Inside Dara
เปิดชีวิตรักโชกโชนของ ปั๋ง ประกาศิต จนนิยามตัวเองเป็น “ผู้ชายบ้ากาม”

รายการ “คลับฟรายเดย์โชว์” ทางช่อง GMM 25 สัปดาห์นี้ พบกับนักร้องนักดนตรีหนุ่มรุ่นใหญ่ ปั๋ง ประกาศิต โบสุวรรณ ที่ใครๆ ก็รู้ดีว่าขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ระดับตัวพ่อของวงการบันเทิง ซึ่งในครั้งนี้ ปั๋ง จะมาเล่าถึงประสบการณ์ความรักที่เรียกว่าโชกโชน พร้อมทั้งให้คำนิยามตัวเองว่าเป็น “ผู้ชายบ้ากาม” ที่มองเรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องสำคัญ เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง จนทำให้ตัวเองต้องเคยวิตกกังวลขนาดหนักถึงขั้นไปตรวจโรคเอดส์มาแล้ว

ซึ่ง ปั๋ง เล่าเรื่องชีวิตตัวเองให้ฟังว่า “ที่คนมองว่าเป็นคนเจ้าชู้ระดับปรมาจารย์ จริงๆ ผมไม่เจ้าชู้ แต่ผมบ้ากามครับ (ยิ้ม) คือผมเห็นความสำคัญเรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องศิลปะ ถ้าโลกนี้ไม่มีเรื่องนี้ ผมคงไปบวช ในมุมของผู้ชายอย่างผม เรื่องนี้มาก่อนความรักครับ ถามว่าเป็นเรื่องใหญ่กว่าความรักรึเปล่า คือไม่ใช่เรื่องใหญ่กว่า แต่มันอยู่ในความเป็นผู้ชายตลอดเวลา แต่ถ้ามันอยู่ด้วยกัน มันก็เพอร์เฟกต์ครับ แต่ทั้งนี้เรื่องนี้มันต้องอยู่ในศีลธรรม

แต่ผมกล้าพูดเลยว่าผู้ชายส่วนใหญ่ชอบเรื่องเซ็กซ์ครับ คือเวลาเห็นผู้หญิงคนนึงแล้วอยากเข้าไปคุยด้วย เขาก็มโนไปไกลแล้ว ถามว่าถ้าผู้ชายเจอผู้หญิงที่เขารักแล้วจะหยุดสนิทไหม ผมไม่เคยเห็นนะ นอกจากเขาสำเหนียกแล้วว่าต้องพอแล้วแหละ ส่วนผู้หญิงที่อยู่กับผู้ชายเจ้าชู้บอกเลยว่าให้ทำใจ ทำเป็นโง่บ้างก็ได้ ส่วนผู้ชายเจ้าชู้เนี่ยก็ไม่ควรแต่งงานไง แต่งไปก็เลิกกันไม่รู้กี่คู่แล้ว

ความรักครั้งแรกเกิดขึ้นตอนเรียนหนังสือ ผมเป็นคนตัวเฮียมาก เรากับเขาไม่คู่ควรอย่างยิ่ง เรียกว่าสะเออะไปจีบเขา จนพอโตมา 15-16 ปีก็เริ่มสนิทขึ้น โชคดีที่บ้านมีรถ เราก็ขี้อวดขับไปโชว์แล้วไปรับ ไปหัดขับรถให้เขาอีก ตอนนั้นแค่จับมือกันก็กรี๊ดแล้ว ไปดูหนังกว่าจะจับมือได้นี่ลุ้นแล้วลุ้นอีก แต่ตอนนั้นเป็นแค่ปั๊บปี้เลิฟ แยกกันไปตอนจบ ม.6 ทุกวันนี้ก็ยังเจอครับ เขายังโสดอยู่ สวยด้วย แต่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จริงๆ ผมเจ้าชู้ตั้งแต่ช่วงนั้นแล้วมั้งครับ แต่ไม่ได้เป็นแฟนใครง่ายๆ คงเพราะหน้าตารวมทั้งนิสัยด้วย

