Inside Dara
‘แก๊ป-ธนเวทย์’ กับ เส้นทางบันเทิงที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

“ธนเวทย์ สิริวัฒน์ธนกุล” หรือ แก๊ป นักแสดงหนุ่มขวัญใจหลาย ๆ คนที่ตอนนี้นอกจากงานแสดงแล้ว หนุ่มคนนี้หันมาจับธุรกิจกระดาษห่อของขวัญที่ไม่เหมือนใครที่ชื่อว่า “อะ พีซ ออฟเปเปอร์” กระดาษห่อของขวัญที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของเรา ให้หันมาใส่ใจกระดาษห่อของขวัญกันมากขึ้น เรียกว่าเป็นหนุ่มอาร์ติสต์ที่คิดช่วยโลกอีกคนหนึ่งด้วย แหม...ไอเดียเก๋ไก๋ขนาดนี้เราต้องขอคิวมาพูดคุยกันเสียหน่อยแล้วว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร เท่านั้นยังไม่พอ วันนี้หนุ่มแก๊ป ยังเปิดใจถึงแฟนสาว ว่าอีก 2 ปี ไม่แน่มีข่าวดีนะจ๊ะ เอาละ...เราว่าไปคุยกับหนุ่มแก๊ปกันเลยดีกว่า

“เส้นทางบันเทิง”

ย้อยรอยเส้นทางวงการบันเทิงของแก๊ปเสียหน่อย เข้าวงการนี้มากี่ปีแล้ว? “เข้าวงการมาประมาณ 3-4 ปี ที่เข้ามาเล่นละครกับโพลีพลัส แต่ก่อนหน้าที่จะมาโพลีพลัสก็มีโฆษณาโน่นนี่นั่นบ้าง แล้วก็มีเล่นหนังขาว-ดำ ประมาณอินดี้ ๆ หน่อยเรื่องนั้นคนได้ดูน้อยเรื่องที่ทำให้คนรู้จักเรื่องแรก ๆ เลยคือบ่วงร้ายพ่ายรัก เรื่องนี้มาประมาณ 6 ตอน แต่ที่ทำให้คนรู้จักเยอะเลยคือ คู่แค้นแสนรัก และเรื่องล่าสุดที่เล่นไปคือ ตะวันทอแสง ส่วนงานพิธีกรก็เป็นของทาง ไทยพีบีเอส ก็มีความสนใจมาทำงานในทางพิธีกรเหมือนกันครับตอนนี้”

แก๊ปตั้งใจที่จะเข้ามาในวงการนี้ตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า?

“ก็เริ่มต้นด้วยการที่ผมเล่นละครเวทีของสถาปัตย์ก่อน ผมสนใจการแสดงตั้งแต่แรกนะ แต่ตอนที่เล่นละครเวทีของคณะ ตอนนั้นรู้สึกเสียใจนะ เพราะได้เล่นเป็นตัวชาวบ้านที่ไม่มีใครเห็น ซึ่งคนดูก็จะไม่รู้ว่ามันเล่นด้วยหรือ ประมาณทั้งเรื่องพูดอยู่ประโยคเดียว ตอนนั้นเป็นเรื่อง อาละดิน จำได้ว่าพูดอยู่ว่า เฮ้ย อาละดิน มันหายไปไหน แค่นั้นแหละ แต่ตอนนั้นเพิ่งเข้าปีหนึ่งเอง แล้วพอเข้าปีสองก็ไม่ได้เล่น เพราะว่าช่วงนั้นไปต่างประเทศกับพ่อ แต่พอปีสามก็ตั้งใจว่าอยากจะเล่นอีก ก็ไปคัดตัวเลย ตอนนั้นเป็นเรื่อง เจมส์บอนด์ 007 ตอนแรกเหมือนจะได้เล่นไม่ใช่ชาวบ้านแล้ว เหมือนจะได้เล่นเป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ เหมือนจะได้ เหมือนจะได้ ก็ไม่ได้อีก เขาก็ให้ผมไปเล่นเป็นชาวบ้านอีก แต่พอสุดท้ายเขาก็ให้เล่นเป็น เจมส์ บอนด์ 007 เลย แต่เปิดมาฉากแรกโดนยิงตายเลย แล้วก็กลับเข้าหลังฉาก เปลี่ยนเสื้อผ้า มาเกิดใหม่เป็นชาวบ้านต่อ (หัวเราะ) แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เล่นแค่ 2 ปี ก็รู้สึกว่ามันยาก อาจจะไม่ใช่ทางเราเพราะว่าเขาเป็นคอมเมดี้หรือเปล่า เรารู้สึกว่ามุกอะไรก็ไม่ได้ ตอนนั้นคงเล่นห่วยมาก ไม่ขำ

