Inside Dara
ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผู้ชายที่ชัดเจน ใช้ชีวิตไปตามธรรมชาติทุกเรื่อง

ได้ชื่อว่าเป็นพระเอกคิวทองอีกคนหนึ่งของวงการบันเทิง สำหรับ “ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี” พระเอกละครชื่อดัง ที่มีผลงานละครออกมาทีไร เป็นต้องเรียกกระแสความนิยมจากคนดูอย่างท่วมท้น ถามว่าจริง ๆแล้วงานละครของเขาเยอะมั้ย ดูแล้วก็ไม่เท่าไหร่เพราะเจ้าตัวค่อนข้างรับงาน แบบดูความเหมาะสมเป็นหลัก และที่สำคัญเน้นเรื่องของเวลา เพราะการถ่ายทำละครหนึ่งเรื่อง ต้องใช้เวลาถ่ายทำหลายเดือน ทำให้เขาไม่สามารถบุกป่าฝ่าดงไปค้นหาธรรมชาติอย่างที่เขารักและหลงใหลได้นั่นเอง

ไม่เช่นนั้นหลายคนคงจะไม่มีโอกาสได้ดูรายการ “เนวิเกเตอร์” ทางช่อง 3 ของพระเอกหนุ่มคนนี้เป็นแน่ นี่เป็นเพราะชีวิตส่วนใหญ่เขาทุ่มเทให้กับธรรมชาติ อ้าว..แล้วครอบครัวล่ะ เป็นคนละเรื่องกันซึ่งเขาก็ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับหนึ่ง แต่ด้วยความที่เป็นคนรักพื้นป่าสีเขียวเอามาก ๆ ทำให้ “ติ๊ก” ประหนึ่งให้เวลากับการทำรายการ “เนวิเกเตอร์” แบบสุด ๆ ไปเลย แต่ในความรู้สึกของแฟน ๆ “ติ๊ก-เจษฎาภรณ์” คือพระเอกในดวงใจที่ทุกคนรักและชื่นชอบ จนมีเสียงบ่นว่า คิดถึงติ๊ก อยากดูละครที่ติ๊กเล่น และแล้วในที่สุดเขาก็กลับมาทวงบัลลังก์ “พระเอกขวัญใจคนดู” อีกครั้ง กับงานแสดงด้านภาพยนตร์แนวโรแมนติก-หลอน เรื่อง “I MISS U รักฉัน อย่าคิดถึงฉัน” (ไอมิสยู) ของ M๓๙ (บริษัท เอ็ม เทอร์ตี้ ไนน์ จำกัด) ภายใต้การดูแลของ “เอมี่-จันทิมา เลียวศิริกุล” กรรมการผู้จัดการและโปรดิวเซอร์ กำกับการแสดง โดย “อ๊อฟ-มณฑล อารยางกูร” หลังที่เขาห่างหายจากจอเงินไป 4 ปี และพร้อมจะพิสูจน์ความสยองขวัญ 31 พฤษภาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ


ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่เราได้เจอพระเอก “ติ๊ก” ก็เลยขอเคลียร์..เอ๊ย..ขอคุยทุกเรื่องก่อนใคร ถ้าคิดจะเอาใจเขา ต้องคุยเรื่องงานก่อนเลย มีหลายคนชมว่า “เนวิเกเตอร์” เป็นรายการสร้างสรรค์ที่เกี่ยวกับธรรมชาติ...ดีมาก ๆ เป็นเพราะ “ติ๊ก” ทุ่มเทเต็มที่ รู้สึกยังไง “รู้สึกดีใจมากครับ ที่คนดูชอบ ผมทุ่มเทให้กับการทำรายการนี้มาก ช่วยกันทำกับน้องชายของผมคือ ตั้น (พิเชษฐ์ไชย ผลดี) เราช่วยกันทำมาตั้งแต่เริ่มรายการทุกวันนักขัตฤกษ์ ทางช่อง 3 ตั้นเค้าก็จะช่วยทำทุกอย่าง ช่วยคิด ช่วยทำ ผมก็ช่วยเค้า

คิดไอเดียต่าง ๆ ก่อนออกไปถ่ายทำกัน ก็ทำกันมานานมาก ไปกันมาทั่วทุกภาค

ฟีดแบ็กคนดูก็ดีส่วนใหญ่เขาก็ชอบกัน เพราะเราจะพาเขาไปสำรวจสถานที่แปลก ๆ บางทีก็เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ยกกองถ่ายกันไปครั้งหนึ่งก็หลายวัน ยอมรับว่าเหนื่อย แต่ก็มีความสุขครับ”