ส่วนความรักที่เป็นจริงเป็นจังครั้งแรก เขาอายุมากกว่า 3 ปี เจอกันตอนผมเป็นนักดนตรี ตอนนั้นอายุ 21 ปี เขาทำงานโรงแรม ก็คุยเล่นไป จากนั้นก็มีเบอร์โทรศัพท์บ้าน ก็ทำความรู้จักกับเขา รู้สึกชอบเขามาก เขาสวย หุ่นดี เก่ง ฉลาด แต่ผมเองโชคดีหาเงินได้เยอะ เดือนละ 2 หมื่นกว่าบาทในสมัยนั้นถือว่าเยอะมาก ก็เป็นความรักที่จริงจังเพราะเราชื่นชมเขามาก เราศรัทธาเขา ผมขับรถเก่าๆ ไปหาเขา เขาทำงานออฟฟิศกลางวัน กลางคืนเปิดผับกับเพื่อน แต่คนที่มาจีบเขานี่ขับรถพอร์ชหรูๆ เรานี่เหมือนยามมาเฝ้า บางวันก็โชคดีได้ขับรถไปส่งเขาที่บ้าน ทำอยู่เกือบปีจนได้เป็นแฟนกัน เราก็พยายามลดเรื่องผู้หญิงลง

เราคิดเองว่าเป็นรักจริงของเรา ตอนนั้นเราผ่านโลกมาพอสมควร เราก็คิดว่าเราทำได้ ซึ่งก็ทำได้ เวลาทะเลาะกันเราก็พยายามเงียบ ทั้งที่จริงเขาผิดแต่เราไม่ผิด ทำแบบนี้ตลอดเพื่อให้เขาเห็นว่าเราเป็นผู้ใหญ่ แต่มันก็กลายเป็นการสปอยล์ พอเขาอารมณ์ดีๆ แล้วเราเข้าไปคุยเรื่องเหตุการณ์ทะเลาะก่อนหน้านั้น เขาก็จะอารมณ์ไม่ดีแล้ว ไปๆ มาๆ ก็ท้อแท้ เก็บกด รู้สึกว่ามันไม่ค่อยราบรื่น

จนวันนึงแฟนคนนี้ไปทำงานที่ต่างประเทศ แล้วเขาฝากรถให้เราไปซ่อม ผมก็ไปส่งเขาที่สนามบินและเอารถไปทำให้อย่างดี ระหว่างที่เขาอยู่โน่นก็ติดต่อมาครั้งนึง ก่อนกลับเชาไม่ติดต่อมา เราก็โทรเช็กสายการบินก็รู้ว่ากลับวันนี้ เราก็จะไปเซอร์ไพรส์ แต่เราก็แอบนึกว่ามันอาจจะมีอะไรที่เลวร้ายที่สุดแหละ พอเราไปถึงสนามบินก็เห็นเขา เขาก็เห็นเราแล้วคิ้วตั้ง แต่เราเห็นแฟนเก่าเขามาด้วย ซึ่งเรารู้จักเพราะว่าเราเคยเห็นรูปที่เขาเอามาให้ดู ผมก็ไปรอตรงปากทาง เราก็บอกแฟนเราว่าไปส่งเขารึเปล่า เขาก็บอกว่าไม่ต้องไปยุ่งกับเขาหรอก แล้วแฟนเก่าเขาก็หลบไป ซึ่งจริงๆ ตอนนั้นเขาอาจจะบังเอิญเจอกันก็ได้

พออยู่บนรถก็นิ่งไปนาน เขาถามผมว่าเป็นไร ผมก็ถามเรื่องแฟนเก่าเขา เขาบอกว่าบังเอิญเจอกัน ผมก็ไปส่งเขาที่บ้าน จากนั้นผมก็รู้สึกว่าไม่ต้องบูชาความรักอะไรแล้วก็ได้ ผมคบกับเขามา 3 ปี ผมซื่อสัตย์กับเขาตลอด เวลาเขาถามเราก็บอกความจริงหมดทุกอย่าง บางทีเราไปกินข้าวกับผู้หญิงคนอื่น แต่ไม่ได้ไปเกินเลย พอหลังจากที่ไปรับที่แอร์พอร์ตก็เลยกลับไปเป็นปั๋งแบบเดิมแต่ไม่เลิก ก็ยื้อกันไป ช่วงนั้นก็เกิดเรื่องราวที่ไม่เคยลืม เป็น 8 เดือนนรก ตอนนั้นผมบอกเขาเลยว่าผมจะกลับไปเป็นแบบเดิมนะ คือกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม

