Inside Dara
มีวันนี้เพราะพยายาม 'มิลค์ เขมสรณ์' โต้เป็นผู้ประกาศข่าวเด็กเส้น!

จากนักแสดงสาวชื่อดัง อยู่ๆ มิลค์ เขมสรณ์ หนูขาว ก็หายไปจากวงการบันเทิงและกลับมาอีกครั้งกับบทบาทผู้ประกาศข่าว วันนี้เธอคือผู้ประกาศคนสำคัญของช่องไทยรัฐ ทีวี แต่ใครจะรู้ว่าผู้ประกาศข่าวอดีตนักแสดงอย่าง มิลค์ กว่าจะมีวันนี้ได้ เธอต้องผ่านคำปรามาสมามากมาย ทั้งข่าวเด็กเส้นช่อง 5, หรือจะเจอวิจารณ์ว่า เอาดารามาอ่านข่าวไม่ได้เรื่อง เจอหนังสือพิมพ์ตีพิมพ์ต่อว่าสัมภาษณ์ไม่มีประโยชน์ โดน SMS ด่าหน้าจอ มิลค์ เขมสรณ์ ก็ผ่านมาแล้ว บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ไปพูดคุยกับเธอ ลองอ่านมุมมองความคิดของเธอดู แล้วคุณจะรู้ว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น" จริงๆ

จากนักแสดงสาวใสๆ แอบมีเซ็กซี่บ้าง อยู่ๆ มิลค์ มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร

"ท้ายๆ การเป็นดาราก็แอบมีเป็นตัวร้ายบ้างนะ (หัวเราะ) ถามว่าจากตรงนั้นมาเป็นผู้ประกาศได้อย่างไร คือเราตัดใจไปเรียนต่อปริญญาที่ประเทศอังกฤษ แล้วมิลค์ตั้งใจว่าหลังจากกลับมาเมืองไทยไม่อยากเป็นดาราแล้ว ตัวมิลค์เรียนกฎหมายระหว่างประเทศมา จึงเป็นคนดูข่าวค่อนข้างเยอะ เพราะอาจารย์จะให้ไปดูข่าวว่า ข้อขัดแย้งระหว่างประเทศมีอะไรอย่างไร แล้วเอามาคุยกันในชั้นเรียน ซึ่งยิ่งดูข่าวมากเราก็รู้สึกว่าข่าวน่าสนใจ ข่าวสนุก จึงตั้งใจว่ากลับมาจะเป็นนักข่าวสายการเมือง เพราะความตั้งใจอีกอย่างคือจะเป็นนักการเมือง เลยอยากลองทำนักข่าวสายการเมืองก่อนเพื่อที่จะได้รู้ว่าเป็นนักการเมืองดีมั้ย"

ตั้งใจแต่แรกเลยมั้ยคะว่าจะเป็นผู้ประกาศข่าว

"เราไม่ตั้งใจอยากเป็นผู้ประกาศข่าวอย่างเดียว แต่อยากเป็นนักข่าวที่ได้ลงพื้นที่ ได้เขียนข่าว เลยสมัครงานออนไลน์มาจากที่อังกฤษเลย ทั้งช่องเนชั่น ช่องไอทีวี กลับมาเมืองไทยตั้งใจมากที่จะเป็นนักข่าว แต่ก็ไม่มีใครเรียกเลยนะที่ส่งใบสมัครออนไลน์ไป กลับมาเมืองไทยก็เลยทำเรซูเม่เดินเข้าไปสมัครเองเลยทุกที่ แต่รองานนักข่าวเป็น 6 เดือนไม่มีใครเรียกเลย เรามั่นใจและมีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมมาก แต่อะไรกัน ไม่มีใครเรียกเลยครึ่งปี (หัวเราะ) จนสุดท้ายก็เริ่มคิดว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับงานสายนี้จริงๆ ก็เลยไปสมัครงานที่กระทรวงการคลัง ฝ่ายกฎหมาย เป็นนิติกร ที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง สัมภาษณ์เรียบร้อยเขาจะรับแล้ว แต่อยู่ๆ ช่อง TNN เรียกมาให้ไปอ่านข่าว เอาแล้วไงทีนี้ทำยังไงละ ก็มานั่งคิดและสุดท้ายตัดใจทำตามที่เราฝันดีกว่า เลือกทำงานที่ TNN"

