Inside Dara
''ผมยังไม่อยากตาย'' ''ประวิทย์''เปิดใจเหตุออกจากช่อง3

กลายเป็นข่าวช็อกวงการขึ้นมาเลยก็ว่าได้ สำหรับกรณีที่หัวเรือใหญ่ช่อง 3 ''นายประวิทย์ มาลีนนท์'' ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 55 ที่ผ่านมา พร้อมกับในมติที่ประชุมได้มีการแต่งตั้ง ''ประสาน มาลีนนท์'' พี่ชายของ ''ประวิทย์ มาลีนนท์'' ขึ้นมารักษาการและดำรงตำแหน่งแทนนั้น จนทำให้เกิดหลากหลายกระแสข่าวลือต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุเพราะ ''คุณแดง''สุรางค์ เปรมปรีดิ์ เข้ามาทำละครให้ช่อง 3 หรือเปล่า?, หรือเป็นปัญหาขัดแย้งภายในครอบครัว ฯลฯ

โดยครั้งนี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ''นายประวิทย์ มาลีนนท์'' ที่เปิดใจหมดทุกเรื่องราวข่าวคราวถึงสาเหตุที่แท้จริงของการลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ณ โรงแรมเรเนซองส์ เมื่อวันก่อน อย่างละเอียดเลยทีเดียว


สุขภาพเป็นยังไงบ้างคะ?

ประวิทย์ : ''จริงๆ ตอนนี้ปัญหาสุขภาพที่ตรวจเช็กในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผมต้องกลับมาทบทวนในหลายมุม มีข่าวต่างๆ มีเรื่องให้เครียดมาเยอะเหลือเกิน ก็เลยจะขออนุญาตลาออกแล้วกัน เพราะเราจะได้เจอกันนานๆ กลัวว่าจะอายุสั้น ก่อนที่ผมจะผ่าตัดปีที่แล้ว ช่วงนั้นเสียงจะหาย คือเป็นโรคหัวใจนะครับ เส้นเลือดหัวใจนี่ตีบมาก หลายเส้นเหมือนกัน คือบายพาสสมัยใหม่ก็จะไม่เหมือนแบบเก่า ถ้ายังใช้ชีวิตแบบเก่าอยู่ก็เดี๋ยวจะอายุสั้นเปล่าๆ พี่น้อง 8 คน ก็เกี่ยงกันจะตายที่จะไม่รับตำแหน่งนี้ และก่อนหน้านี้ก็ยังไม่มีใครรู้เลย มีผมคุยกับพี่น้องทั้งหมดจนมี คุณประสาร มาลีนนท์ ที่มาดูแลรักษาการแทน''

เกณฑ์การเลือกคนเข้ามารับตำแหน่งแทนจะต้องเป็นพี่-น้อง?

ประวิทย์ : ''ในช่วงสั้นๆ นะครับ ไม่รู้จะพูดยังไง คือพี่น้องก็ต้องไปดูกันว่าจะทำยังไงต่อไป ก็มี 3 หนทาง ก็คือหาจากคนกันเอง สองหาจากคนข้างในเข้ามาทำ และสามหาจากข้างนอก แต่ว่าส่วนตัวผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่ 2 และ 3 ผมคิดว่ามันน่าจะวิธีที่ 1 มากกว่า อย่างที่ผมเรียนก็คือว่าช่อง 3 เนี่ยมันเกิดจากการเป็นครอบครัว เกิดจากคนภายในอยู่แล้ว ผมจึงมองว่า 2 และ 3 ไม่มีความจำเป็นเลย''

ยังคงเป็นห่วงเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?

ประวิทย์ : ''จริงๆ ห่วงเรื่องของตัวเองแท้ๆ เลย เพราะว่าต้องมีผลกระทบกับทุกๆ ท่านแน่ๆ ก็กลัวจริงๆ นะเพราะว่าในวงการบันเทิงนี้เป็นช่วงที่น่ากลัว แต่ก็ต้องขอไปดูแลตัวเองก่อนดีกว่า''

เริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงเลยหรือยัง?