ตอนนั้นคิดว่าการแสดงมันเป็นอะไรที่เราสนใจ เราอยากจะทำมันให้ได้ แต่ว่ารอบข้าง เพื่อนๆ ทำให้เรารู้สึกได้ว่า เราคงทำไม่ได้ เราก็เก็บตรงนั้นมา คือตอนนั้นอาจารย์ก็บอกว่า ถ้าคุณจะไปทางนี้ผมว่าไม่น่าได้นะ มันยาก แต่เรารู้สึกว่าเราเชื่อในบางอย่างที่เราอยากทำ เราก็เก็บของเราเงียบ ๆ ไป”

พอได้ฟังแบบนั้นแล้ว อึดไปเรียนการแสดงอะไร เพิ่มไหม?

“ก็ไม่ได้ไปเรียนตอนนั้นนะ แต่พอดีว่าได้เข้าไปเขียนบทที่เอ็กแซ็กท์ เพราะว่าชอบเขียน ก็ไปเขียน รักแปดพันเก้า แต่ทำได้แค่ 2 อาทิตย์เอง เพราะว่างานมันหนัก และระหว่าง ทำก็ได้เจอพี่กลุ่มหนึ่ง กลุ่มเล็ก ๆ ที่เขาทำละครเวทีชื่อ แปดคูณแปด ก็ได้เล่นอยู่แบบ 4-5 เรื่องก็เริ่มจากตรงนั้นเลย พี่ ๆ เขาสอน จากที่เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็เริ่มที่จะได้เรียนรู้ ถึงแม้เงินมันจะน้อยมาก แต่เราก็ได้ทำในสิ่งที่เราตั้งใจอยากจะทำ

ตอนนั้นเรียนจบก็จะหางานประจำทำไปด้วย แล้วพอเลิกงานก็ไปซ้อมละคร แล้วที่น่าแปลก เราไปแบบไม่คาดหวังอะไรมาก แต่สิ่งที่ผมเล่นมันมีสิ่งเชื่อมโยง ทำให้ผมได้งานอะไรบางอย่างมาตลอด พอเรื่องที่ 2 ที่เล่นได้ไปแคสโฆษณา แต่ไปออกสิงคโปร์ พอเรื่องที่ 3 ก็โชคดีได้ไปเล่นหนังอินดี้ และอีกเรื่องถัดมาได้ลงโฆษณาในนิตยสาร จากตรงนั้นทำให้คุณนิด (อรพรรณ วัชรพล) เห็น ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาเห็นอะไรเหมือนกัน

แล้วตอนที่ไปแคสที่โพลีพลัส ก็ไม่ได้หวังอะไรเลยนะ เพราะว่าเคยไปแคสโฆษณามาแล้วก็ไม่ได้ ก็เลยไปแบบไม่ได้หวังอะไร แล้วตอนนั้น 26-27 แล้ว คือเราเข้าช้ากว่าคนอื่น คือตอนทำงานโฆษณาเราก็เจอดาราเยอะนะ เห็นเขาเราก็มามองตัวเองว่า อืม..วงการนี้อาจจะไม่ใช่ที่ของเรา เราก็ก้มหน้าก้มตาทำงานเราไป แล้วพอไปแคสก็อย่างที่บอกไม่หวังอะไรเลย แต่ดันได้ (หัวเราะ) แล้วพอเข้าเซ็นสัญญา 6 เดือนแรกก็ไม่มีงานอะไรเลย แต่ผมก็ยังทำงานประจำอยู่ แล้วก็คิดว่ามันคงจะเป็นอย่างที่ผ่านมานั่นแหละ เพราะว่าเราแก่แล้ว แต่พอสักพักก็มีละครเข้า ก็ทำให้มีคนรู้จักมากขึ้น ถึงตอนนี้แหละครับ คือเส้นทางของผมไม่ได้ง่ายเลยกับวงการนี้ แล้วก็เข้าใจสัจธรรมของวงการด้วยว่ามันเป็นยังไง คือเรามองเห็นอยู่ ก็เลยต้องแปลนทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย”

“กระดาษห่อของขวัญ”
วันนี้เลยมาทำกระดาษห่อของขวัญขาย?

