Inside Dara
“เก้า” กับตัวตนที่ไม่ได้ซาบซ่าเหมือน“สไปรท์”

บทนักเรียนสาวสวยสุดแซบอย่าง “สไปร์ท” ในซีรีส์เรื่อง “ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น” ได้ทำให้ชื่อของนางเอกรุ่นเล็ก เก้า-สุภัสสรา ธนชาต แจ้งเกิดขึ้นมา พร้อมทั้งการปรากฏตัวบนแผงหนังสือ และงานอีเวนท์ต่างๆที่จ่อคิวตามตัว วันนี้เลยขอนัดคุยกับสาวฮอตคนล่าสุด เพื่อทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้น พร้อมกับคำถามที่ใคร ๆ หลายคนอยากรู้ว่าตัวตนจริง ๆ ของเธอจะเหมือนกับบทบาทที่ได้รับหรือเปล่า

อัพเดทผลงานหน่อย?

“ตอนนี้มี “จีทีเอช ไซด์ สตอรี่” เป็นหนังสั้นต่ออีกนิดเอาใจคนดูว่าเรื่องราวของไผ่กับสไปซ์จะเป็นอย่างไรต่อไปจากซีซั่นแรก แล้วก็จะมีงาน “ฮอร์โมน เดย์ ฮอร์โมน ไนท์ ว้าวุ่น..วันยันค่ำ” วันที่ 8 ต.ค.นี้ค่ะ นอกจากการแสดง ก็จะมีการเต้น การร้องเพลง พวกเราทุกคนก็ได้ฝึกซ้อมเป็นอย่างดี แต่เก้าจะหนักกว่าคนอื่นหน่อย เพราะว่าเต้นไม่ค่อยเป็น ก็ต้องรอดูวันจริงว่าจะเป็นยังไง ส่วนงานละครตอนนี้ยังไม่คอนเฟิร์มอะไรขนาดนั้นค่ะ แต่เราได้ยินผู้ใหญ่ทางทีวีธันเดอร์เปรยๆมาบ้างว่า ทางช่อง 3 มีติดต่อเข้ามานะ แต่ผู้ใหญ่บอกว่าขอดูเนื้อหา ดูบทให้มันเหมาะกับเราด้วย เพราะถ้าบทไม่เหมาะสมกับเรา มันก็ไม่ได้”

กระแสฮอรโมนฯ ทำให้งานรุมเลยทั้งอีเวนท์ ละคร?

“เก้าว่ามันเป็นแค่ช่วงหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป อย่างช่วงนี้ก็รับงานน้อยลง เพราะเราเปิดเทอมแล้ว รู้สึกว่าไม่อยากให้มันกระทบการเรียนมาก เพราะเพิ่งเปิดเทอมมาได้ 3-4 สัปดาห์ อย่างที่รู้ว่าเปิดตามอาเซียน เลยค่อนข้างซีเรียสหน่อย แต่การเรียนก็ยังโอเคอยู่ ตอนนี้เก้าเรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่เลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ เพราะที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ จริงๆตั้งใจจะจบ 3 ปีครึ่งนะคะ แต่ระบบใหม่เขาไม่ให้ลงเรียนช่วงซัมเมอร์ แล้วเราทำงานไปด้วย เวลาเปิดเทอมก็ต้องลงน้อยกว่าชาวบ้าน มันก็เริ่มยากแล้วว่าจะจบ 3 ปีครึ่งได้ไหม”

เรียกว่าบท “สไปรท์” ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปเลยไหม?

“เรียกว่าเปลี่ยนไปเลยนะ จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย จากแต่ก่อนที่เราเคยเดินสยามแล้วชิวๆ เดี๋ยวนี้คนก็รู้จักมากขึ้น เป็นที่สนใจมากขึ้น ส่วนเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยเขาก็จะแซวๆว่า “กินสไปซ์ใส่ถุง” แต่คนก็คงพูดกันอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้คิดมากอะไร เราดีใจที่ประสบความสำเร็จกับบทนี้ คือเก้ากับพี่ย้ง (ทรงยศ สุขมากอนันต์) คิดเหมือนกันว่า บทนี้มันไม่ควรจะมีคนเกลียด และจะทำยังไงให้คนเข้าใจตัวละครตัวนี้ แล้วก็รู้สึกรักตัวละครตัวนี้ได้ เพราะตัวละครมันแรงนะ ถ้าเล่นไม่ดี คนอาจจะหมั้นไส้ แล้วพี่ย้งก็พูดออกมาคำหนึ่งว่าเราต้องแสดงสีหน้าที่เป็นความรู้สึกที่จริงใจของสไปรท์อออกมา ส่วนที่คนอินอยากเป็นสไปร์ท เก้าว่าเขาอาจจะอยากกินไผ่ไง (หัวเราะ) ส่วนจะบอกว่าเป็นบทที่แจ้งเกิดเราก็คงไม่ปฏิเสธ”