ประวิทย์ : ''ส่วนตัวผมและทีมงานก็เห็นด้วยว่าช่วงนี้เราดูสถานการณ์ไปก่อนนะครับ แต่ที่สำคัญคือต้องสร้างทีมของเราให้เข้มแข็ง ให้แข็งแรง''

หลังจากที่ออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการฯ แล้ว เป็นยังไงบ้างคะ?

ประวิทย์ : ''โอเคมากเลย แฮปปี้มาก''

เห็นว่ามีการแต่งตั้ง ''คุณสมรักษ์ ณรงค์วิชัย'' ขึ้นมาด้วย?

ประวิทย์ : ''ความจริงแล้วต้องบอกว่าไม่ใช่แค่คุณสมรักษ์ท่านเดียวนะครับ ก็ยังมีอีกหลายๆ ท่านที่จะเป็นคนที่ขับเคลื่อนตรงนี้ ที่แต่งตั้งบุคคลเหล่านี้ขึ้นมาเพราะว่าต่อไปเนี่ยงานที่ผมเคยต้องรับผิดชอบ ก็จะต้องเป็นคนที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาแทน''

เรียกว่า ''นายประวิทย์'' จะลาถาวร...ไม่กลับมาแล้ว?

ประวิทย์ : ''ไม่กลับแล้วครับ (หัวเราะ) เพราะว่าที่ผ่านมาผมทำงานมาตลอด ไม่ได้พักเลย ตอนนี้ก็ขอพักแล้วกัน ที่เราวางใจคือเราสามารถไม่ต้องนั่งอยู่หัวโต๊ะในที่ประชุม ภาพนั้นมันหายไปแล้วครับ เค้าก็ยังคงต้องสามารถทำงานกันเองได้ ให้เค้าทำกันไปเลย ที่เห็นก็คือเหล่าผู้บริหารก็จะนั่งอยู่ที่นี่หมดนะครับ อีกอย่างต้องบอกเลยว่าในกรณีช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา พวกเค้าก็ทำกันหมด ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ผมได้แต่หน้าอย่างเดียวเลย (หัวเราะ)''

ยังฝันอยากจะทำอะไรอีกคะ?

ประวิทย์ : ''ยังมีอีกหลายอย่างที่เราอยากทำอยู่นะครับ อีกหลายอย่างที่เรายังตื่นเต้นอยู่ ผมเชื่อว่าเราจะเห็นภาพกีฬามากขึ้นกว่าเดิม น่าจะประมาณปีหน้า เราก็ต้องสร้างความแข็งแกร่งด้านกีฬาให้มากขึ้น ก็ต้องพยายามไปผูกมิตรกับทางเพื่อนๆ ในวงการและเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย''

ทำไมถึงไม่เอารุ่นลูก-รุ่นหลานขึ้นมาแทน?

ประวิทย์ : ''ไม่จำเป็นครับ เรามองว่าให้โอกาสเค้ามาเรียนรู้ก็พอแล้ว เพราะมีรุ่นโตกว่าเค้า รุ่นที่เชี่ยวชาญงานมากกว่าเค้า มันไม่มีประโยชน์ที่จะเอารุ่นใหม่ขึ้นมาตรงนี้ ถ้าเอามาช่วยผู้บริหารระดับสูงได้แต่ถ้าจะให้ขึ้นมาใหญ่กว่านั้นคงเป็นไปไม่ได้ อีกอย่างผู้บริหารเราก็ยังแข็งแรงอยู่ เราก็เลยขอต่ออายุราชการ (หัวเราะ)''

ตอนตัดสินใจลาออกได้วางโครงสร้างไว้อย่างไรบ้าง?

