Inside Dara
คุยกับผู้ชายครบเครื่องคุ้ยเรื่อง(ไม่)ลับฉบับ‘เต๋อ’

ทำงานเป็นทั้งคนเบื้องหลัง และเบื้องหน้า ในวงการบันเทิง สำหรับหนุ่มอารมณ์ดีมากความสามารถ “เต๋อ” ฉันทวิชช์ ธนะเสวี ล่าสุดกำลังมีผลงานละครเรื่อง “ผู้กองยอดรัก” ประกบนางเอก “มาร์กี้” ราศรี บาเลนซิเอก้า วันนี้ “บันเทิง คม ชัด ลึก” จะพาไปพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติในการใชีชีวิต ในวันที่หัวใจแข็งแรงกับผู้ชายคนนี้

พระเอกละครเต็มตัว
กระแส “ผู้กองยอดรัก” เป็นอย่างไร

ดีเลย ส่วนใหญ่คนจะบอกว่าตลก มีมุกเยอะมาก เอามุกมาจากไหน ส่วนใหญ่คอมเม้นทต์โดยรวมบอกทำให้หัวเราะก๊าก ถึงแม้ไม่ก๊าก บางทีทำให้คนดูยิ้มได้ ผมก็ดีใจ จริงๆ ผู้กองยอดรัก มีมา 8 ครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 9 ผมอยากเล่นให้ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา อยากเล่นให้ต่างไปเลย ซึ่งตัวคาแรกเตอร์ของผม ก็ไม่เหมือนเดิมนะ จะมีความเป็นคนสุพรรณแบบกะล่อน ที่ผ่านมาจะเป็นสุพรรณซื่อๆ ที่แฝงความกวนไว้ แต่ผมจะทะเล้น กะล่อนไปเลย จังหวะพูดก็เร็ว เหมือนวัยรุ่นสมัยนี้

การทำงานร่วมกับมาร์กี้เป็นอย่างไรบ้าง

กี้เพี้ยนมาก เป็นคนกะเปิ๊บกะป๊าบ วันดีคืนดีก็เอาของมาขายในกอง เขาเป็นนางเอกคนแรก ที่ไม่ต้องเวิร์กช็อปแล้วสนิทกันเลย เราสนิทกันตั้งแต่วันฟิตติ้ง โดยที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน ผมไม่รู้สึกมีกำแพงกับเขาด้วย เวลาทำงานจะมีเคมีแปลกๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะต่างฝ่ายต่างไม่มีกำแพง เช่น ถ้าขับรถแล้วเจอทางแยกซ้ายขวา เรารู้ว่าเราต้องไปซ้าย แต่ผมอยากเลี้ยวขวาให้มันผิด คนอื่นคงบอกว่ามันผิด แต่กี้พร้อมจะผิดไปกับเรา กี้จะแบบไปเลยพี่ ดูว่าทางนี้ มีอะไรบ้าง บางฉากไม่คิดว่าจะตลกก็ตลก ไม่คิดว่าจะดราม่าก็ดราม่า มีฉากหนึ่งผมประทับใจมาก เป็นฉากที่ผมถูกเข้าใจผิดว่า ไปมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่น แล้วกี้มาตบหน้าผม ความจริงฉากนั้นต้องเล่นให้ตลก แต่ปรากฏว่าในวันนั้น กี้ส่งอารมณ์เป็นทางจริงมา เขาไม่ได้ส่งมาแบบตลก กี้น้ำตาคลอเลย อยู่ดีๆ ความรู้สึกเราเปลี่ยนเป็นเรื่องซีเรียส ไม่ตลก กลายเป็นซีนดราม่าไปเลย ผมว่าเจ๋งดี พี่ผู้กำกับก็ซื้อเลย

เต๋อ รู้สึกอย่างไรกับการได้มาเล่นละครยาว

ก่อนหน้านี้ ผมเคยเล่นมาแล้วครั้งหนึ่งเรื่อง “น่ารัก” ของ “เอ็กแซ็กท์” แต่เรื่องนั้นจะแบ่งเป็น 3 คู่ มีพี่ชาคริต (ชาคริต แย้มนาม) มีผม มีสน (ยุกต์ ส่งไพศาล) แต่ละคนมีคู่เป็นของตัวเอง ไม่ใช่เราต้องดำเนินเรื่องคนเดียว แต่เรื่องนี้เราเล่นเต็มตัว และเป็นครั้งแรก ที่ได้ร่วมงานละครกับช่อง 3 ซึ่งพอเรามาเล่นจริงๆ เกิดปัญหาหลายอย่างเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้เล่นหนังมาตลอด วิธีการถ่ายทำไม่เหมือนกัน วิธีการเล่นต่างกันบ้าง ช่วงแรกต้องปรับตัว ต้องให้พี่คิง (สมจริง ศรีสุภาพ) และมาร์กี้ช่วยเยอะมาก