ได้ทำงานที่ใฝ่ฝันแล้วเป็นอย่างไรบ้างคะ

"ไปทำแล้วไม่ใช่อย่างที่เราอยากทำจริงๆ เขาให้เราลองไปอ่านข่าวกีฬา แต่ใจสู้ไงอะไรก็ได้อยากลองทำ ซึ่งทำแล้วอ่านไม่ได้เลย อ่านผิดหมดเลยชื่อนักกีฬา ชื่อนักฟุตบอล เพราะเราไม่ได้สนใจกีฬาขนาดนั้น จากนั้นเขาก็เลยให้เราทำข่าวต่างประเทศ แต่เป็นข่าวเบาๆ ซอฟต์นิวส์นะคะ ก็โอเคขึ้นกว่าข่าวกีฬา แต่ด้วยความที่เราไม่มีพื้นฐานข่าว เขียนข่าวก็ไม่เคยเรียนมาเพราะเราเรียนกฎหมาย ทุกอย่างเลยยากมาก อ่านผิดอ่านถูก ใช้คำว่าห่วยได้เลย และด้วยความที่ TNN เขาจะแยกชัดเจนระหว่างผู้ประกาศกับผู้สื่อข่าว แต่มีช่วงจังหวะหนึ่ง เขาอยากให้ผู้ประกาศข่าวไปรายงานสดภาคสนามข่าวยุบพรรคการเมือง มิลค์เลยเสนอตัว ซึ่งก็ได้ไปเพราะผู้ประกาศข่าวส่วนใหญ่เขาจะไม่ค่อยอยากลงพื้นที่ พอได้เริ่มลงพื้นที่การรายงานสดข่าวการเมืองวันนั้น ก็รู้ตัวว่ายังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่"

จากช่อง TNN ก็ได้มาอยู่กับช่อง 5

"ใช่ค่ะ จากที่เราเคยสมัครช่อง 5 ไว้ วันหนึ่งเขาโทรมาเรียกให้ไปสอบ ทั้งสัมภาษณ์และข้อเขียน ไปสัมภาษณ์กับ บก.ข่าว เขาเปิด CNN ให้เราแปลข่าวและรายงานสด สุดท้ายช่อง 5 ก็รับ มิลค์เลยเลือกเป็นผู้สื่อข่าวโต๊ะการเมือง ซึ่งที่ช่อง 5 เขาจะไม่มีตำแหน่งผู้ประกาศข่าว มีแต่ผู้สื่อข่าวเท่านั้น คนที่อ่านข่าวออกหน้าจอทุกคนต้องวิ่งข่าวลงพื้นที่ด้วย พูดง่ายๆ งานหลักคือผู้สื่อข่าวและงานเสริมคือผู้ประกาศข่าว วันแรกที่ลงพื้นที่ข่าวการเมือง จำได้เลยว่าไปตามผลการเลือกตั้งที่ กกต. ซึ่งช่องจะเอารายงานผลการเลือกตั้งทันทีที่ปิดหีบ เรามืดแปดด้านมากว่าต้องทำยังไง จนได้พี่ๆ นักข่าวช่องอื่นมาช่วยเหลือ เอาข่าวมาให้เราไปปรับส่ง มีประสบการณ์ขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงทุกวันนี้ได้ ขอบคุณพี่ๆ นักข่าวการเมืองหลายๆ คนที่ช่วยดูแล (ยิ้ม)"