ประวิทย์ : ''อย่างที่ผมเรียนนะครับว่าเราแลกเปลี่ยนกัน 3 แบบ คือเราจะเป็นคนขายฝัน แล้วเราก็ต้องทำหน้าที่ไปขายฝันให้คนอื่นเค้าคนที่มีฝัน ก็คุยกัน ช่อง 3 มีฝันหลายคน ก็ต้องคุยกันเพื่อทำให้มันเป็นความฝันให้เป็นความจริงขึ้นมา อย่างที่ผมเรียนก็คือตอนนี้เราเน้นเรื่องการเสนอกีฬาชัดเจนขึ้น เชื่อว่าปีหน้าที่จะเกิดก็คงจะเป็นด้านเพลงด้านดนตรีจะมากขึ้น จากตรงนั้นเราก็เริ่มมีครอบครัวใหม่ๆ ขึ้นมา แต่ว่าเราไม่ได้ทำค่ายเพลงนะครับ (หัวเราะ) เราแค่มองทีมงาน แล้วเราอิงกับละคร แล้วเราก็จะผลิตละครอย่างเดียว แต่เรื่องเพลงก็จะเป็นเพลงประกอบละครมากกว่า เราฝันขั้นต้นว่าเราอยากได้อย่างกวีสักคนหนึ่งสักหน่อย เพราะกวีเค้าสามารถแต่งกลอนได้เป็นเพลงเลยนะ เป็นการสนับสนุนตัวเองมากขึ้น นอกจากนั้นเราจะเป็นการผ่อนงานของทางด้านของคุณสมรักษ์ด้วย เพราะคุณสมรักษ์ค่อนข้างเป็นงานหนักพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นต้องดูละคร ดูรายการ ขอดาราเราไปปรากฏตัวตามงานต่างๆ เยอะมากเลยครับ ก็ต้องขอนิดนึงว่าคิวในการถ่ายละครของดาราเรามันเยอะมากเลยครับ เราก็เลยคิดว่าถ้าเราสร้างคนทางด้านดนรตรีขึ้นมาเนี่ย จะช่วยผ่อนงานคุณสมรักษ์ไปได้เยอะเลยครับ แต่ไม่ได้สร้างค่ายเพลงนะครับ''

ตั้งใจจะมุ่งเน้นด้านเพลงเลย?

ประวิทย์ : ''แต่เราไม่ได้แข่งกับค่ายเพลงนะครับ มันไม่ใช่ทักษะของเรา แต่จะมีบางรายการอย่างก่อนหน้านี้ก็มีรายการที่ทำเกี่ยวกับเพลงมาสักพักหนึ่งแล้ว ทีวี 3 สัญจรก็มีแล้ว ที่สำคัญคือต้องเอาคนเหล่านี้ไปใช้งานให้ได้เยอะมากขึ้น ต่อไปนี้ก็ต้องเริ่มเอาคนของเราคือดารา ไปใช้ให้มีทักษะดนตรีด้วย''

นโยบายต่อจากนี้หลังจากที่ไม่มี ''นายประวิทย์'' แล้ว?

ประวิทย์ : ''ส่วนใหญ่จะเน้นทางด้านข่าวมากกว่านะครับ แต่ถ้าจะเป็นในด้านของความบันเทิงเราจะเริ่มลดในเรื่องของการไม่เน้นเรื่องความรุนแรงของตัวละคร จากนี้ไปเราจะเน้นละครที่ใสๆ ขึ้น ก่อนหน้านี้ก็จะเห็นว่ามีละครที่เป็นนางเงือก จะเน้นใสๆ ส่วนละครที่ตบตีก็จะไม่เน้นเท่าไร แต่ที่เราอยากจะทำมากที่สุดก็คืออยากจะส่งเสริมให้นักเขียนใหม่ๆ เขียนแนวบทละครออกมาใหม่ๆ แนวใสๆ อย่างที่ผมเคยเรียนนะครับว่าเราฝันไว้ว่าในภาคบันเทิงเราอยากเป็นสถานีแบบดิสนีย์ แต่จะเกิดขึ้นได้เร็วมากน้อยแค่ไหนก็ต้องรอดูกันต่อไป ก็จะพยายามลดความรุนแรงลง''

จะเกิดขึ้นเมื่อไร?