มีหลายคนพูดว่า “ติ๊ก” หลงใหลธรรมชาติ ชอบไปเที่ยวนู่นชมนี่ จึงทำให้ไม่ค่อยรับงานแสดง แล้วทำไมถึงตัดสินใจรับเล่นหนัง “I MISS U” (ไอมิสยู) “จริง ๆ ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ก็ยังรับงานแสดงนะ เพียงแต่ว่าผมอาจจะเลือกงานหน่อย อยากจะได้บทที่ดี บทที่ไม่เคยเล่น อย่างเรื่องนี้ พี่อ๊อฟ มณฑล (ผู้กำกับฯ) โทรฯ มาชวนบอกมีโปรเจคท์หนังเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นเขาเล่าให้ฟัง ยังไม่เห็นสคริปต์ แค่ฟังเขาเล่าก็เหนื่อยแล้ว เขาเล่าได้ละเอียดมาก พอคิดไปคิดมา ทั้งบริษัทผู้สร้าง ผู้กำกับฯ ก็มีเครดิตที่ดี ก็เลยรับเล่น” ที่สำคัญรับบทเป็นคุณหมอ มันท้าทายเราแค่ไหน “ทุกเรื่องที่ผ่านมาถือว่าเป็นสิ่งท้าทายครับ อย่างในเรื่องนี้ผมรับบทเป็นหมอผ่าตัด เล่นเป็นหมอก็ยากอยู่แล้ว แต่นี่ข้ามสเต็ปไปเป็นหมอผ่าตัด ก็เลยต้องทำความเข้าใจให้ได้อย่างรวดเร็ว ต้องไปเห็นภาพจริง ๆ เห็นการผ่าตัดจริง ๆ การใช้เครื่องมือจริง ๆ ในห้องผ่าตัด ขั้นตอนต่าง ๆ ในการผ่าตัด ซึ่งก็มีการไปดูการผ่าตัดจริงด้วย โดยส่วนตัวผมก็ไม่ชอบเข้าโรงพยาบาลอยู่แล้ว ถึงไม่ชอบป่วย ก็พยายามดูแลตัวเอง เพราะพอเข้าโรงพยาบาล ได้กลิ่นยา ได้เห็นอะไรแบบนี้ผมก็หวิว ๆ แล้ว ใจมันสั่นแป้ว ๆ ยังไงก็ไม่รู้ รู้สึกว่าแขนขาไม่มีเรี่ยวแรง แต่สุดท้ายเรื่องนี้เราได้ทำทุกอย่าง หาไม่ได้อีกแล้ว”


บุคลิกภายนอกดูเป็นคนเงียบ ๆ เฉย ๆถามเลยดีกว่าความรักของติ๊ก ณ วันนี้เป็นยังไง “ความรักของผมมันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่มันมีทุกอย่าง มีองค์ประกอบหล่อหลอมรวมกัน มีความเข้าใจกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือความเข้าใจกัน ผมมักจะพูดอยู่เสมอว่า สเต็ปที่มากกว่าคำว่ารัก คือคำว่าความเข้าใจ บางทีความรักไม่อาจครอบครองได้ ความรู้สึกเท่านั้นที่มีผลต่อกัน ผมรู้สึกดีใจกับทุกคนที่มีความรัก ทุกคนก็อยากให้ความรักสมหวัง แต่บางครั้งก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ ต้องทำใจยอมรับกับมัน เพราะเราอยู่บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ อยู่ในโลกใบนี้ มันก็ต้องมีทั้งสมหวังทั้งผิดหวัง อยู่ที่ว่าเราจะจัดการกับตรงนั้นได้อย่างไรด้วยตัวเราเอง”

แล้วทำไมไม่เห็นคุยเรื่องครอบครัวเลย “ก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว ภรรยาผม (พีช-สิตมน) ก็สบายดีครับ ครอบครัวเราแฮปปี้ดี จริง ๆ เวลาพี่ ๆ ถามผมก็ตอบทุกครั้ง แต่ว่าจะเป็นคำตอบที่เหมือนเดิม ส่วนใหญ่ก็ถามเกี่ยวกับเรื่องลูก ผมก็ตอบเหมือนเดิม เพราะมันจะเป็นความรู้สึกที่ตอบในช่วงของเวลาทำงานแบบนี้ แล้วก็ปกติแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ผมทำงานหนังเรื่องแรก เราก็จะลุยกับเรื่องงานอย่างเดียว เพราะเราจะแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องที่บ้าน และงาน เพราะฉะนั้นเราก็จะพูดถึงเรื่องงานเพียงอย่างเดียว”