ละคร กับ หนัง ชอบอะไรมากกว่ากัน

ชอบคนละอย่าง ทางละครกับหนัง มีหลายอย่างไม่เหมือนกัน เวลาเราถ่ายละคร บางทีเรารับแอ็กจากนักแสดงคนอื่นแล้ว ต้องรออารมณ์ตัวเองนิดหนึ่ง แรกๆ ผมงงมาก เวลาไปดูมอนิเตอร์ ทำไมเหมือนเราไม่รับแอ็กเลย ซึ่งความจริง คือกล้องมันตัดมาไม่ทัน แต่ทางหนัง คือกล้องมีตัวเดียว เราจะเล่นไปเลยเต็มๆ หรืออย่างละคร จะมีเรื่องบล็อกกิ้งที่สำคัญ ถูกเซตไว้ว่าเราต้องอยู่ตรงไหนในการถ่ายทำ หน้าที่ของเรา คือต้องหาเหตุผลว่า ทำไมเราต้องไปยืนอยู่ตรงนั้น ช่วงแรกผมมีปัญหามาก ด้วยความที่เราเล่นหนังมาก่อน แล้วอารมณ์ของหนังจะเป็นอย่างนี้ สมมุติว่านางเอกตบหน้าเรา แล้วเดินออกไป ถ้าความรู้สึกตอนนั้นเราอยากเดินตามเขาไป เราจะเดินตามไปแล้ว แต่พอมาเป็นละคร กล้องต้องแช่อยู่ที่หน้าเราเพื่อจบเบรก เราต้องสร้างความเชื่อขึ้นมาว่า เรายืนมองเขาด้วยความเศร้า เพื่อปล่อยให้เขาอยู่กับตัวเองสักพักหนึ่ง ในหัวต้องคิดแบบนี้ เพื่อไม่ให้เราตามเขาไปในทันที

คนเบื้องหลัง
แบ่งเวลาให้แก่งานเบื้องหลังอย่างไร

แบ่งกันครึ่งๆ งานเบื้องหน้าก็มี งานเบื้องหลังก็เอา ทุกวันนี้ผมยังเขียนบทอยู่ จะพยายามเขียนอาทิตย์ละ 3-4 วันกับทีม เวลาพักผ่อนน้อยหน่อย แต่ทำงานแล้วมีความสุข ตอนนี้เขียนบทหนังอยู่ ทำกับพี่โต้ง (บรรจง ปิสัญธนะกุล) พี่แอ้ม (นนตรา คุ้มวงษ์) เป็นโปรเจกท์ที่บอกอะไรไม่ได้เท่าไหร่ เพราะเพิ่งเริ่มต้น แต่ในส่วนที่เขียนเสร็จไปแล้ว คือโปรเจกท์ที่ GTH ร่วมทุนกับ โจว ซิง ฉือ เรื่องนี้เขียนขึ้นมาใหม่ เป็นหนังจีน แสดงโดยคนจีน ฉายที่จีน แต่พี่โต้งกำกับ ตอนนี้รอฟีดแบ็กจากทางจีน ตอนเขียนบท เราเขียนเป็นภาษาไทย ซึ่งเราจะมีทีมแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วค่อยแปลเป็นจีนอีกที

ด้วยความที่เขียนบทเป็นทีม แบ่งหน้าที่กันแบบไหน

ไม่ได้แบ่ง เหมือนเป็นการระดมสมองกันทุกวัน จนได้โครงเรื่องมา แล้วแตกออกเป็นซีน เพราะเวลาแบ่งกันทำแล้ว เราจะใช้ประโยชน์ในการเป็นทีมได้ไม่สมบูรณ์ เวลาเราทำงานเป็นทีม สิ่งที่ดี คือจะมีคนต่อยอดไอเดียเราไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา ถ้าเราแยกกันเขียน จะได้แค่ความคิดเรา ไม่มีไอเดียคนอื่นมาเสริม เวลาเขียนไปแล้ว รู้สึกตันก็มีนะ ต้องหาวิธีผ่อนคลายตัวเอง ลองหยุดแป๊บหนึ่ง ไปดูปลาคาร์ฟ ซื้อกาแฟ เดินเล่น เดี๋ยวความคิดมาเอง บางทีอาบน้ำอยู่ เกิดคิดออกก็มี เรื่องตันมันมีบ่อย ถ้าไม่ตันสิแปลก เพราะบทที่ดีต้องกล้าไปในทางที่ตัน ต้องทะลุให้ได้ ถ้าไม่ตัน จะเป็นทางเดิมๆ ที่เราเคยไปกันมาแล้ว และเราไม่มีสูตรสำเส็จในการเขียนบท ทีมผมมีหลักการเดียวเลย คือ เรา 3 คนชอบไหม ถ้าเราชอบ เราได้แต่หวังว่าคนอื่นจะชอบ

