Inside Dara
"แก้มบุ๋ม" เล่าประสบการณ์เฉียดตาย ถุงซีสต์แตก "ถ้าเจอหมอช้ากว่านี้ หนูคงไม่อยู่แล้ว"

เพราะคิดว่าเป็นแค่อาการปวดท้องปกติจึงชะล่าใจและไม่ได้รีบพาตัวเองไปทำการรักษา กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในภาวะถุงซีสต์แตกก็เกือบจะสายไปเสียแล้ว สำหรับนักแสดงสาวมากฝีมือ แก้มบุ๋ม-ปรียาดา สิทธาไชย ที่ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาเปิดใจแบบหมดเปลือกถึงประสบการณ์เฉียดตาย กลางงานบวงสรวงละคร หว่อ อ้าย หนี่ เธอที่รัก ทางช่อง PPTV HD36

พร้อมกันนั้น แก้มบุ๋ม ปรียาดา ก็ยังเผยต่อว่า นอกเหนือจากเหตุผลทางด้านการแพทย์ที่ทำให้เธอมีชีวิตรอดและออกมาให้สัมภาษณ์ในวันนี้ได้ ก็คงเป็นเพราะผลจากการทำบุญช่วยเหลือสัตว์ใหญ่ที่เธอทำมาอยู่ตลอด ที่มีส่วนช่วยให้เธอรอดตายได้อย่างปาฏิหาริย์

ส่วนทางด้านความสัมพันธ์กับหวานใจรูปหล่อ พีท-กันตพร หาญพาณิชย์ ทายาทโรงพยาบาลชื่อดัง แก้มบุ๋ม ปรียาดา ก็ได้เผยว่า หลังจากนี้คงเปิดเผยความสัมพันธ์ให้แฟนๆ ได้เห็นกันมากขึ้น ซึ่งเธอเองก็ต้องขอบคุณฝ่ายชายเป็นอย่างมาก ที่ดูแลเธอเป็นอย่างดีในวันที่ทรมานที่สุด

อาการป่วยของเราตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?

“ตอนนี้ดีขึ้นค่ะ เดินได้ ทำอะไรได้ปกติ ห้ามล้มอย่างเดียว แต่ก็แอบสะดุดไปแล้ว 2 รอบ มีเลือดออกนิดหน่อย หมอบอกว่าข้างในรักษาตัวเองได้ ที่เลือดยังออก เพราะว่าเราเข้าไปในร้านของเรา และมีหมามาชนขาเราจะล้ม แต่ก็ไม่ล้ม เลยมีเลือดออกนิดหน่อย”

กลัวไหมว่าถ้าโดนกระทบกระเทือนบ่อยๆ อาจจะต้องผ่าตัดอีก ?

“กลัว ไม่อยากผ่าตัดแล้ว เพราะว่าแผลเราเป็นแผลเปิดเหมือนผ่าคลอดลูก จะเปิดอีกรอบไม่ไหว ทุกวันนี้หมอยังนัดไปดูแผลอยู่เลย และต้องเจาะเลือดดูด้วยว่าเลือดยังดีไหม เพราะว่าตอนที่เข้าโรงพยาบาล เราให้เลือดไปประมาณ 6 ถุง เพราะว่าค่าเลือดไม่ได้เลย”

อยากให้เราเล่าย้อนกลับไปวันนั้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ?

“ก็มีอาการปวดท้องตอนกลางคืนค่ะ ด้วยความที่เราเป็นคนอดทน พอปวดท้องก็คิดว่าแก๊สในกระเพาะเยอะ ทนไปจนถึง 7-8 โมงเช้า เรามีอาการหน้ามืด คลื่นไส้ นอนไม่ได้ ต้องนั่งพิงหัวเตียงไว้ เสร็จตอนเช้าบอกให้เขาโทรเรียกรถโรงพยาบาลให้หน่อย พอไปถึงโรงพยาบาลหมอบอกให้ผ่าตัดทันที ถ้าช้ากว่านี้ครึ่งชั่วโมงไม่รอดแน่ เพราะว่าเลือดออกประมาณพันห้าร้อย”

แสดงว่าถ้าไปช้ากว่านี้อาจจะเสียชีวิต ?

“ใช่ค่ะ ถ้าไปแล้วหมอหาสาเหตุไม่ทัน ก็คงไม่อยู่แล้วค่ะ”

ถามตรงๆ กับเหตุการณ์ที่ผ่านมาเรากลัวความตายเลยไหม ?