เบื่อมั้ยกับคำถามเรื่องครอบครัว “ไม่เบื่อครับ เพราะเราก็รู้ว่านี่คือคำถามที่ทุกคนต้องถาม แต่ผมกลัวว่าทุกคนจะเบื่อกับสิ่งที่ผมตอบมากกว่า เพราะว่ามันก็จะเหมือนเดิมทุกครั้ง มันก็คงไม่มีอะไรหวือหวา เพราะชีวิตผมค่อนข้างเรียบง่าย แล้วก็มีอะไรไม่กี่อย่างที่ทำ ก็คือหนัง ละคร และพิธีกรที่รับผิดชอบ เรื่องลูกผมว่ารอจังหวะที่พร้อมทั้งสองฝ่าย คือเราก็ไม่ได้นัดแนะหรอกว่าจะเป็นเมื่อไหร่ ขอให้วันนี้ต่างฝ่ายต่างรับผิดชอบงานของตัวเองให้ดีที่สุด แล้วถ้าเขาจะมาทุกคนก็คงจะเห็น เพราะมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่ผมไม่ได้ปิดบังอะไรอยู่แล้ว ก็คงจะใช้ชีวิตของผมแบบนี้แหละ เพราะถ้าจะมีลูกก็ต้องมีเวลาทุ่มเทให้เขาด้วย ผมมองว่าจุดเริ่มต้นของชีวิตของคน ๆ นึงเราต้องมีเวลาที่พร้อมให้เขาด้วย ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตไปตามธรรมชาติครับ”

ชัดเจนทุกเรื่อง ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือตัวตนจริง ๆ ของ “ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี” ผู้ชายที่ใครก็อยากเป็นแฟน..

“เฌอเบลล์” นางเอกหน้าใหม่ มีความเป็นตัวเองสูง

เป็นนางเอกหน้าใหม่ที่มีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับนางเอกสาว เฌอเบลล์-ลัลณ์ลลิน เตจะสาเวศซ์ เพราะละครเรื่องแรกอย่าง “ลิขิตฟ้าชะตาดิน” เพิ่งจะลาจอไป ก็ประเดิมบทนางเอกเต็มตัวในละคร “ดอกโศก” ต่อทันที แถมคอละครก็ให้การตอบรับละครเรื่องนี้เป็นอย่างดี ทำ เฌอเบลล์ เป็นที่จับตามองมากขึ้น วันนี้ เลยนัดสัมภาษณ์สาวคนนี้ เนื่องจากใครหลายคนคงจะอยากทำความรู้จักเธอมากขึ้น


เฌอเบลล์เข้าวงการได้อย่างไร

พอดีว่าเฌอเบลล์รู้จักกับพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งรู้จักกับพี่เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร ตอนแรกเราไม่ได้ทำงานในวงการ เฌอเบลล์มาจากภูเก็ตเพื่อขึ้นมาเรียนที่กรุงเทพ พี่เขาก็ทาบทามให้ไปร่วมงานด้วย แต่ตอนนั้นใจเฌอเบลล์อยากเรียนจริง ๆ เพราะกำลังจะเริ่มเรียนปี 1 ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ทางพี่ต้น ผู้จัดการส่วนตัวคนปัจจุบันก็ไปคุยกับพี่สาวว่าสนใจจะเล่นมิวสิควีดีโอมั้ย เพราะใช้เวลาถ่ายทำแค่ 1 วันก็เลยไป ครั้งแรกเลยเล่นมิวสิกวีดีโอ “ต่อให้เธอจะลืม” ของ นัท ทิวไผ่งาม จากนั้นก็เล่นเพลง “เลิฟลี่ เกิร์ล” ของ สิงโต เดอะสตาร์ แล้วทางเอ็กแซ็กท์ก็เรียกเราไปคุยเพื่อขึ้นคอนเสิร์ต “เลิฟไม่กลัว กลัวไม่เลิฟ” ของ บี้ เดอะ สตาร์ ตอนแรกเฌอเบลล์ก็คิดว่าจะให้ไปเป็นแดนเซอร์หรือเปล่า เพราะเราเองก็เต้นได้ ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นว่าไปเป็นแขกรับเชิญในคอนเสิร์ตของพี่บี้ แล้วพี่บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ บอสใหญ่ทางเอ็กแซ็กท์ก็ติดต่อให้ไปเล่นละคร