ถ้าน้องๆ รุ่นใหม่อยากทำแบบเต๋อต้องทำอย่างไร

ถ้ารักการเขียนบท ต้องดูหนังเยอะๆ เพราะหนังมีหลายประเภทจากทั่วโลก มีทั้งดีและไม่ดี ต่อให้หนังห่วยขนาดไหน แต่เราดูแล้ว ก็ยังได้อะไรกลับมา เพราะฉะนั้นดูหนังให้เยอะเข้าไว้ เราจะได้เห็นโครงสร้างของมัน ดีกว่าการอ่านหนังสือ หรืออ่านทฤษฎี ดูเสร็จแล้วต้องลงมือทำ ส่วนการเป็นนักแสดง คือเรื่องของโอกาส และเมื่อเรามีโอกาสแล้ว อย่าทำมันพัง ถ้าอาชีพนักแสดงจะเป็นของเราจริงๆ สุดท้ายโอกาสจะวนมาหาเราเอง การที่ผมเข้ามาเป็นนักแสดง ถือว่าบังเอิญเหมือนกัน แค่ผมเข้าไปซีร็อกซ์บทอยู่ดีๆ เขาก็เรียกไปแคสติ้งหนังเรื่อง “ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น” แล้วได้เล่น คือเราไม่ได้คาดหวังว่า จะเป็นนักแสดง แต่ถ้าเราได้เป็นนักแสดงแล้ว สิ่งที่ยากกว่าการเข้ามา คือการรักษาตำแหน่งการเป็นนักแสดงของเรา ทั้งเรื่องความประพฤติ วินัย ฝีมือ และการยอมรับจากคนอื่น

ตัวตนผู้ชายชื่อ “เต๋อ”
คนมักจะมองว่าการเป็นคนเขียนบทต้องติสต์

ผมไม่ติสต์ ผมเป็นคนชอบอยู่กับคนอื่น ชอบปล่อยมุก ชอบทำให้คนอื่นสนุกสนาน ผมรู้ตัวว่าชอบเขียนตั้งแต่ ม. ปลาย แต่มาเริ่มบทจริงจังเขียนตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นคิดว่าตัวเองเก่งมาก เพราะได้ A ตลอด วิชาเขียนบทสบาย แต่พอมาทำงานจริงหนักอึ้งเลย เขียนบทเรื่องแรกเละเทะมาก ฝีมือห่วยมาก ตอนนั้นเรื่องแรกที่ทำคือ “เก๋า เก๋า” เขียนอยู่ปีครึ่งเกือบสองปี สุดท้ายทำให้เรารู้ว่าต้องพัฒนาตัวเองมากขึ้น ความจริงเรื่องนั้นมันยากด้วย เพราะเป็นหนังย้อนยุค ปี 70-80 ตอนนั้นมีทีมเขียนบทอยู่ 6 คน เถียงกันกระจาย เพราะไม่มีใครยอมใคร

จนถึงวันนี้ เต๋อ ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง

ผมคิดว่า ผมเลยคำว่าประสบความสำเร็จไปแล้ว ทุกวันนี้อยากจะหาอะไรใหม่ๆ ทำไปเรื่อยๆ แต่ไม่เชิงว่าอยู่ตัว ผมรู้สึกว่าผมได้ทำอะไรหลายอย่างในชีวิต ที่ผมไม่คิดว่าจะได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง คนเขียนบท พิธีกร ผมทำอะไรมาเยอะ เคยลองเป็นดีเจด้วย แล้วรู้สึกว่าไม่ชอบ เราได้เรียนรู้ชีวิตมากมาย ผมรู้สึกว่าผมเต็มแล้ว เพราะมีหลายคนที่เกิดมา แล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเองชอบอะไร มีชีวิตอยู่ต่อไปจนแก่ เขาก็ไม่มีความสุข แต่ผมโชคดีที่มีความสุขในทุกๆ วัน หลังจากนี้เราจะทำยังไงก็ได้ เพื่อให้ชีวิตมีความสุขในทุกวัน