ช่วงนั้นช่อง 5 รับผู้ประกาศข่าวที่เป็นเซเลบฯ ไฮโซ ดาราเข้ามาพร้อมกันค่อนข้างเยอะ คนจับตาเยอะว่าเส้นเข้ามา อาศัยความเป็นคนมีชื่อเสียงรวมทั้งมิลค์

"ไม่มีเส้นเลย (ลากเสียง) ไปช่อง 5 ก็ถาม รปภ.ว่าสมัครงานไปตรงไหน ไม่มีรู้จักใคร หรือใช้ความเป็นดารามีเส้นสายเข้าไป แต่เรื่องการโดนจับตา ยอมรับว่าแรกๆ มีนิดหน่อย เพราะก่อนจะได้เป็นผู้ประกาศก็โดนหนักเหมือนกันว่าเป็นดารา อ่านข่าวยังไงก็ดูเป็นดาราอ่าน ไม่ให้อ่านหรอกข่าวหนักๆ อ่านข่าวเบาๆ ก็พอ

แต่เราก็สู้ บอกพี่ๆ เขาว่าไม่เป็นไร ยังไม่อ่านข่าวก็ได้ ขอลงสนามข่าวก่อน แต่เขาไม่ให้ เราก็ต้องทำทั้งผู้ประกาศและผู้สื่อข่าว ซึ่งมันยากมากกับการทำสองอย่าง ก็เลยเริ่มทำการบ้านให้ดี สู้ด้วยใจ ความผิดพลาดอะไรก็ถือเป็นบทเรียน"

ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ผู้หญิงคนนี้พิสูจน์แล้ว
ต้องปรับคาแรกเตอร์เยอะมั้ย เพราะด้วยภาพดาราคนอาจจะไม่ให้ความน่าเชื่อถือเท่าไหร่กับการมานั่งประกาศข่าว

"เยอะมาก (ลากเสียง) ต้องฝึกการควบกล้ำ ร.เรือ ล.ลิง ให้ชัดเจน ตอนนั้นยอมรับเลยว่าไฟแรงไม่รู้ไปเอาไฟมาจากไหน (หัวเราะ) นั่งอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ออกเสียงที่หน้ากระจก ฝึกทุกวัน ทำการบ้านด้วยการอ่านหนังสือพิมพ์ 3-4 ฉบับ เพราะเราพื้นฐานข่าวน้อยกว่าคนอื่น เวลาลงพื้นที่ข่าวก็ทำเต็มร้อย 3-4 ปีที่ฝึกซ้ำๆ อยู่อย่างนี้ แรกๆ ก็ยังไม่ค่อยดี โดนว่าๆ ร.เรือชัดไป เสียง-หน้าดุไป แต่ด้วยความที่เราตั้งใจจริงๆ ตั้งแต่มาทำงานสายข่าวมิลค์ก็ตัดงานวงการบันเทิงเลย ไม่รับเลย ก็ทำให้เราปรับแก้จุดบกพร่องได้ดีขึ้น เชื่อมั้ย มิลค์เจอมาทุกรูปแบบแล้ว อ่านผิดจนคนส่ง SMS มาต่อว่าหน้าจอ ณ วันนี้ที่มาอยู่ตรงนี้ได้ประสบการณ์ตรงนั้นให้อะไรเราเยอะมาก"

มีความผิดพลาดครั้งไหนที่จำฝังใจบ้างคะ

"พลาดแบบไม่ดีเลย คือไปรายงานสดตอนอยู่ TNN ไปทำข่าวยุบพรรคนั่นแหละ แล้วเราได้มีโอกาสสัมภาษณ์ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่พรรคประชาธิปัตย์ หลายช่องอยากสัมภาษณ์มากแต่ไม่ได้ มีเราได้ช่องเดียว แต่ปรากฏ มิลค์ เขมสรณ์ สัมภาษณ์อะไรไม่รู้ ไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์เลย เรื่องรุนแรงขนาดโดนหนังสือพิมพ์เขียนด่าว่า อุตส่าห์ได้สัมภาษณ์ สุเทพ แต่ไม่ได้อะไรเลย"

