Inside Dara
‘เปรี้ยว’ ไม่คิดแข่งขันใคร ภูมิใจวันนี้เลี้ยงตัวเองได้

เป็นอีกหนึ่งสาวดาวรุ่งที่น่าจับตามองไม่น้อย สำหรับนางเอกน้องใหม่ช่อง 7 อย่าง เปรี้ยว-ทัศนียา การสมนุช งานนี้เลยไม่พลาดคว้าตัวเธอมาทำความรู้จักให้ครบทุกมุมของชีวิต ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวและเรื่องหัวใจ ที่ต้องบอกว่าเตรียมใจกันไว้ให้ดี เพราะอ่านบทสัมภาษณ์เธอเสร็จ คุณอาจจะหลงเสน่ห์เธอก็ได้

ถามถึงบทบาทนางเอกในละครเรื่อง “โดมทอง” รู้สึกยังไงบ้างที่ได้รับบทนี้?

“ตอนแรกที่รู้ว่าต้องเป็นนางเอกเรื่องนี้ก็รู้สึกกดดัน แต่ อาโย-ทัศนวรรณ ซึ่งเป็นโค้ชแอ๊คติ้ง ก็คอยสอนเรื่องการใช้น้ำเสียง ท่าทาง การใช้สายตา การสื่ออารมณ์ จะบอกให้หนูพูดด้วยน้ำเสียงที่โตขึ้น เพราะเรื่องนี้เราต้องเป็นผู้หญิงที่นิ่ง ๆ และมั่นใจ เรื่องนี้หนูต้องเล่นเป็น “วิรงรอง” กับ “พลับพลึง” คือเป็นคนละคนกันเลย ในส่วนการแสดงก็จะแตกต่างกันสุดขั้ว พลับพลึงจะเป็นผู้หญิงในสมัยก่อน ต้องเรียบร้อย โดนว่านิดหน่อยก็น้ำตาร่วง ส่วนวิรงรองจะเป็นผู้หญิงที่มั่นใจ เหมือนนางเอกสู้คน ส่วนตัวหนูว่าน่าจะเป็นคาแรกเตอร์ของวิรงรองที่ใกล้เคียงกับตัวเรา ส่วนการที่ต้องเล่นกับพี่วี-วีรภาพ ที่เป็นพระเอกดัง ตอนแรกเราก็เกร็ง ๆ พี่เขาโตกว่าหนูเยอะ เวลาที่จะพูดกันก็ยากนิดนึง เราก็เด็กใหม่ ส่วนพี่เขาอยู่มานาน แต่พี่เขาก็ดีค่ะ ตลก ชอบแซวคนในกอง เราก็ผ่อนคลายขึ้นและเล่นด้วยกันได้ไม่เครียด สำหรับฉากที่ยากที่สุดในเรื่องนี้น่าจะเป็นตอนที่แสดงเป็นพลับพลึง ตั้งแต่ซีนที่ถูกเอาตัวไปขังจนถึงก่อนที่จะตาย ยากมาก เพราะเราต้องร้องไห้จริงจัง เราต้องกระชากขาจริง ๆ คือเขาใช้โซ่หนัก ๆ ล่ามขาเรา ก็เจ็บจริงเลย และเราต้องใช้อารมณ์เยอะด้วย สำหรับซีนนี้เราร้องไห้จนเส้นเลือดขึ้น ปวดหัวเลย เป็นฉากหินที่สุดค่ะ”

เริ่มเข้าวงการได้ยังไง?

“หนูเรียนโรงเรียนสตรีนนทบุรี แล้วรุ่นน้อง เอารูปหนูไปโพสต์ในอินเทอร์เน็ต พอดีพี่พลอยกับพี่แพร ผู้จัดการส่วนตัวหนูเขาไปเห็นเข้า เลยติดต่อเข้าวงการ จากนั้นก็มีการประกวดซันซิล ซึ่งหนูก็ชนะการประกวด และก็แคสติ้งที่ช่อง 7 ก่อนเซ็นสัญญากับที่นี่ ตอนแรกที่พี่ ๆ เขามาติดต่อขอเบอร์เรา เราไม่ค่อยเชื่อนะ กลัวโดนหลอกไปถ่ายอะไรที่ไม่ดี แต่พอพี่เขาให้ไปแคสงาน เราก็รู้ว่าพี่เขาทำงานจริง ๆ ตอนนั้นหนูคิดหนักอยู่เหมือนกัน เพราะมันอยู่ในช่วงที่จบ ม.6 กำลังจะขึ้นปี 1 เรื่องเรียนเราก็เครียด กลัวทำงานแล้วไม่มีเวลาเรียนเท่าที่ควร แต่เราก็อยากลองค่ะ”