“ไม่กลัวค่ะ เพราะว่าตอนที่เข้าไปมันต้องทำซีทีสแกน คือเราไม่สามารถบอกหมอว่าเราไม่สามารถนอนราบได้ เพราะเหมือนข้างในเลือดมันออกมา พอนอนราบมันก็ตีมาถึงไหล่ หายใจไม่ออก เหมือนจะตายแล้ว ตอนนั้นถ้าให้นอนราบอีก 5 นาที หนูคงตายแล้ว แต่ไม่ได้กลัวตายนะ เพราะหมอบอกว่าน่าจะเกิดจากในช่องท้อง ซึ่งจะเป็นอะไรก็เป็น”

ถือว่าเจ็บที่สุดในชีวิตไหม ?

“เรียกว่าเฉียดตายครั้งแรกในชีวิตดีกว่า หนูรู้สึกว่าที่หนูรอดได้ เพราะว่าก่อนหน้านี้หนูช่วยชีวิตสัตว์ใหญ่ไว้เยอะ ช่วยวัว ควาย ไว้เยอะ อย่างที่บอกว่าปีนี้ตั้งใจว่าจะช่วย 100 เคส ผ่านมาครึ่งทางแล้ว อันนี้มันเป็นบุญกุศลที่ทำให้เราอยู่ต่อได้ ที่หนูไม่กลัวตายเพราะว่าก่อนหน้านี้หนูทำทุกอย่างได้เต็มที่ ทำด้วยใจ และทำจริงๆ ถ้าวันนี้จะตายก็รู้สึกว่าพอแล้ว เราทำดีแล้ว”

แสดงว่าหลังจากนี้อาจจะต้องทำบุญมากขึ้น ?

“เรายังทำบุญเท่าเดิม ทุกวันนี้ทำบุญมากกว่าทำงาน หาเงินให้ตัวเองอีก แต่มันก็ทำให้คนที่ติดตามเราทำบุญมากขึ้น เพราะเขารู้สึกว่าเขาทำแล้วเขาได้ เขาเห็นเราเป็นตัวอย่างว่าพอเราเจอเหตุการณ์อะไร สิ่งที่เราสะสมเล็กๆ น้อยๆ แค่เป็นสะพานบุญบอกคนอื่น มันกลับช่วยเราได้ นี่คือส่วนหนึ่งของความเชื่อ การที่เราตรวจพบโรคเร็ว ทำให้เรารอดค่ะ”

หายเร็วขนาดเพราะเรามีคนดูแลดีหรือเปล่า ?

“เพราะเราเป็นคนถึกมากกว่า แต่ถามว่าคนที่มาช่วยดูแล เขาดูแลดีไหม เอ่อ…เขาก็ดูแลดีค่ะ ยาใจดีอยู่แล้ว ต้องบอกว่าเลยว่าถ้าหนูให้รถโรงพยาบาลมารับ คงต้องรอเป็นชั่วโมง แต่ครั้งนี้เขาสายตรงไปถึงหมอ ถ้าไม่ได้เขาอีกคนหนูจะคงไม่รอด เพราะว่าเขาเป็นคนติดต่อทุกอย่างให้หมด”

ซึ้งใจเลยไหม เขาดูแลเราดีขนาดนี้ ?

“เขาตามไปที่โรงพยาบาล เขาดูแลดีมาก เขาไม่อยู่ก็ฝากพี่พยาบาลให้ช่วยดูแล ทุกคนดูแลดีมากค่ะ”

หลายคนอยากรู้ว่าหนุ่มข้างกายเราเขาเป็นใคร ?

“รู้กันอยู่แล้ว ไม่อยากพูดถึงสักเท่าไหร่”

แต่ดูเราเปิดตัวมากขึ้นเลยนะ ?

“ก็ให้เกียรติเขาค่ะ จริงๆ เราไม่ได้แบบว่าอยากปิดครึ่งหนึ่งหรืออะไรหรอกนะ แต่เราเกรงใจเขามากกว่า เราทำงานในวงการ แต่เขาไม่ได้ทำงานในวงการ เขาอาจจะไม่ได้อยากให้คนรู้จักเขาหรือ แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา เราก็เลยต้องลงเพื่อขอบคุณเขา อยากเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ จากนี้ครึ่งหน้าไม่มีแล้วค่ะ มาเต็มๆ แล้ว แค่ไม่ได้สวีทหวานก็เท่านั้นเอง”