มีวันนึงผมไปบาร์แห่งนึงแล้วเจอผู้หญิงคนนึงและมีความสัมพันธ์แบบ One Night Stand แล้วอุปกรณ์ป้องกันก็ขาด ตอนนั้นเรื่องเอดส์เป็นเรื่องใหม่ ผมก็กลัวมากเลยหยุดกิจกรรมไป เขาก็ถามว่าเป็นอะไร ผมก็บอกว่ากลับบ้านเถอะ หลังจากนั้นก็คิดไปว่าตัวเองเป็นเอดส์แน่ๆ และตอนนั้นก็ติดต่อผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อีกเลย ก็นับเดือนเลยว่า 3 เดือนถ้าตรวจแล้วจะรู้ผลแน่นอน 80 เปอร์เซ็นต์ ตอนนั้นใช้ชีวิตแบบซังกะตายมาก ไม่มีเพศสัมพันธ์กับใครเลย วันนั้นทำงานอยู่ที่แกรมมี่ ผมก็ตั้งใจว่าจะทำอัลบั้มเพลงเพื่อนำรายได้ไปช่วยมูลนิธิเกี่ยวกับโรคเอดส์และให้เงินแม่ และตั้งใจว่าจะประกาศตัวว่าตัวเองเป็นโรคเอดส์

ตอนนั้นเราก็รอจน 8 เดือน ช่วงนั้นเขาก็บอกว่าอาการของโรคเอดส์ มันก็มีอาการทั้งตุ่มใสๆ ผอมลง เราก็เป็นตามนี้ด้วยอีกต่างหาก ก็ตั้งใจว่าจะโดดงานไปตรวจบ่ายวันรุ่งขึ้น แล้ววันนั้นแฟนเราโทรมา เราก็บอกว่ามีอะไรจะเล่าให้ฟัง เขาก็มาเจอที่บ้าน ตอนนั้นพอถึงบ้านก็บอกแม่ก่อน แม่ก็บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวแม่ดูแลเอง ส่วนแฟนผมก็หัวเราะ บอกไม่เป็นหรอก แต่วันที่ไปตรวจ แฟนผมก็โทรหาตลอด หมอก็บอกว่าฟังแล้วไม่น่าจะเป็นนะ จะตรวจหรือไม่ก็ได้ เราก็บอกว่าตรวจเถอะ

แล้ววันนั้นคนเยอะมาก ผมก็ใจไม่ดี แฟนผมก็ใจไม่ดี พอตรวจแล้วก็ไม่ติดเชื้อจริงๆ หลังจากนั้นผมก็ไปเป็นวิทยากรอยู่อีก 3 ปี ส่วนกับแฟนคนนั้นก็เลิกกันด้วยดี แต่ไม่รู้ว่าเขากลับไปหาแฟนเก่าหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ เราได้บทเรียนจากความรักว่าจริงๆ ไม่ต้องรักไม่ต้องเข้าใจกันมาก แต่เราต้องศรัทธากัน เราแค่ชื่นชมเขาในบางเรื่องก็พอ มันก็จะทำให้ความรักไปได้นานขึ้น ตอนเลิกกับแฟนคนนั้นก็อกหัก เสียใจ มีน้ำตาไหลบ้าง แต่ก็ยังเชื่อว่ายังมีรักแท้อยู่จริง หลายอย่างมันสอนว่าแค่เรารู้จักตัวเองจริงๆ ก็สำเร็จแล้ว

หลังจากเลิกกับคนนั้นก็กลับมาเจ้าชู้เหมือนเดิม บางทีขับรถกำลังจะขึ้นทางด่วน เขาขับรถแล้วหันมามองแล้วยิ้มให้ เราก็เขียนเบอร์เราใส่กระดาษ A4 ให้เขาเห็นและบอกประมาณว่าถ้าไม่รังเกียจผมนะครับ โชคดีที่เขาโทรมาแล้วก็ได้รู้จักกัน ก็คบกันระดับหนึ่งครับ