หลังจากที่มีชื่อเสียงแล้ว ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน?

“ก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะเหมือนกันค่ะ การใช้ชีวิตประจำวันที่เมื่อก่อนจะได้เจอเพื่อนมากกว่า แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เจอเลย ทำงานตลอด แต่ ณ วันนี้หนูปรับเรื่องเวลาได้แล้วค่ะ รวมทั้งตอนนี้ ม.กรุงเทพ ที่หนูเรียนอยู่ยังไม่เปิดเทอมด้วย เลยโชคดีคิวงานลงตัวอยู่ ส่วนเรื่องการปรับตัวก็มีเรื่องการดูแลตัวเอง เรื่องบุคลิก เพราะเราตัวสูงก็ชอบเดินหลังค่อม และเมื่อก่อนจะโดนว่าเรื่องเป็นคนหน้าดุ ทั้งที่หนูเป็นคนไม่มีอะไร แต่หนูเป็นคนหน้านิ่งแล้วถ้าไม่ยิ้มด้วย คนก็จะคิดว่าเราหยิ่ง แต่จริง ๆ แล้วหนูไม่ใช่คนหยิ่งเลย ลองมาคุยสิ ปัญญาอ่อนเลย (ยิ้ม) ซึ่งพอเข้าวงการพี่พลอยก็บอกให้เรายิ้ม ตอนนี้ออกไปข้างนอกใครมองมาเราก็ยิ้มค่ะ”

ท่ามกลางดาวรุ่งมากมายที่เกิดขึ้นในวงการ เราคิดว่าจะทำยังไงให้สามารถอยู่ในวงการได้นาน?

“หนูไม่คิดแข่งกับใคร อยากแข่งกับตัวเองมากกว่า แค่เราทำหน้าที่เราให้ดีที่สุด และพยายามดูแลตัวเอง ส่วนเรื่องการวางตัว เราก็ต้องเสมอต้นเสมอปลาย เจอน้องให้ทัก เจอพี่ให้ไหว้ มันเป็นสิ่งที่ถูกสั่งสอนมาจากคุณน้า ที่ให้เราเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น อย่าไปเฟค เพราะสักวันตัวตนเราก็ต้องเผยออกมาอยู่ดี หนูไม่กลัวชื่อเสียงจะทำให้เหลิงเลย เพราะหนูไม่ได้อยากเด่น อยากดัง หนูอยากทำงานเฉย ๆ อยากมีเงินไว้เลี้ยงครอบครัว หนูไม่มีคติในการทำงานนะคะ แค่รู้สึกว่าเราทำหน้าที่เราให้ดีที่สุดก็พอ และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ส่วนเรื่องเหมือนจะถูกดันให้เป็นนางเอกคนใหม่ของช่อง มันก็มีรู้สึกกดดันนิดนึงแหละค่ะ นางเอกรุ่นพี่ในช่องก็มีฝีมือในการแสดง แต่ช่องก็ยังให้โอกาสเรา หนูก็จะทำให้ดีที่สุดค่ะ สำหรับเรื่องการเปรียบเทียบ หนูเฉย ๆ นะ พยายามไม่เอาเรื่องแบบนี้มาเป็นเรื่องให้เรากดดัน เราทำงานทุกวันแล้วเอาเรื่องอย่างนี้มากดดัน มันก็จะทำให้เราทำผลงานออกมาได้ไม่ดี เราเลยคิดว่าเราก็คือเรา คนอื่นมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว”

การทำงานในวงการสอนอะไรมากที่สุด?