โห้ แรงเลย

"ใช่ค่ะ แรงมาก แต่ตอนอ่านที่เขาว่าไม่ได้ท้อนะ แต่รู้สึกว่าจริงของเขาเพราะไม่ได้อะไรเลยจริงๆ ความรู้สึกตอนนั้นไม่รู้จะสัมภาษณ์ยังไง อีกครั้งที่พลาดคือตอนอ่านข่าวที่ช่อง 5 อ่านยศผิด จาก จ.ส.ต.เราอ่านเป็น จ่าสิบตรี ซึ่งจริงๆ มันคือจ่าสิบตำรวจ SMS ก็มาหน้าจอต่อว่าเลยค่ะ อีกคำคือคำว่า หมายกำหนดการ ที่เราเอามาใช้กับข่าวอื่น ซึ่งจริงๆ คำนี้ใช้ได้กับข่าวพระราชสำนักเท่านั้น ก็โดน SMS ว่าอีก พลาดใหญ่ๆ ที่โดนต่อว่าหน้าจอเลยก็คือสองคำนี้ แต่ดีค่ะมีคนต่อว่าทำให้เราจำ สองคำนี้จำจนวันตาย (หัวเราะ) มิลค์ไม่เคยเก็บเอามาท้อเพราะถ้าไม่มีคนว่า เราก็จะผิดไปเรื่อยๆ มีคนเตือนดีออกเราจะได้แก้ไข"

ก้าวเดินตามหนทางด้วยความพยายาม ไม่เคยใช้เส้นสาย
ทำทุกอย่างด้วยความพยายามและตั้งใจ
ลำบากลำบนขนาดนี้ มีสักแวบมั้ยที่คิดว่าเป็นดาราง่ายกว่าอีก ออกอีเวนต์แป๊บเดียวได้เงินแล้ว

"ไม่มีความคิดเลยว่าจะกลับไปเป็นดารา เพราะเราคิดมาตลอดว่าเราทำอะไรได้มากกว่าการเป็นดารา เราเลือกที่จะทำอย่างอื่นที่แตกต่างออกมา ตอนเริ่มงานผู้สื่อข่าวความคิดเรื่องการเป็นดาราไม่มีอยู่ในหัวแล้ว มีแต่คำว่าสู้ เอาเก้าอี้ไปต่อๆ ฟุบหลับรอนักการเมืองตามพรรคต่างๆ มิลค์ก็ทำ บอกตัวเองตลอดว่าถ้าเราทำอะไรต้องเต็มที่กับมัน 100 เปอร์เซ็นต์ ผลต้องออกมาดีสิ การเป็นดาราเราไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่โอกาสมีเข้ามา เราก็ทำเพื่อเก็บเงินไปเรียนต่อ แต่อาชีพผู้สื่อข่าวเป็นอะไรที่เรารักจะทำจริงๆ จึงทำเต็มที่ อยากพิสูจน์ด้วยว่า คำว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นมันจะจริงแค่ไหน"