“คือด้วยที่ผมอยากจะทำแบบดีไซน์อยู่แล้ว ก็มองในตลาดว่าจะทำอะไรดี แต่ตั้งโจทย์เลยว่า อยากจะทำอะไรที่มันรักโลก ช่วยโลก ก็มองหาในท้องตลาดทำอะไรดี ก็มองหาไปเรื่อยก็เจอกระดาษห่อของขวัญ ที่ยังไม่มีดีไซน์สวย ๆ แล้วอีกอย่างบวกกับเรื่องต้นทุนอะไรก็ยังสามารถที่จะควบคุมได้ และเป็นงานกราฟิกที่เราถนัด หมึกก็เป็นถั่วโลกที่สลายได้ไม่ทำร้ายโลก และมองว่าพฤติกรรมคนส่วนมาก พอได้ของของขวัญก็จะฉีกทิ้งเลย คือกระดาษห่อของขวัญมันอายุสั้นมาก น่าสงสารก็มาคิดทำไงดียืดอายุให้มันยาวขึ้น ต้องให้คนเอามาใช้ซ้ำได้ด้วย ก็เลยทำลายบุให้มัน คืออย่างน้อยจากกระดาษห่อของขวัญก็ยังแปลงมาเป็นกระดาษโน้ต ได้ หรือว่าเอามาเป็นปกสมุดก็ได้ หรือว่าพับเป็นซองจดหมาย และในอนาคตจะเป็นเคสโทรศัพท์ด้วยครับ”

กระดาษของเรามีแบรนด์เป็นของตัวเองไหม?

“มีครับชื่อว่า อะ พีซ ออฟ เปเปอร์ (a piece(s) of paper) ผมใส่เอสในวงเล็บด้วย ผมเชื่อว่า กระดาษห่อของขวัญมันต้องมีค่ามากกว่าหนึ่ง เลยใส่เอสเข้าไปอีกตัว เพราะว่าเราเอามาใช้ได้หลายครั้ง คือจริง ๆ ผมก็อยากจะทำอะไรเพื่อสังคมด้วยก็แฝง ๆ เข้าไปครับ”

“หญิงเดียวในดวงใจ”
ขอถามเรื่องความรักหน่อยตอนนี้ความรักเป็นไงบ้าง?

“ก็ดีครับ แฟนผมก็เป็นหุ้นกระดาษห่อของขวัญนี้แหละครับ”

ข่าวว่าคบกันมานานแล้วด้วย?

“ครับ คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนตอนนี้ก็ 11 ปีแล้วครับ เขาเป็นคนดีน่ารัก การที่เราอยู่ด้วยกันความเข้าใจสำคัญที่สุด ผมว่าเขาเป็นคนที่เข้าใจ เขาไม่เยอะ ไม่วุ่นวาย ไม่แบบเรื่องเยอะ เข้าใจเรา เขามีมุมมองที่ดี ส่วนเรื่องทะเลาะไม่ค่อยมีเลยครับ แต่พอมาทำงาน ทำธุรกิจด้วยกันก็มีทะเลาะกันบ้าง (หัวเราะ) แต่เราก็เข้าใจเราทะเลาะในเรื่องแชร์ความคิดกัน ไม่เคยทะเลาะกันหนัก ๆ เลย แต่ก็ไม่ได้ราบเรียบตลอด มันก็มีขึ้น ๆ ลง ๆ ตามชีวิตนั่นแหละครับ”

แก๊ปเป็นคนให้ความสำคัญกับความรักไหม?

“ให้ครับ ให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่รู้พอชีวิตเราโตขึ้นในแต่ละช่วงชีวิตเราความคิดเราจะเปลี่ยนไปเอง ผมก็ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมไม่คิดเรื่องแต่งงานเลย ผมยังเฮฮากับเพื่อน ทำงานหนักมากจนไม่ได้เห็นเขาเท่าไร เมื่อก่อนเป็นอย่างนั้น แต่พอเวลาผ่านไปเรามองวันนี้ เออมันสำคัญ มันเป็นช่วงเวลาที่เรามองหาคนที่จะไปด้วยกัน ดูแลกันไป”

แล้วจะแต่งเมื่อไร?

“ก็ยังไม่ทราบครับ แต่อาจจะอีก 2 ปีครับ เพราะว่าเราคบกันมานาน และอีกอย่างอายุเราก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ถึงเวลาแล้วล่ะครับ”

เป็นหนุ่มนักอนุรักษ์อีกคนที่เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็คิดแบบหนุ่มคนนี้ และเราเองก็อยากจะให้น้อง ๆ คิดช่วยโลกกันเยอะ ๆ เพราะเราได้เห็นกันมาหลายครั้งแล้วว่า ธรรมชาติของโลกเราเปลี่ยนไป ภัยธรรมชาติน่ากลัวขึ้นทุกวัน เพราะฉะนั้นหันมาช่วยกันเถอะเพื่อโลกของเรา