Inside Dara
ก้าวข้ามเฟรนด์โซนอีกราย ‘มิน พีชญา’ ปิดฉากความ ก้าวข้ามเฟรนด์โซนอีกราย ‘มิน พีชญา’ ปิดฉากความโสดแล้ว

ทำเอาแฟนๆฮือฮา ตั้งแต่โพสต์ภาพดอกไม้จากผู้ให้ปริศนาเมื่อวันวาเลนไทน์ ล่าสุดวันนี้ 27 กุมภาพันธ์ มิน พีชญา ก็ได้ให้สัมภาษณ์ว่า หลายคนแซวเรื่องนี้ แต่ก็เชื่อว่ามีคนดีใจกับเธอเยอะมาก

“เขาเห็นเราอยู่คนเดียวมานานแล้ว อยากให้เรามีความสุข ก็เชียร์อยากเห็นเรามีครอบครัว”

ไม่โสดแล้ว?

กับคำถามนี้เธอยิ้มเขินๆ ก่อนยอมรับ “ก็คุยกันค่ะ ก็ไม่โสดแหละ”

เล่าด้วยว่า ที่ผ่านมา “เป็นช่วงที่โสดนานที่สุดในชีวิต ปีกว่าเกือบ 2 ปี เราก็ได้รู้จักตัวเอง ทำความเข้าใจกับตัวเอง และได้เรียนรู้กับคนที่จะเข้ามาในชีวิตเรา มันมีหลายรูปแบบ สุดท้ายเราก็รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิตเรา”

กับคนนี้ที่ยอมเปิดใจ มินบอกว่า “จริงๆ เป็นเพื่อนกันมานานแล้วแหละ ก็ไม่ได้ปิดนะ แต่เรารู้สึกว่า เราเป็นผู้หญิงอาจจะไม่ควรพูดเยอะ”

ครั้นถามว่าเขาเป็นนักธุรกิจใช่ไหม?

“เป็น…เกือบหลุดแล้วนะเมื่อกี๊ (หัวเราะ) อย่าเพิ่ง ยังไม่อยากพูดเยอะ แต่ไม่ได้ปิด เดี๋ยวเดินเจอก็เห็นเอง พูดเยอะไปเดี๋ยวมีวาร์ป เดี๋ยวไปถามเขาก่อน มินไม่อยากใจร้อน ในอดีตเราเป็นคนตรงมีอะไรเราก็บอก คุยก็คุย ไม่คุยก็บอกยัง แต่พอเรารู้สึกว่าเรื่องความรักมันอาจจะไม่ได้รวดเร็วทันใจขนาดนั้น มันต้องมีช่วงดูกันไปเรื่อยๆ”

มินยังเล่าด้วยว่า ตอนที่โสด เธอเคยน้ำหนักลดไปมาก

“ตอนนั้นน้ำหนักลงไป 39 เป็นช่วงที่มินรู้สึกว่าผู้หญิงหลายๆ คนอาจจะเคยเจอ ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร ตอนนั้นก็ใจแข็งนะ ไม่มีก็ไม่มี ก็อยู่ใช้เงินไป (หัวเราะ) อยู่กับพ่อแม่ ครอบครัวเราก็อบอุ่น น่ารัก พอเราคิดแค่นั้นด้วยฐานความรักมันแข็งแรง เราก็ยืนกลับขึ้นมาได้ หลังจากนั้นก็ยังไม่เคยหมดหวังกับการมีความรักและการสร้างครอบครัวที่ดี ไม่ปิดกั้น แต่ก็ไม่ได้โหยหา ไม่เรียกร้อง ไม่ได้รู้สึกว่าผู้หญิงจะต้องแต่งงาน มีครอบครัว ไม่ได้ผูกติดอะไรกับแบบนั้นเลย”

การคิดว่า ‘ฉันไม่มีก็ได้ อยู่ใช้เงินของฉันสวยๆ ไป’

มินบอกว่าเป็นเพราะ “เหนื่อย ผู้หญิงหลายๆ คนเวลาที่ผิดหวังหลายๆ ครั้ง เหมือนเรากลับมาดูว่าชีวิตเราคืออะไรกันแน่ เราเกิดมาทำไม เรามีครอบครัว พ่อแม่ก็รักเรา เรามีทุกอย่าง ไม่ได้ขาดเหลืออะไร เรากลับมารักตัวเอง สุดท้ายมินเรียนรู้ว่าถ้าเรารักตัวเอง เราจะรักคนอื่นเป็น เราจะไม่ได้ไปนั่งเอาใจใคร เปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร หรือพยายามวิ่งตามเอาใจใคร พอเราโต เราอาจจะไม่ได้แคร์ใครถึงขนาดทำร้ายตัวเอง มันมีสมดุลย์ที่ดีขึ้น”