ถามว่าในชีวิตนี้เคยคบที่มีเจ้าของไหม เคยครับ แต่ตอนนั้นไม่รู้เพราะเขาไม่บอก ถามว่าถามทุกครั้งไหม เมื่อก่อนไม่ถาม แต่เดี๋ยวนี้ถามทุกครั้งครับ แต่ตอนนั้นผมเคยคบกับคนมีเจ้าของจนชีวิตเกือบพังมาแล้ว ตอนนั้นแฟนเขาไม่ยอมเลิก ผมก็ถามว่าจะเอายังไง สุดท้ายรถก็โดนราดน้ำมันมาแล้ว ผมก็เคยบอกเขาว่าผู้ชายเขาไม่ทำกันแบบนั้น แต่เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป

ในชีวิตก็เคยคบกับผู้หญิงคนนึง รู้จักกันมานานมาก จนถึงทุกวันนี้ก็ 12 ปีครับ แต่ตอนนั้นคบกัน 5 ปี อายุน้อยกว่าประมาณรอบกว่า เขาบอกว่าเขาอยากแต่งงาน ผมก็บอกเสมอว่าผมไม่อยากแต่งงาน เพราะผมยังคิดว่าผมยังเสียสละให้ใครสักคนมากขนาดนั้นไม่ได้ แต่วันนี้รู้แล้วว่ามีจริง แต่ตอนนั้นด้วยอะไรหลายอย่าง เขาเองก็ยังไม่พร้อม แล้วผมไม่ตามเลย ไม่จิก โทรไปไม่รับก็ไม่ตาม อีกวันนึกได้ก็โทร มีหึงหวงบ้างธรรมดา แต่ในเมื่อเราเลือกเขาเป็นแฟนแล้ว ถ้าแฟนเราไปคบกับคนอื่น ชอบเขามากกว่าเรา ก็คงช่วยไม่ได้ ถามว่าเศร้าไหมเศร้าครับ แต่ก็ปล่อยให้เขาไปมีความสุขดีกว่า ยังไงก็ต้องชัดเจน

กับผู้หญิงที่เป็นไฮโซคนนึง ก็เคยคบกันแล้วคลิกมากนะ แต่สุดท้ายก็ไม่ราบรื่น ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกดี ผมไม่เคยโกรธใครเลยนะ แต่ไม่รู้เขาจะโกรธรึเปล่า ถ้าเขากลับมาคุยแล้วเราก็ถามเขาก่อนว่ามีแฟนรึเปล่า ถ้ามีแล้วก็บอกว่าไม่ยุ่งนะ ส่วนเรื่องรูปที่คุกเข่ามอบดอกไม้ให้ผู้หญิงคนนี้ จริงๆ เพื่อนเขาลง ส่วนไอจีผมเขาเป็นคนทำให้ จริงๆ รูปนั้นเป็นภาพวันเกิด ผมก็ไปซื้อดอกไม้แล้วคุกเข่าให้เขา เพื่อนก็ถ่ายรูปแล้วเอาไปลงก็เลยเป็นข่าว แต่ตอนนี้เป็นเพื่อนกันครับ

ถึงตอนนี้ผมโสดครับ แต่ก็มีรักแท้ในใจ รักแม่นี่แหละรักแท้ครับ วันนี้ผมก็พร้อมให้คำปรึกษาครับ การอยู่กับคนเจ้าชู้ ย้อนกลับไปในเรื่องที่เราคุยกัน คุณศรัทธาอะไรในตัวคนนั้นรึเปล่า ถ้าเขายังมีส่วนดี คุณก็มองตรงนั้นแล้วก็ให้อภัยเขา ถ้ามีลูกก็ให้ตรงนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต รักใครก็รักไป แต่อย่าให้เขาเอาเปรียบเรา เมือ่ไหร่ก็ตามที่เราให้อะไรใคร แม้ตอนนั้นเราลำบากแค่ไหน นั้นแหละคือความรัก

