Inside Dara
เปิดใจ “บี้ สุกฤษฏิ์” มีเงินเยอะ-ใช้น้อย ไม่มีเวลาให้พ่อแม่ ถามตัวเองจะทำไปเพื่อ! ถวิลหาชีวิตที่สมดุล

ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร “บี้ สุกฤษฏิ์” เปิดใจมีเงินเยอะแต่ใช้เงินน้อย ชีวิตไม่สมดุล พ่อแม่ยังใช้วิถีชีวิตแบบคนบ้านๆ ไม่ฟุ่มเฟือย สุดท้ายนำเงินไปบริจาค รู้ซึ้งคนที่รักสำคัญกว่าเงิน ประกาศจะไม่เป็นบี้คนเดิมเมื่อ 10 ปีก่อน สละชื่อเสียง-เงินทองเพื่อครอบครัว บอกสาวหด รับอีเวนต์น้อยลง ขลุกที่วัดมากขึ้น

เคยเป็นพระเอกที่มีงานชุกคนหนึ่ง แต่อยู่ดีๆ “บี้ สุกฤษฏิ์ วิเศษแก้ว” ก็หายหน้าหายตาไปเลย โดยเจ้าตัวเปิดใจว่า เป็นเพราะเอาเวลารับอีเวนต์ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ไปเข้าวัดแทน ก่อนย้ำจะไม่กลับไปเป็นบี้คนเดิมเมื่อ 10 ปีก่อน

“ก็ไม่ได้หายไปไหนก็ทำงานจันทร์, อังคาร, พุธถ่ายละคร พฤหัส,ศุกร์เข้าฟิตเนสบ้าง ทำเพลงบ้าง เสาร์,อาทิตย์ไปวัด ผมเองจะว่างออกอีเวนต์ แค่พฤหัสกับศุกร์ แต่ถ้าไม่ออกอีเวนต์ ผมก็จะเข้าฟิตเนสหรือทำเพลงหรือนอนเล่นบ้าง เก็บห้องบ้าง ซักผ้าบ้าง เลยทำให้ไม่ค่อยได้เจอกัน อาจจะเพราะว่าเมื่อก่อนอีเวนต์มันเป็นช่วงเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งช่วงหลังๆ ผมไม่รับอีเวนต์ช่วงเสาร์- อาทิตย์มาหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่ต้นๆ ปี”

“เพราะว่าช่วงหลังหลังเสาร์-อาทิตย์ ผมทุ่มเทให้กับการไปวัด เป็นสิ่งที่เราคิดไว้เลย เพราะเรารู้สึกว่าไปวัดแล้วใจเรามันสบาย ซึ่งเมื่อใจมันสบายมันทำให้เราต่อสู้กับปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ อย่างสมมุติเวลาเกิดปัญหาในกองถ่ายคนนั้นก็เครียดคนนี้ก็เครียดมีเราหัวเราะอยู่คนเดียวซึ่งมันมีผลแบบนี้หรือถ้าไม่มีปัญหาเกิดขึ้นกับชีวิตใจเราก็ยิ่งสบาย”

“แฟนๆ ก็บ่นคิดถึงแต่เดี๋ยวก็ค่อยๆ มีอีเวนต์ ถ้าเกิดว่าถ่ายละครจบช่วงวันจันทร์-อังคาร-พุธเราก็จะเปิดรับ ถามว่าดูเหมือนจะทุ่มเทให้กับการเข้าวัดปฏิบัติธรรมจะเรียกแบบนั้นก็ได้ก็แบ่งเป็นครึ่งๆ ครึ่งของชีวิตไปอยู่ตรงนั้นอีกครึ่งหนึ่งก็มาอยู่ตรงนี้ โอกาสกลับไปบวชก็ยังนะ ไม่บวช เพราะว่าเราปฏิบัติที่ใจมากกว่าเรื่องของเครื่องนุ่งห่มและการโกนหัว”

ตั้งใจรับงานน้อยลง อยากมีเวลาให้คนรอบๆ ตัวมากขึ้น คนที่รักสำคัญกว่าเงิน

“มันเป็นความตั้งใจของเราที่จะรับงานน้อย เพราะว่าเรารับงานเยอะมาเป็น 10 ปีแล้ว พอเรากลับมามองหน้าพ่อ มองหน้าแม่ มองหน้าคนที่อยู่ข้างๆ เราหลายๆ คนเขาต้องการเวลาจากเรามันไม่ใช่ว่าเราจะหาเงินอย่างเดียว มันทำให้เรารู้สึกว่าเวลาที่จะให้กับคนที่เรารักมันสำคัญกว่าทำให้เราเลือกตรงนั้นดีกว่า”