“สอนเรื่องสมาธิ สติและความอดทน โดยเฉพาะเรื่องความอดทน เมื่อก่อนที่เป็นนักเรียน เราไม่ต้องทำงานหลาย ๆ ชั่วโมงติดต่อกันนานขนาดนี้ เวลาเรียนก็มีช่วงพักกลางวันไว้ผ่อนคลาย แต่พอทำงานในวงการออกจากบ้านตี 4 ถึงบ้านอีกทีตี 2 มันหลายชั่วโมงมาก คนอื่นคิดว่าเราสบาย แต่มันเหนื่อยและหนัก พอเข้ามาทำงานในวงการรู้สึกแตกต่างจากตอนที่เรานั่งอยู่หน้าจอเลย ตอนแรกเราก็คิดว่าดาราต้องสบายแน่นอน รวยด้วย สวยด้วย ทุกคนเวลาที่เล่นละครหรือออกงานก็ต้องทำให้ตัวเองตื่นตลอดเวลา แต่เราไม่รู้ว่าเบื้องหลังเขาหนักแค่ไหน อีกอย่างพอได้มาทำงานในวงการหนูรู้สึกโตขึ้นเยอะมาก เพราะเมื่อก่อนตอนเล่น “แม่ปูเปรี้ยว” เรื่องแรกก็ยังรู้สึกเหนื่อย ท้อจนร้องไห้ ไม่อยากทำแล้ว แต่พอละครออนแอร์ คนดูชอบ อยากให้เรามีผลงานอีก เลยเริ่มรู้สึกว่าเราทำงานเราก็ได้เงิน พอเรามีเงินเราก็สามารถดูแลครอบครัวและดูแลตัวเองได้ค่ะ”

นิสัยส่วนตัวเป็นคนยังไง?

“เป็นคนห้าว ๆ ยังไงก็ได้ สบาย ๆ เซอร์ ๆ ไม่ค่อยได้แต่งตัวหวานแบบนี้ ก็ได้พี่ผู้จัดการคอยปรับลุคให้ ในแง่อารมณ์ตั้งแต่เกิดมาหนูเป็นคนที่โกรธใครน้อยมาก หากไม่มาทำเรื่องให้กระเทือนจิตใจจริง ๆ หนูไม่โกรธ ทำไม่ดีกับเราก็เฉย ๆ ไปค่ะ”

สิ่งภาคภูมิใจในชีวิตที่เคยทำ?

“หนูเป็นคนที่ไม่เคยขอเงินจากที่บ้านเลย เพราะว่าน้าจะสอนให้หนูทำทุกอย่างเป็นตั้งแต่เด็ก คือที่บ้านหนูทำธุรกิจขายของที่จตุจักร ตอนอยู่ ป.6 น้าก็จะพาหนูไปเดินสำเพ็ง เลือกซื้อของมาขาย น้าปลูกฝังให้หนูรู้จักทำมาหากิน เริ่มแรกน้าจะลงทุนให้ เราขายได้เท่าไหร่ก็คืนทุนให้น้า เราเอาไว้แต่กำไร และพอเราได้กำไรเยอะ เราก็เอาไปลงทุนได้เอง ตอนช่วง ป.6–ม.3 หนูมีเงินเก็บประมาณ 6 หมื่นได้ เพราะน้าก็มีให้ไปช่วยทำงานที่ร้านที่จตุจักร และก็ให้ค่าจ้างเรา เราก็เอาเงินค่าจ้างตรงนี้ใช้ตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ เราบริหารเงินเอง อยากได้อะไรเราก็ต้องเก็บเงินเอา หนูว่ามันเป็นเรื่องที่ดี ตอนแรกหนูก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องมาทำงานขณะที่เพื่อน ๆ ได้ไปเที่ยวกัน แต่ตอนนี้หนูเข้าใจแล้ว มันทำให้เราภูมิใจที่ไม่ต้องขอเงินใครฟรี เราทำงานแลกเงินเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนอนาคตถ้าเรามั่นคงกว่านี้ก็อยากเปิดร้านขนมหรือเบเกอรี่ร่วมกับน้า ก็คงมีความสุขดีค่ะ”

ถามถึงสถานะหัวใจบ้างเป็นยังไง?