หลายคนติดภาพว่าตัวจริง “เก้า” ต้องแซบเหมือนสไปรท์?

“ไม่เลยค่ะ เก้าเป็นคนลุยมาก รู้สึกว่าใส่กระโปรงสั้นไม่ได้ ใส่ส้นสูงไม่ได้ในชีวิตนี้ (หัวเราะ) คือเราเป็นคนไม่ค่อยระวังตัว เลยขอสบายๆไว้ก่อนจะได้สะดวกกับเรา มันก็ยากกับการรับบทสไปรท์ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือเก้ากับสไปรท์มีความตรงแล้วก็ชัดเจนเหมือนกัน แต่เรื่องความคิดไม่เหมือนกันนะ (หัวเราะ)”

เท่าที่ลองงานในวงการบันเทิงมาแล้วชอบไหม?

“เรายังตอบไม่ได้ว่าชอบไหม เพราะเราเพิ่งเข้ามา เรายังไม่ชินกับหลายๆอย่างตรงนี้ ยังไม่ชินกับกระแสข่าว ยังไม่รู้ว่าเราชอบการเอนเตอร์เทนหรือเปล่า เก้าเลยคิดว่ามันเป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้เจอผู้คนมากขึ้น มันสอนอะไรเราหลายๆก็ แต่ว่ามันเหนื่อยนะ คือโอเคมันอาจจะทำรายได้ได้เยอะ แต่สิ่งที่มันสูญเสียไปมันก็พอๆกัน ทุกวันนี้ก็ยังหาอาชีพให้ตัวเองไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองดีทางด้านไหน อย่างงานไหนวงการบันเทิงเก้าก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีไหม หรือจะเรียนทางเศรษฐศาสตร์แล้วจะไปต่อยอดทางธุรกิจดีกว่า เพราะว่าเก้าก็ไม่เคยตั้งใจทำอะไรสักอย่างหนึ่งแน่นอนไป ทุกวันนี้เก้ายังเหมือนจับปลาสองมือพร้อมๆกัน เลยไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง”

อยากหาอะไรที่มั่นคงมากกว่านี้?

“ใช่ เก้าอยากหาอะไรที่มันมั่นคงมากกว่า ไม่อยากทำอะไรที่แปบๆแล้วมันก็ไป เหมือนเรามองไม่เห็นทางตัวเอง เรามาทำงานตรงนี้ ไม่ใช่เราจะมานั่งคิดว่าเรามีความสามารถ ฉันประสบความสำเร็จมาก มีคนชื่นชอบเรามาก เก้าคิดว่ามันเป็นกระแส เดี๋ยวคนก็ลืมเราแล้ว เดี๋ยวเขาก็เห็นคนใหม่แล้ว มันเป็นอะไรที่เร็วมาก มันไม่มั่นคง”

ตอนนี้สัญญากับทีวีธันเดอร์เหลืออีกกี่ปี?

“จริงๆเซนต์สัญญา 5 ปีค่ะ แต่ตอนนี้เหลือ 3 ปีกว่า แต่เก้ายังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง อีก 3 ปีกว่าสำหรับเก้าก็เยอะเหมือนกัน เรียนจบเลยนะ อย่างที่บอกว่าจบปุ๊บก็อาจจะไปเรียนต่อเมืองนอก เพราะเราไม่ได้คิดว่าจะอยู่ตรงนี้นานๆ”

คุณพ่อคุณแม่ว่ายังไงบ้าง ที่ต้องมาทำงานในวงการ?