ณ วันนี้ดีใจมั้ยที่ เขมสรณ์ หนูขาว คือชื่อของผู้ประกาศหญิงคนหนึ่งที่ทุกคนยอมรับ

"ดีใจค่ะ เพราะว่าเป็นงานที่เราชอบจริงๆ คนที่จะได้ทำงานที่ตัวเองรักมีน้อยนะ เราถือว่าโชคดีมากที่ได้ทำงานที่รัก ดังนั้น ประสบการณ์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเหนื่อย ท้อแค่ไหน แต่ก็ทำให้มิลค์เห็นว่านี่แหละคนที่ตั้งใจ ที่พยายาม ยังไงก็สำเร็จ คำว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นมันคือเรื่องจริงนะ ทุกวันนี้จะบอกน้องๆ ที่ทำงานด้วยกันว่าปัญหาและอุปสรรคที่เราเจอมันเล็กน้อยมาก ถ้าทุกคนทำงานตั้งใจ และพยายาม อย่างอื่นมันจะตามมาเอง มิลค์ทำงานอยู่ช่อง 5 เงินเดือน 9 พันกว่าบาท ค่าอ่านข่าวหลักร้อย รวมแล้วได้หมื่นกว่าบาทเอง แต่เรารู้สึกว่าถ้าเราทำงานเต็มที่ ทำงานด้วยใจ เงิน โอกาส รวมทั้งชื่อเสียงมันจะตามมาทีหลังเอง อย่าไปคิดว่าฉันทำงานต้องได้ตังค์เยอะๆ ขอใจก่อน ถ้าใจคุณมาเดี๋ยวอย่างอื่นมันมาหมดเอง เหมือนมิลค์วันนี้"

โจทย์ใหญ่ไม่ใช่เงินทอง เธอจึงปฏิเสธการดึงตัวของครอบครัวข่าว 3
มิลค์ ไม่เคยคิดเสียดายอาชีพดารา
แล้วอยู่ๆ มาร่วมงานกับไทยรัฐ ทีวีได้อย่างไร

"ตอนนั้นด้วยความที่จังหวะกำลังจะเป็นทีวีดิจิตอล ช่อง 5 อิ่มตัวมากแล้ว เขากำลังจะกลายเป็นทีวีสาธารณะเพื่อความมั่นคง ด้วยกรอบของช่องจะไม่ต้องแข่งขันกับใครมากแล้ว และกับช่อง 5 มิลค์ผ่านมาหมดแล้วทั้งหน้าที่และตำแหน่ง มิลค์อิ่มตัวกับตรงนั้น ก็เริ่มมองหาว่ามีตรงไหนที่เป็นโอกาสและช่องทางใหม่ๆ ให้กับเราที่ยังมีไฟอยู่ให้ได้ทำอะไรมากขึ้น มิลค์เองไม่อยากไปช่องที่เป็นบันเทิงมากนัก อยากเน้นช่องข่าว ซึ่งชื่อไทยรัฐก็บอกอยู่แล้วว่าเน้นข่าวแน่ๆ ก็เลยตัดสินใจมาร่วมงานกับไทยรัฐ"

ระดับ เขมสรณ์ หนูขาว ช่องครอบครัวข่าวไม่ทาบทามซื้อตัวเหรอคะ

"ตอนนั้นยอมรับว่ามีหลายช่องติดต่อมาพอรู้ว่าเราจะขยับขยาย ช่อง 3 ก็ข้อเสนอดีมากๆ แต่ด้วยความที่ติสต์แตก (หัวเราะ) เงินไม่ใช่โจทย์แรก เราไม่ได้จะไปช่องที่ให้เงินเยอะที่สุด แต่โจทย์ของเราคือต้องดูว่าเราได้ทำอะไรบ้าง ซึ่งที่ไทยรัฐเขาเน้นเรื่องข่าว ข่าวภาคค่ำเขาก็เน้นกราฟิก อิมเมอร์ซีฟ ซึ่งที่อื่นไม่มีถึงมีก็อาจจะแค่ระดับหนึ่ง มิลค์ว่ามันเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ทำ อีกอย่างไทยรัฐก็ให้โอกาสในการให้เราได้สัมภาษณ์ ได้รายงานสด คือมีอะไรให้ได้ทำเยอะมากกว่า ที่สำคัญ ไทยรัฐทีวี เป็นช่องที่ไม่เคยออกอากาศมาก่อน เราจะได้เป็นประวัติศาสตร์ของช่องเพราะเป็นผู้ประกาศรุ่นแรก มิลค์ว่ามันท้าทายนะ"