“ก็มีเพื่อนและครอบครัว ตอนนี้โสดสนิทค่ะ ส่วนมีคนมาจีบบ้างมั้ย จริง ๆ หนูเป็นคนเฉย ๆ มาก เลยไม่รู้ว่าใครมาจีบรึเปล่า ถามว่าผู้ชายที่สามารถเอาชนะใจเราได้ต้องเป็นคนแบบไหน คือถ้าได้แบบ ลี มิน โฮ ก็ดี (ยิ้ม) หนูชอบค่ะ แต่จริง ๆ หนูชอบคนที่เข้าใจกันมากกว่า ด้วยการที่หนูทำงานแบบนี้ด้วย หากขาดความเข้าใจกัน คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ส่วนเรื่องรูปร่างหน้าตาก็ต้องแบบลี มิน โฮ แหละค่ะ สูง ๆ ขาว ๆ มีเสน่ห์ที่ตา”

หากเจอผู้ชายเจ้าชู้ กะล่อน ไม่จริงใจเข้ามาจีบ เรามีวิธีจัดการผู้ชายพวกนี้ยังไง?

“เราจะแมนใส่เลย เราจะแบบอะไร ตลกใส่ให้เขาเสียเซลฟ์ไปเลย หนูจะไม่มาเขินค่ะ”

มีรักแรกแบบป๊อปปี้เลิฟบ้างมั้ย?

“ไม่มีเลยค่ะ แต่ช่วงที่อยู่โรงเรียนสตรีนนทบุรีก็จะมีรุ่นน้องมาชอบ เพราะเราเป็นนางรำด้วย ก็จะมีคนรู้จักเยอะ ก็มีทั้งแบบเป็นทอมบ้าง เป็นผู้หญิงบ้าง ส่วนการมาจีบแปลก ๆ ก็มีคนนึง เขาเป็นคนตลกมาก เขาเป็นผู้หญิงที่ห้าวแต่ไม่ใช่ทอมนะ ตอนนั้นหนูอยู่ ม.1 เขาเป็นรุ่นพี่ วันวาเลนไทน์เอาดอกบัวมาให้ 3 ดอก หนูก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขาก็บอกว่าพี่ไม่ได้ชอบน้องแบบนั้นนะ แต่พี่เห็นน้องเป็นนางรำ รำสวยดี พอเราถามว่าแล้วทำไมต้องให้ดอกบัว เขาก็บอกว่าบริสุทธิ์ใจ (หัวเราะ) มันก็ตลกดีค่ะ ส่วนความรักแบบหนุ่มสาวหนูไม่มีเลย พอมาอยู่มหาวิทยาลัย ก็มีแต่เพื่อนเก้งกวาง แต่หนูก็สบายใจ อยู่แบบนี้ก็โอเคค่ะ หากมีคนเข้ามาตอนนี้หนูต้องดูเยอะ ๆ เลย เพราะเราไม่รู้ว่าเขามาดีหรือร้าย แต่ด้วยความที่หนูเป็นคนหน้านิ่งด้วย เลยไม่ค่อยมีคนเข้ามา หน้าตาเป็นเกราะป้องกันไปแล้วชั้นนึงค่ะ ส่วนพร้อมเปิดใจศึกษาใครมั้ย คือหนูอยากทำงานและเรียนก่อน เพราะแค่นี้ก็ 7 วันแล้ว ไม่มีเวลาไปคุยกับใคร เวลาที่ว่างเราก็อยากพักผ่อนค่ะ”

ท้ายสุดนิยามความรักในแบบเปรี้ยวให้ฟังหน่อย?

“ก็คงแบบง่าย ๆ อะไรก็ได้ แค่อยากให้รักกันอย่างสบาย ๆ ไม่ต้องมานั่งบังคับกันให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ เท่านี้ก็พอแล้วค่ะ”

เรียกว่าแม้อายุเธอยังน้อย แต่เธอก็มีความคิดไม่น้อยเลยทีเดียว งานนี้หนุ่มไหนอยากพิชิตหัวใจ คงต้องทำการบ้านมาให้ดีเลยนะจ๊ะ