กับความรักครั้งนี้ มินบอก “ไม่ค่อยคาดหวังนะ แต่ผู้หญิงทุกคนพอมีแฟนมันก็ต้องคาดหวังแหละ แต่ว่าพอเราโตขึ้นเราอาจจะไม่ได้รู้สึกว่าอนาคตเป็นสิ่งที่สำคัญเท่าปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันมันดี เดี๋ยวอนาคตมันก็ดีเอง ตอนนี้ก็ดีนะ ละมุนๆ” พูดแล้วก็หัวเราะ

กับชายหนุ่มที่คบหากันมาเกือบ 10 ปี ก่อนเปลี่ยนสถานะ มินบอก “ไม่ได้ปิดนะ แต่ว่าค้นหากันเอง มินอาจจะไม่ได้ออกมาประกาศ ให้ผู้ชายเขาพูดบ้างมั้ย(ยิ้ม) แต่เขาปิดไพรเวตนะ”

สำหรับเหตุผลที่ตัดสินในเลื่อนขั้นจากเพื่อน มินบอก การข้าม ‘เฟรนด์โซน’ นี้ “เอาจริงๆ ตอนแรกก็กลัวทั้งคู่”

“ด้วยความเป็นเพื่อน แล้วความสัมพันธ์มันดีมาตลอด ต่างคนต่างซัพพอร์ตกันและหวังดีต่อกัน เลยไม่ได้คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ มีธุรกิจอะไรก็สนับสนุน เชียร์ ให้กำลังใจ พูดยาก ตรงนี้รายละเอียดมันเยอะมากเลย”

กับสถานะใหม่มินบอกว่าเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน

“ตอนแรกไม่มีใครรู้เลยว่ามันคืออะไร ก็เลยไม่กล้าพูดไง เพราะว่าสิ่งที่ดีงามอยู่แล้วก็ยังอยากให้เก็บไว้ เพราะถ้าอะไรที่เร็วเกินไป เรากลัวจะไปทำลายสิ่งที่มันดีมานานอยู่แล้ว”

ไม่อยากให้ความเป็นเพื่อนเสีย เลยขอไปแบบใจเย็นๆ เธอว่า

ครั้นถามว่าการได้ดอกไม้วาเลนไทน์ ถือว่าเป็นแฟนกันแล้วไหม มินก็บอก “อย่าเพิ่งๆ ลัดขั้นตอน มินว่ามันเป็นการบอกว่าเหมือนเรารู้สึกดี แต่ว่าเราจะไปขมวดปม แบบเธอเป็นของฉันนะ มินว่ามันน่ากลัวไปนิดนึง เหมือนเรารับรู้แล้ว แล้วเรารู้สึกกับมันยังไง คิดก่อน เราค่อยตอบสนอง”

ตอนนี้จึงขอเรียกเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดไปก่อน

มินยังบอกด้วยว่าถึงตอนนี้มุมมองความรักของเธอได้เปลี่ยนไป

“เราก็ยังเป็นเราได้ ชอบทำงาน ก็ทำงาน เขาก็ยังเป็นเขาได้ เราจะเดินขนานกันไปยังไงให้ยังเป็นเหมือนเดิม แล้วก็เพิ่มได้มั้ย มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย คุยกันแล้วสบายใจก็สบายใจ”

ในส่วนของงานที่ตอนนี้ลงทุนทำหมู่บ้านขาย มินบอก “มันเป็นธุรกิจที่ที่บ้านทำอยู่แล้ว ธุรกิจอสังหา ค้าขายวัสดุก่อสร้าง เราทำกันมานานคุณพ่อคุณแม่ก็อยากให้เข้าไปช่วย”

“ไม่ได้บอกว่าเราเก่งมาก แต่มีนพร้อมเรียนรู้ คืออะไรก็ได้ที่ช่วยพ่อแม่รู้สึกเบาขึ้น เขาก็ได้ไปตีกอล์ฟเยอะขึ้น อยากให้เขาได้พัก”

กับงานในวงการมินบอกยังทำอยู่ โดยพยายามแบ่งเวลากันให้ได้ หลายคนมองว่าชีวิตดี๊ดี มีแฟน มีหมู่บ้าน กับเรื่องนี้มินบอก “อุ๊ย” แล้วยิ้ม

“คือตื่นมาทุกวันก็รู้สึกขอบคุณในสิ่งที่มี มินว่าเราได้เรียนรู้ช่วงที่เราโสดนั่นแหละ ว่าถ้าเรายังไม่รักตัวเอง ไม่ขอบคุณสิ่งที่เรามี เราจะไปดูแลคนอื่นได้ถูกต้องยังไง”