เกราะหุ้มใจ
เรื่องความรักมีความสุขหรือยัง

ความรักสุขอยู่แล้ว ไม่เคยทุกข์ มีแค่เศร้าบ้างบางครั้ง แต่มันแค่เปลี่ยนสถานะไป มันเหมือนน้ำแข็งละลายเป็นน้ำ แต่โดยพื้นฐานน้ำแข็ง ก็คือน้ำเหมือนเดิม อย่างผมกับน้องพีค (ภัทรศยา เครือสุวรรณ) เราไม่ได้เกลียดกัน เพียงแค่ตอนนี้เราไม่ได้เป็นแฟนกันแค่นั้นเอง ทุกวันนี้ยังคุยกันเหมือนเดิม เพราะเราต้องทำธุรกิจร่วมกัน มันเป็นเรื่องปกติที่คนจะสนใจเรื่องความรัก ผมก็สนใจเรื่องของคนอื่นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมเข้าใจได้ที่คนคอยเชียร์ คอยลุ้น เราไม่ได้รู้สึกว่าต้องดูแลหัวใจตัวเองอะไรมากมาย

เลิกกันแล้วทำไมยังคุยกันได้ เพราะบางคู่ไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้เลย

มันเริ่มมาจาก การที่เราต้องคุยกัน เพราะเราทำธุรกิจร่วมกัน เราเลยต้องหาวิธีตรงกลาง ให้เราโอเคที่สุด เราคิดถึงช่วงเวลาที่เรามีความสุขด้วยกัน เราไม่ได้คิดถึงช่วงเวลาร้ายๆ เพราะมันไม่ค่อยมีด้วย เราแค่เลิกกันจากความไม่เข้าใจกันเฉยๆ แต่เรายังโอเค กลับมาใช้ชีวิตของตัวเอง ทำงานด้วยกันได้ มีอะไรปรึกษากันได้ เราคุยกันบ่อย เพราะการทำธุรกิจคือการแก้ปัญหา และปัญหาก็ไม่เหมือนเดิม เพราะเป็นสิ่งที่เราร่วมกันทำมาตั้งแต่แรก และเราอยากให้ธุรกิจอยู่ไปนานๆ

ถ้ามีคนเข้ามา เต๋อ อยากให้ความรักในอนาคตเป็นอย่างไร

ไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย ถ้ามันใช่ก็ใช่เอง ถ้ามีคนที่เข้ามาแล้ว เราชอบก็ชอบ แต่ผมไม่ได้ไปกำหนดกะเกณฑ์ว่าต้องเป็นยังไง ผมไม่มีสเปกด้วย ชอบคนก็ไม่เหมือนกัน หน้าตาไม่เหมือนเดิม เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเราจะชอบใคร บางทีเจอใครก็ไม่รู้ แล้วเราชอบก็มี เราไม่ได้คาดหวังว่า เขาต้องเป็นคนที่เข้าใจเรา ผมเคยชอบคนที่ไม่มีทางเข้าใจเรา คนละโลกเลยก็มี หรือบางคนที่เหมือนกันมากๆ เราก็ชอบได้ มันตอบไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของเคมีที่เข้ากัน เรียกว่าอยู่นอกเหนือการควบคุม

ทุกวันนี้ยังอยู่คนเดียว

อยู่กับคุณพ่อ คุณแม่ น้อง ก็ใช้คำว่าโสดอยู่ ไม่ได้ตั้งใจมองหาใคร จริงๆ ความรักไม่ใช่สิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต แต่เหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้เรามีความสุขในแต่ละวัน ถ้าเราไม่มีความรัก เราก็อยู่ได้ แต่ถ้ามี เราก็มีความสุข แต่อาจจะต้องแลกด้วยความทุกข์บ้าง ซึ่งต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ทุกวันนี้ผมไม่ได้มองว่าเราขาดนะ เรายังใช้ชีวิตอยู่ได้ตามปกติ เพียงแต่ว่าความสุขที่เคยมี มันอาจจะอยู่ในจุดราบเรียบมากขึ้น


นี่แหละการใช้ชีวิตตามแบบฉบับผู้ชายที่ชื่อ “เต๋อ” ฉันทวิชช์

เขาคนนี้ชื่อ : ฉันทวิชช์ ธนะเสวี
ชื่อเล่น : เต๋อ
เกิด : 18 กันยายน พ.ศ. 2526
การศึกษา : ปริญญาตรีจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอกภาพยนตร์และภาพนิ่ง
ผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมา : กวน มึน โฮ, ATM เออรัก เออเร่อ ฯลฯ
ผลงานละครปัจจุบัน : ผู้กองยอดรัก