เลยกลายเป็นโลโก้ช่อง ไทยรัฐ ทีวี ไปแล้ว

"(ยิ้ม) ดีใจค่ะ มิลค์ก็ตั้งใจว่าจะให้ที่นี่เป็นที่สุดท้าย เพราะงานสายข่าวเปลี่ยนบ่อยๆ ก็ไม่ดี เพราะจะไม่มีภาพจำ อนาคตไม่อยู่เบื้องหน้าก็ไปเป็นเบื้องหลัง แอบคิดอยากเป็นบรรณาธิการข่าวหรือไม่ก็เป็นโปรดิวเซอร์ข่าว"

ทุกงานทำเต็มร้อย
ตัวเล็กๆ แต่ใจสู้
ระหว่างการเล่าข่าวที่กำลังได้รับความนิยม กับการนั่งประกาศข่าว มิลค์เชื่อในอะไรมากกว่ากัน

"จริงๆ การนั่งอ่านข่าวดีในแง่ที่ว่าผู้ประกาศข่าวจะไม่ได้ใส่ความคิดเห็นลงไปมากนัก การแสดงความคิดเห็นปล่อยเป็นหน้าที่ของแหล่งข่าวที่อยู่ในข่าวดีกว่า แต่ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้คนดูชอบการเล่าข่าว เพราะฉะนั้นถ้าคนชอบการเล่าข่าวสถานีโทรทัศน์ก็ตอบโจทย์คนดูเพื่อการอยู่รอด เลี่ยงไม่ได้ที่จะเล่าข่าวเพื่อตอบโจทย์คนดู สำหรับมิลค์และไทยรัฐทีวี การเล่าข่าวเราจะตั้งโจทย์กับตัวเองว่า เราจะนำเสนอแค่ประเด็นข่าว ไม่ใช่ความคิดเห็นของส่วนตัว ถ้าจะเสนอความคิดเห็นต้องอ้างอิงแหล่งข่าวเสมอ"

มองอนาคตวงการข่าวบ้านเราเป็นอย่างไร

"ทุกวันนี้คนชอบดูข่าว ติดตามข่าวเยอะมาก ซึ่งข่าวเข้าหาคนได้หลายช่องทางมาก ทุกอย่างเร็วมาก โดยเฉพาะช่องทางโซเชียล จนบางครั้งคนจะคิดว่าไม่ต้องดูข่าวหน้าจอโทรทัศน์ก็ได้ เพราะฉะนั้นข่าวโทรทัศน์ต้องทำอย่างไรก็ได้ที่ไม่ให้คนเลือกไปดูข่าวเฉพาะทางอินเทอร์เน็ต ไทยรัฐ ทีวี เราก็เอาจุดตรงนี้มาทำข่าวของเรา ว่าข่าวเหล่านี้ที่เห็นเป็นกระแสในโซเชียล ถ้าดูที่ไทยรัฐทีวี รับรองว่าผ่านการสกรีนแล้ว ข่าวที่จะออกทางช่องเราได้ต้องจริง และเราเชื่อว่าเราทำข่าวได้เจาะลึกกว่ากระแสทางอินเทอร์เน็ต

เนื่องจากเราได้ไปเจอแหล่งข่าวต้นตอ เราสามารถทำสกู๊ปขยายความให้ลงลึกได้มากกว่าที่คุณเห็นในอินเทอร์เน็ต อันนี้แหละคือสิ่งที่เราควรทำในข่าวทีวี ที่สำคัญตอนนี้ช่องโทรทัศน์เยอะมาก ข่าวแทบจะเหมือนกันทุกช่อง ดังนั้นต้องหาจุดแตกต่าง ทั้งเทคนิคการนำเสนอซึ่งไทยรัฐทีวีกราฟิกเขาดีมาก รวมถึงการเจาะลึกประเด็นข่าว การทำรายงานพิเศษ การทำสัมภาษณ์พิเศษ อาจจะยากหน่อยที่จะทำข่าวให้ฉีกออกมา แต่เป็นเรื่องที่มิลค์เชื่อว่าไทยรัฐทีวีทำได้ค่ะ".