“พ่อแม่เก้าปล่อยมาก ทุกวันนี้ขับรถเอง ทำอะไรเอง เขาปล่อยตั้งแต่เก้าอยู่ ม.6 แล้ว ให้นั่งรถเมล์เอง ให้เงินพันนึงต่อสัปดาห์ เพื่อให้ทำอะไรเอง นั่งรถเมล์เอง เรียนพิเศษเอง เก็บเงินเรียนพิเศษเองก็มีนะ เพราะบางทีเราก็เกรงใจเขาไง เพราะเขาปล่อยให้เราทำอะไรเอง จนเรารู้สึกเกรงใจว่าเดี๋ยวเขาจะรอ เดี๋ยวเขาจะเหนื่อย มันทำให้เรากลายเป็นคนเข้มแข็งไปโดยปริยาย บางทีเราท้อ เราเหนื่อย เราร้องไห้ เขาก็ไม่ปลอบนะ จะด่าซ้ำด้วย เพราะบ้านเก้าจะหัวโบราณหน่อย เขาจะถามว่าจะร้องไห้ทำไม อ่อนแอหรอ เรื่องแค่นี้เอง แต่พอเราก้าวข้ามผ่านจุดนั้นมาได้ เราก็มาคิดว่าเราร้องไห้ทำไมวะ สักวันหนึ่งเราก็ต้องเจอ”

แต่เป็นลูกสาวคนเดียว คุณพ่อคุณแม่น่าจะหวง?

“ไม่เคยหวงเลย บางครั้งเราน้อยใจว่าทำไมไม่ห่วงเราเลย บางทีเรานั่งรถเมล์จากที่เรียนพิเศษกลับบ้านเอง มันดึกแล้ว ซอยที่บ้านก็เปลี่ยว เราเคยร้องไห้ต่อหน้าเขาเลยว่าทำไมไม่มารับหนูเหมือนเพื่อนคนอื่น เขาก็บอกว่าถ้าเพื่อนคนอื่นพ่อแม่เขาเสียไป หลงทาง ไม่มีเงินค่าแท็กซี่ เขาจะกลับบ้านยังไง จนวันหนึ่งเราโตขึ้น ก็รู้สึกว่าถ้าเราไม่เหลืออะไร เราก็ยังมีทางช่วยตัวเอง อยู่ด้วยตัวเองได้ แต่เก้ารู้สึกได้นะว่าเขาภูมิใจ แต่เขาจะไปพูดกับคนอื่น ไม่ยอมพูดกับเรา ญาติๆจะมาเล่าให้ฟังว่า เนี่ยพ่อแม่เราเล่าให้ฟังอีกแล้ว เราก็คิดว่าทำไมไม่เคยชมเรานะ (หัวเราะ) แต่ช่วงนี้แม่จะบอกว่าสู้ๆนะ เพราะว่าเขารู้ว่าเราเหนื่อย แล้วก็ไม่ค่อยมีเวลาได้เจอกัน เราออกจากบ้านทุกวัน กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว”

ตอนหาเงินได้ก้อนแรกรู้สึกยังไงบ้าง?

“ภูมิใจมาก มันทำให้เวลาเราจะใช้เงินแต่ละบาทคิดแล้วคิดอีก ไม่รู้ว่าใช้เงินเป็นหรือเปล่า แต่ประหยัด อย่างพวกเสื้อผ้าก็จะซื้อจตุจักรตลอด คือเสื้อผ้าแบรนด์เนมเนื้อผ้ามันอาจจะดีกว่า แต่เราใช้ไม่คุ้มหรอก เพราะเราชอบเปลี่ยน เลยคิดว่าซื้อตามตลาดดีไหม คือหน้าเราอาจจะดูเป็นคนเปรี้ยว คนแรง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย เก้าเป็นคนชอบใส่เสื้อผ้าสบายๆ ไม่ได้แฟชั่นมาก”

แอบถามเรื่องความรักบ้าง มีหนุ่มๆเข้ามาเยอะไหม?