ผู้ชาย 3 ประเภทที่เจอแล้วผู้หญิงควรหยุดเถอะ คือ 1.ผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิงทั้งร่างกายและจิตใจ 2.ผู้ขายที่ใช้เงินผู้หญิง 3.ผู้ชายไม่ให้เกียรติผู้หญิง ง่ายๆ คือด่าว่าผู้หญิงต่อหน้าคนอื่น และส่วนมากที่เคยเจอคือมีผู้ชายที่เป็นทั้ง 3 ประเภทในคนคนเดียว คำว่าสุภาพบุรุษมันมีศักยภาพมากนะ

มาถึงวันนี้ผมไม่เอาอะไรแล้ว ผมพอมาตั้งนานแล้ว ทุกวันนี้เป็นโบนัส มีอะไรทำก็ทำครับ ผมไหว้พระขออย่างเดียวคือขอให้เลี้ยงครอบครัวได้อย่างมีความสุข ถามว่าปักธงไหมว่าไม่แต่งงานก็ไม่ โลกนี้ไม่แน่นอนหรอก แต่ถ้าเลือกได้ก็จะไม่แต่งงาน ถามว่าเคยมีคนที่อยากแต่งงานไหมเคยมีแต่นานแล้ว ถ้าแต่งงานก็จะไม่เลิกกัน ถามว่าถ้าแต่งแล้วจะเลิกเจ้าชู้ได้ไหมก็คงไม่ ผมเห็นแก่ตัว ผมอยากอิสระครับ ถ้าคนที่เข้ามาก็ต้องรับที่เราเป็นแบบนี้

ถามว่าที่ผ่านมามีแฟนกี่คน ที่ผ่านมาก็เยอะมาก เคยคบทั้งนางเอก นักร้อง นางแบบ ที่ผ่านมาเคยทำร้ายจิตใจผู้หญิงก็เคยมีครับ ก็กลัวกรรมตามสนอง แต่ผมเนี่ยไม่โกหก ตลก สุภาพ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ถามว่าอยากขอโทษใครไหม ก็อยากขอโทษทุกคนจริงๆ บอกเลยว่าไม่มีเจตนาให้ใครเศร้าใจหรือรู้สึกไม่ดี แต่ถ้าทำให้ร้าวรานใจมากมายก็ขอโทษจริงๆ มันมาจากตัวผมเองเลย แต่อยากให้มองอีกมุมว่าผมไม่โกหกใครนะ หลังๆ มานี่ผมพยายามระวังทุกความสัมพันธ์ อะไรที่มันจะมากกว่าแค่ความสุข ผมก็พยายามเลี่ยงครับ เนี่ยผมไหว้พระผมก็ขออย่างว่าไม่อยากมีลูก

ถ้ามีเด็กผู้หญิงมาปรึกษาขอคำแนะนำถ้าเจอผู้ชายเจ้าชู้ควรระวังยังไง ก็บอกว่าใช้ชีวิตให้มีความสุข แต่ถ้าฉลาดจริงอย่าให้กระทบตัวเองทั้งเรื่องเรียน สุขภาพ ฯลฯ รวมถึงครอบครัว แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่นมันบอกไม่ได้ว่าทำแล้วซวยไม่ซวย อย่างน้อยฟังผู้ใหญ่สักนิดก็ยังดีครับ

ถ้าเราไม่อยากมีลูก ต้องบอกว่าโชคดีที่เรามีเพื่อนกลุ่มนึง 10 คน 3 คนแต่งงานแล้ว อีก 7 คนก็ยังใช้ชีวิตแบบเรา เราก็หวังว่าเขาจะอยู่กับเราไปเรื่อยๆ ระดับนึง เราก็ทำงานหาสตางค์เก็บไว้เยอะๆ ก็ให้หลานมาเลี้ยง ไม่ก็จ้างพยาบาลมาดูแล ก็คงใช้ชีวิตแบบนี้แหละ ทุกวันนี้โสดสนิทมาก แต่ก็ยังเชื่อว่ารักแท้มีอยู่จริงครับ”