ประวิทย์ : ''เรื่องนี้ต้องเรียนอย่างนี้ครับว่าได้มีโอกาสพาทีมบริหารไปต่างประเทศเมื่อปีที่แล้ว ด้านบันเทิงกับละครของเราเนี่ยยังห่างต่างประเทศเค้าอยู่ คือดีในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเทียบกับเกาหลี, ญี่ปุ่น ยังเทียบไม่ได้ เรื่องที่เห็นชัดเจนคงจะเป็นเรื่องของละคร ผมรู้สึกว่าละครของเราเป็นเรื่องเกี่ยวกับในมุ้งในบ้านมากกว่า แต่ถ้าเป็นของเกาหลีเค้าจะเกี่ยวกับอาชีพและการท่องเที่ยว หลายคนคงตั้งข้อสงสัยว่าแล้วทำไมเราทำอย่างเค้าไม่ได้ ผมขอยกตัวอย่างแล้วกันอย่างเรื่องของเคนที่ฉายอยู่เรื่องรักคุณเท่าฟ้า ทุกคนก็รู้ว่าเคนเล่นเป็นกัปตัน แต่ไม่ได้มีอะไรในเรื่องที่มันส่อหรือแสดงความเป็นกัปตันเลย ไม่เหมือนกับเกาหลี เค้าเล่นเป็นหมอ, ทนาย, ตำรวจ สารพัดเลย แต่เค้าสื่อถึงความเป็นอาชีพนั้นๆ ออกมาได้ อยากทราบไหมว่าเป็นเพระาอะไร...เพราะว่าประเทศไทยเราแตะต้องอาชีพไม่ได้ ถ้าทำละครเน้นเรื่องอาชีพเมื่อไรคนในอาชีพนั้นจะลุกขึ้นมาประท้วงทันที

อย่าง ''บอย-ถกลเกียรติ'' ทำละครเรื่องสงครามนางฟ้า ก็ไม่ได้ใส่เครื่องแบบของแอร์โฮสเตสสายการบินไหนทั้งสิ้น ก็ยังมีแอร์โฮสเตสออกมาประท้วง อย่างจะสร้างเป็นวีรกรรมของตำรวจก็ยังทำไม่ได้เลย เพราะตำรวจก็ออกมาประท้วงว่าไม่ใช่อย่างที่เล่า หรือจะเอาห่างไกลออกไปหน่อย สร้างเรื่องมิตร ชัยบัญชา, พุ่งพวง ดวงจันทร์ ก็ยังมีทะเลาะกัน ไม่ได้ทะเลาะที่ละครนะ แต่ทะเลาะจากครอบครัวเค้า เอามาสร้างไม่ได้ และอีกส่วนหนึ่งที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังก็คือเรื่องการจำลองเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ต่างๆ คนเค้าทำกันเยอะเลย อย่างก่อการร้ายที่ชนตึก แป๊บเดียวก็เป็นหนังล่ะ 911 ของเค้าจำลองเหตุการณ์มาสร้างได้ แต่ของเราไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะโดนต่อว่าว่าข้อมูลไม่ถึงบ้างอะไรบ้าง เราทำเรื่องประวัติบุคคลที่มีชื่อเสียงก็ไม่ได้เหมือนกัน อย่างผมยกผู้นำสักคนมาสร้าง สุดท้ายก็จะมีปัญหาอยู่ดี เพราะฉะนั้นเรื่องที่ดีที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องในมุ้ง เรื่องใครเรื่องมัน ไม่มีใครมายุ่งอยู่แล้ว เพราะสร้างนางฟ้าก็ไม่ได้, สร้างอาจารย์ก็ไม่ได้ ก็มาหาว่าเสียสถาบัน นักข่าวก็เช่นกัน ก็มีประท้วงเหมือนกัน นี่คือข้อจำกัดของการทำละครพอสมควร เพราะฉะนั้นเราก็มาทำอะไรที่มันใสๆ ให้มันแตกต่างเลย สร้างขึ้นมาให้ไปล้างความเชื่อเก่าๆ อย่างเมื่อ 2 ปีก่อน ''แหม่ม-ธิติมา'' ทำละครเรื่องผู้ใหญ่ลีกับนางมา เชื่อไหมว่าละครตั้งแต่ปี 2504 นะ สมัยผมยังเด็กๆ เลย ผมยังคิดเลยว่ามันจะเข้ายุคเข้าสมัยหรอ แล้วมันจะประสบความสำเร็จได้ยังไง แต่กลายเป็นละครที่ดีที่สุดของเราปีนั้น คนดูสูงที่สุด ไม่มีตบไม่มีตี ที่ผ่านไปก็เป็น (ธรณีฯ ที่ได้รับความนิยมเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะเราได้รุ่นใหม่มาทำละคร เป็นรุ่นที่ 2 ของผู้จัดอย่าง ''คุณจิ๋ม-มยุรฉัตร'' ซึ่งพวกนี้เค้าก็มีความสำเร็จเก่าๆ หล่อหลอมเค้าอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ทิ้งคนเก่าๆ นะ''

เรื่องเรตติ้งล่ะคะ...ยังคงห่วงอยู่หรือเปล่า?