“จะเรียกว่าทวงเวลาคืนก็ได้ เพราะว่า 10 ปีที่ผ่านมางานมาเป็นอันดับหนึ่งเวลาให้กับคนที่เรารักมาเป็นอันดับ 2 แต่ตอนนี้ขอสลับกันเราอยากให้เวลาและความสำคัญกับคนที่เรารักมาเป็นอันดับ 1 งานมาเป็นอันดับ 2 สลับกัน”

เชื่อพ่อแม่ต้องการเวลามากกว่าเงิน

“ถามว่าทำไมมองแบบนี้ ผมว่าสิ่งต่างๆ รอบตัวมันทำให้เราเห็นนะ ผมมักจะได้เห็นข่าวว่าดาราคนนี้ป่วย คนนั้นนอนโรงพยาบาล เพราะทำงานเยอะ หรือเห็นข่าวว่าดาราคนนั้นไม่มีเวลาให้พ่อคนนี้ไม่มีเวลาให้แม่ โดยมีเหตุผลว่าที่ทำงานหนักแบบนี้เพื่อพ่อแม่ พอผมกลับมามองดูพ่อแม่ของตัวเอง เขากลับต้องการเวลาจากเรา อยากให้เรามาอยู่ตรงนี้มากกว่าการที่เราเอาเงินมาให้เขาหรือเปล่า ซึ่งมันเป็นคำถามที่เราเอามาหาคำตอบกับตัวเอง พ่อแม่คนอื่นเราไม่รู้ แต่สำหรับพ่อแม่เราเขาต้องการเวลาจากเรามันเลยเป็นคำตอบของเรา”

เผยความไม่สมดุล หาเงินได้เยอะแต่ใช้เงินน้อย พ่อแม่ก็ใช้ชีวิตบ้านๆ เหมือนเดิม สุดท้ายนำเงินไปบริจาค

“พ่อแม่เราไม่ได้พูด แต่เรามามองดูไลฟ์สไตล์ของพ่อแม่เรา พ่อแม่เรายังไปเดินตลาดยังกินข้าวเหนียวกินอะไรบ้านๆ เหมือนเดิม แล้วก็ไม่ได้เอาเงินไปทำอะไร เพราะคุณพ่อคุณแม่เราก็เกษียณแล้ว ก็มีทำร้านกาแฟบ้าง ตีกอล์ฟบ้าง แต่ไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยอะไร อ้าว...แล้วแบบนี้เราจะหาเงินไปทำไมซึ่งมันไม่สมดุลกัน คือเราหาเงินเยอะแต่ใช้น้อย เงินที่ได้มา เราเอาไปทำอะไร เราก็เอาไปบริจาคมันก็เลยเป็นคำถาม กลับมาว่ามิฉะนั้นเราให้เวลากับพ่อแม่ดีกว่า”

จะไม่เป็นบี้คนเมื่อ 10 ปีก่อน สละชื่อเสียงและเงินทองเพื่อกลับมาอยู่กับพ่อแม่ให้มากขึ้น

“ไม่แล้ว ต่อไปจากนี้เราจะไม่เป็นคนที่รับงานเหมือนเมื่อก่อน หรือทำงานเหมือนเมื่อก่อน เราไม่เรียกว่ามันเป็นความสูญเสีย แต่เราเรียกว่ามันเป็นสิ่งที่ได้รับกลับมามากกว่า แต่เป็นการได้รับที่แตกต่างจากเมื่อก่อน เมื่อก่อนเราได้รับเป็นตัวเงิน แต่ตอนนี้เราได้รับความสัมพันธ์และความสุขจากคนที่เรารักและรักเรา มันเลยมีแต่ได้กับได้ โดยที่เราไม่เสียอะไรไปเลย เพราะเราเองก็ไม่ได้สูญเสียเงินของเราไปจากการที่เราเปลี่ยนชีวิตแบบนี้ เพียงแต่ว่าเราเปลี่ยนมาเป็นการให้ความสำคัญให้เวลากับครอบครัวแทนให้กับคนที่เรารัก”

โสด เข้าแต่วัด ไม่มีเวลาหาสาว

“โสด ถามว่าเพราะเอาเวลาไปเข้าวัดเลยไม่มีเวลาไปหาสาวจริงๆ แล้วเราเข้าวัดแค่วันเสาร์อาทิตย์วันอื่นเราก็มีเวลาที่ไปหาแฟนได้แต่ตอนนี้ไม่ได้หา”