“พอมายืนอยู่จุดนี้ คงจะคิดว่ามีคนมาจีบเยอะ แต่จริงๆไม่มีนะ เราไม่มีเวลาด้วย สมมติเจอตามงานมันก็แปบเดียว ส่วนเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเขาจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นคนยังไง เราเป็นคนห้าวๆ เราสนิทกับเพื่อนผู้ชายเยอะมาก เขาก็จะไม่ได้เห็นเราเป็นผู้หญิงเลย แล้วจะชอบด่าเราหยาบคายต่างๆนานา ไม่มีใครจีบเลย แต่ถ้าจะมีคนคุยด้วย เก้าอยากให้เป็นคนที่เข้าใจเรา มีความคิดที่โตกว่าเราในระดับหนึ่ง คือเราเป็นคนเข้มแข็ง เลยรู้สึกว่าเขาต้องเข้มแข็งกว่าเรา เราดูแลตัวเองได้ ปกป้องตัวเองได้ เขาก็ต้องทำให้ได้มากกว่าเรา”

ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวกับรุ่นพี่ที่จุฬาฯ?

“ใช่ค่ะ จริงๆยังคุยกันอยู่นะคะ แต่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง ตอนนี้เก้าเพิ่งอายุ 18 ปีเอง มันไม่ใช่จะถึงขั้นแต่งงาน แต่คือเขาเป็นเพื่อนสนิทที่สุด ที่คุยกันได้ทุกเรื่อง ปรึกษากันได้ทุกเรื่อง พ่อแม่รู้จักกัน พี่เขาก็ไปรับ-ไปส่งนะ เพราะบางทีพ่อแม่ก็จะห่วงว่าเราทำงานเอง แล้วจะขับรถไม่ไหว ไม่ค่อยได้พักผ่อน”

เรียกว่าคุณพ่อคุณแม่ก็ไว้ใจ?“ไว้ใจมากค่ะ เพราะคุณพ่อคุณแม่เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน เขาเป็นเพื่อนกัน เวลาพี่ๆนักข่าวมาถามเลยไม่รู้จะตอบยังไง บางทีเก้าก็ตอบผิด ใช้คำพูดผิดบ้าง เขาก็เอาไปตีความกัน อย่างคราวที่แล้วเก้าพูดว่าลดสถานะ คือเราใช้คำพูดผิด แค่อยากจะเปลี่ยนคำเท่านั้นเอง เหมือนเราโตขึ้น เรารู้สึกว่าคำว่า แฟน มันมีความหมายอะไรมากกว่า มันต้องอย่างนั้น อย่างนี้ เราต้องพร้อมนะ เราเองก็รู้สึกเสียใจแทนฝั่งพ่อแม่เขาว่าเราไปบอกเลิกเขาหรือเปล่า แต่คือเปล่านะ เราก็ยังคุยกันอยู่ ก็งงๆว่าเราทำไมพูดแบบนั้นไป อาจจะตื่นเต้นที่เจอสื่อว่าเจอคำถามอะไร มันลุ้นมากเลยนะทุกครั้งที่ไปออกอีเวนท์ว่าจะเจอข่าวอะไร พอข่าวมันออกมาแล้ว เราก็เออ...ไม่เป็นไร ทำใจแล้วกัน แต่ตอนเห็นข่าวตอนแรกยอมรับว่าร้องไห้เลยนะ ว่าอ้าว...เราพูดไปหรอ”

คติการใช้ชีวิตของเก้าคืออะไร?

“คิดว่าพรุ่งนี้ต้องดีกว่า เก้าคิดว่าเราไม่สามารถจะเป็นตัวอย่างของวัยรุ่นได้ เรามายืนจุดนี้ เราเป็นแค่นักแสดงคนหนึ่งที่มีอาชีพหนึ่ง ถ้าใครจะมาถามเรื่องส่วนตัวเรา เราไม่สามารถที่จะไปเป็นตัวแทนเขาได้ เพราะเราก็แค่วัยรุ่นคนหนึ่งที่ เมื่อเจอเหตุการณ์หรือปัญหาก็พร้อมจะจดจำ เรียนรู้ และแก้ปัญหาปัญหาไปเรื่อยๆ แล้วมันก็ทำให้เราโตขึ้นเท่านั้นเอง”

...ถึงแม้เก้าจะออกตัวว่าเธอเป็นตัวอย่างที่ดีของวัยรุ่นไม่ได้ แต่เราเชื่อได้เลยว่าสาวน้อยคนนี้จะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ในทุกหนทางที่เธอตัดสินใจเลือกเดิน