ประวิทย์ : ''ก็เป็นที่น่าดีใจนะครับ เพราะผมได้พบลูกค้าแล้วก็ได้ทราบว่าเรตติ้งเราดีขึ้น ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี เพราะลองไปสำรวจกันหน่อยได้ไหมล่ะ ไปพิสูจน์กันเลย เรื่องเรตติ้งเนี่ยมันจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ผมทำมาหลายทีแหละ ใครอยากจะร่วมขบวนมาร่วมได้เลย แล้วเราไม่ได้เลือกสถานที่ด้วยนะครับ ให้พวกคุณเลือกกันเลย แล้วเราก็ไปสุ่ม ไปดูให้เห็นกับตาเลย แต่บริษัทที่เค้าทำเค้าบอกว่าเหตุการณ์มันไม่เหมือนกัน เราก็ไม่ดูตัวเลขแต่เราไปเช็กกระแสกันดีกว่า''

จะมีจากเวทีนางงามมาใช้งานเป็นดาราเหมือนที่อื่นๆ บ้างไหม?

ประวิทย์ : ''เวทีนางงามจะมีปัญหาตรงที่ว่า 1.อายุสูง คือ 18 ขึ้น ส่วนมิสทีนไทยแลนด์เค้ายังเด็กๆ ได้มาแล้วจะใช้งานได้ดีกว่านะครับ เพราะส่วนใหญ่ 20 กว่าๆ มาก็คงให้บทแม่แล้วนะ 2.ก็คือว่านางงามกับนางเอกแตกต่างกัน อย่างนางงามจะสูงมากเลยนะเพราะเราต้องเลือกคนสูง หน้าตาก็ต้องออกไปทางฝรั่ง ต้องพูดภาษาอังกฤษได้ เพื่อจะไปใช้งานต่อคือการประกวดให้ทัดเทียมกับเมืองนอก เพราะฉะนั้นพอออกมาก็เป็นนางแบบหมด ไม่ได้ออกมาเป็นนางเอกเลย ส่วนจะมีครอบครัวนางงามหรือเปล่าต้องถามป๋าสุทธิ์ (บริสุทธิ์ บูรณะสัมฤทธิ์) เพราะป๋าเค้าดูแลนางงามอยู่แล้ว (หัวเราะ)''

บางกระแสก็ว่าเป็นเพราะ ''คุณแดง'' มาทำละครเย็นแล้วหรือเปล่า?

ประวิทย์ : ''เอ่อ...พอดีวันนี้ไม่ได้เชิญคุณไบรอันมาด้วยนะ คุณไบรอันเป็นคนที่ประสานมานะครับ คือเผอิญว่าคุณไบรอันชอบกีฬา พี่แดงก็ชอบกีฬา ก็คุยกันรู้เรื่อง คุณไบรอันก็เลยเชื้อเชิญพี่แดงว่าว่างๆ ก็มาทำละครตรงนี้ไหม ซึ่งพี่แดงก็ว่างๆ อยู่พอดี'' ''คุณแดง'' จะมีโอกาสมานั่งในส่วนบริหารไหม? ประวิทย์ : ''เมื่อคืนเราได้คุยกันสั้นๆ นะ ยังบอกอยู่เลยว่าผมจะไปนั่งช่อง 7 สีเหรอ (หัวเราะ) คือมันเป็นไปไม่ได้ครับ ก็คือว่าทั้ง 2 สถานีเนี่ย ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการที่นู้น (ช่อง 7) ศักดิ์ศรีน่าจะดีกว่าของที่ช่อง 3 นะครับ ถ้าผมไปนั่งที่ 7 สีเนี่ยถือเป็นการเพิ่มเกรดตัวเองนะ แต่ถ้าพี่แดงมานั่งที่ช่อง 3 ถือว่าเป็นการลดเกรด เพราะฉะนั้นสบายใจได้เลย คือมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ''

แต่ ''คุณแดง'' ทำละครเย็นถือว่าเป็นการลดศักดิ์ศรีไหม?

