนทำอะไร คือมันเหมือนเขาเป็นเพื่อนกัน แต่เราไม่รู้จักไง แล้วพี่ฟลุ๊คก็ไม่รู้ว่าเราเริ่มหึง พอหลัง ๆเราก็เริ่มจะทนไม่ได้ก็แสดงออก พี่เขาก็เริ่มรู้ว่าเราหึง พี่ฟลุ๊คก็เลยพามารู้จักพี่พิ้งกี้ พอรู้จักเราก็สัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกัน เขาเป็นเพื่อนกัน ทุกอย่างก็เริ่มกลับมาดีขึ้น นี่คือครั้งแรกที่หนัก จริง ๆ พี่พิ้งกี้เขาไม่ได้เกี่ยวเลย เราเองแหละที่คิดมาก (หัวเราะ)”

น่ารักขนาดนี้ เราจึงไม่แปลกใจว่าทำไม ฟลุ๊ค ซีควินท์ ถึงไปไหนไม่รอด และแปลนจะวิวาห์อีก 5 ปีข้างหน้า เอ๊า...เราก็ขอให้สาวสวยคนนี้ประสบความสำเร็จทั้งหน้าที่การงานและความรัก นะจ๊ะ.