ประวิทย์ : ''ผมมองว่าลองดูเรื่องของการตลาดดีกว่า หรือไม่ลองถามการตลาดก็ได้นะว่าช่วงเย็นจะโอเคกว่า ช่วงเย็นคือคนเข้าบ้าน คนดูจะสูงขึ้นเรื่อยๆ หลังข่าวก็จะสูงแต่จะค่อยๆ ลดลง เพราะฉะนั้นช่วงเย็นคนดูสูงอยู่แล้วด้วยและคนเยอะ ไม่ได้เป็นการลดศักดิ์ศรีครับ เวลาคนมองยังมองเลยว่าช่วงเย็นจะดีกว่า''

เรียกว่าให้ ''คุณแดง'' ช่วยขยายฐาน?

ประวิทย์ : ''แหม ! ถามตรงใจผมจัง ก็ตรงนั้นก็คงต้องไปถามคุณไบรอันแล้ว เพราะจริงๆ แล้วละครก่อนข่าวกับหลังข่าวก็ไม่ได้แบ่งเลยนะ กลับมองว่าละครทั้ง 2 เวลาก็มีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ถ้าทำดีคนดูก็ได้กำไรเสมอ''

อย่าง ''คุณแดง'' จะเป็นสไตล์ถ่ายไปออนไป ต้องปรับไหม?

ประวิทย์ : ''เราไม่มีข้อกำหนดนะครับ จะเป็นทางคุณไบรอันคุยกับพี่แดง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดงจะทำไปออนไปก็ต้องแล้วแต่เค้า''

คุณภาพในการผลิตละครของช่อง 3 จะลดลงไหม...เพราะก่อนหน้านี้ทางช่องไม่มีนโยบายให้ถ่ายไปออนไป?

ประวิทย์ : ''ผมไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ แต่คิดว่าน่าจะดีขึ้นนะ เอา 2 อย่างมาประยุกต์รวมกัน มันก็น่าจะโอเคนะ''

ลาแล้วจริง...ไม่คันไม้คันมืออยากทำงานบ้างหรอคะ?

ประวิทย์ : ''พูดอย่างนี้ดีกว่า ผมพูดไม่ตรงกับความจริงสักเท่าไร 80% ของผมคือทำให้กับงานบริการที่เกิดความเครียด ไม่สร้างรายได้ อีก 20% ใช้สำหรับในการทำงานที่หารายได้ โห...บริการชาวบ้านทั่วๆ ไป เครียดด้วย ไม่เกิดรายได้ด้วย ไม่เซ็งหรอกครับ ผมก็มีเพื่อนๆ ตั้งเยอะนะ''

มีแผนจะทำอะไรต่อไปคะ?

ประวิทย์ : ''ใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายๆ ไม่มีแผนอะไร ไม่ต้องมีความเครียดแล้ว หน้าตาไม่ต้องมาบูดเบี้ยวกับเอกสารกองโต กลับรู้สึกว่าสบายใจนะ จะได้มีเวลามาคุยกับนักข่าวได้มากขึ้น แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากขึ้น เงินเดือนก็ยังได้เหมือนเดิม คือเค้าจ้างผมมาก็แพง และทำงานเพียงไม่กี่อย่าง แล้วหนึ่งในนั้นเนี่ยก็คือกินข้าว ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับสูงอย่างผมที่เค้าทำได้แต่ก็ไม่ทำกัน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ซึ่งผมก็จะแตกต่างกับผู้บริหารคนอื่นก็ตรงเนี่ยแหละ แต่ก็กลายเป็นเรื่องดีไปซะ แล้วมันก็เป็นเรื่องที่ผมได้ประโยชน์ด้วยนะ จะติชมอะไรผมก็รับรู้ได้เลย แล้วเอาไปปรับกับโครงสร้างทีมงานเรากัน''

เรียกว่าไม่คิดกลับมาทำงานเหมือนเดิมแล้ว?

ประวิทย์ : ''ไม่คิดจะกลับ คือถ้าคิดจะกลับผมคงลาพักร้อนหรือลารักษาตัวก็ได้นะ''