ตอนที่ได้เริ่มก้าวเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงรู้สึกอย่างไรบ้าง

รู้สึกว่าทุกอย่างมันเร็วมาก เฌอเบลล์สับสนมากจนต้องหนีไปบวชพักหนึ่งเลย เพราะตอนแรกเราไม่คิดจะเข้าวงการเต็มตัว แค่อยากจะเล่นมิวสิกวีดีโอเล่น ๆ กลายเป็นมาเล่นละคร ก็ตั้งตัวไม่ทัน เราเคยเห็นเพื่อนอยากจะเข้าวงการมาก เขาต้องใช้เวลา 2-3 ปีในการมาทำงานตรงนี้ แต่ของเราไม่ถึงครึ่งปีและด้วยความที่เรามีความเป็นอินดี้สูง เป็นตัวของตัวเอง การมาอยู่ตรงนี้เราก็ต้องเปลี่ยนตัวเองจะทำนั่นนี่ก็ไม่ได้ เลยรับไม่ได้หนีไปบวช ครั้งแรกไปบวชมา 7 วัน ครั้งที่ 2 ไปบวช 8 วัน เป็นการบวชปิดวาจา ไม่พูดอะไรกับใครเลย


ที่ไปบวชเพราะจะเลือกทางชีวิตของตัวเองด้วยหรือเปล่า

เพื่อเตือนสติมากกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น แค่จะไปหยุดทุกอย่างให้ช้าลง เพราะเวลาอยู่โลกข้างนอกทุกอย่างจะเร็ว เวลาไปอยู่วัดเราจะได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น จากนั้นก็กลับมาเล่นละครที่เอ็กแซ็กท์

รู้สึกยังไงเล่นละครเรื่องที่ 2 ก็ได้เป็นนางเอกเลย

ตอนนั้นก็ถ่าย “ลิขิตฟ้าชะตาดิน” และ “ดอกโศก” พร้อมกัน เราไม่ได้คิดดีใจเรื่องที่ได้เป็นนางเอกนะ กลับกดดันมากกว่า เพราะต้องถ่ายละคร 2 เรื่องในเวลาเดียวกัน ตัวละครก็แตกต่างกัน เราไม่เคยผ่านงานแสดงมาก่อน รู้สึกเหมือนเจอศึกหนัก ก็ต้องขอบคุณผู้กำกับที่เฌอเบลล์ร่วมงานด้วยทุกท่านและพี่บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ ที่เข้าใจเฌอเบลล์ เพราะเราก็เคยคุยกับพี่บอยก่อนที่จะมาทำงานตรงนี้ว่า ไม่คิดที่จะมาเล่นละครเลย แต่พี่บอยบอกว่าให้ลองทำดู พี่บอยก็ช่วยจูนและดูแลอะไรหลาย ๆ อย่าง พี่เขาเข้าใจความรู้สึกของเรา ถ้าเป็นคนที่อยากมาทำงานตรงนี้เขาก็จะรู้สึกดีที่ได้ทำ แต่เราไม่ได้รู้สึกอยากเลย เราแค่อยากจะทำให้พอมีรายได้นิด ๆ หน่อย ๆ ไว้เป็นค่าขนมเท่านั้น แต่พี่บอยและพี่ ๆ นักแสดงและทีมงานทุกคนก็ช่วยจูนเรา จนเรารู้สึกสนุกกับการทำงาน จากที่กดดันมาก ๆ ทุกอย่างก็ค่อย ๆ ดีขึ้น


เหมือนทางเอ็กแซ็กท์ค่อนข้างจะดันเฌอเบลล์นะ

เฌอเบลล์ไม่ได้รู้สึกว่าทางเอ็กแซ็กท์ดันอะไรมากนะ เพราะเขาก็ดันคนอื่นเหมือนกัน แต่ต้องบอกก่อนว่าโอกาสของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เราก็อาจจะโชคดีที่บทเรื่องนั้นเรื่องนี้เหมาะกับเราพอดีเลยจับเราเล่น และถ้าเราเล่นได้ไม่ดีเขาก็อาจจะไม่อยากให้เราทำ เราก็จะพยายามทำงานให้ดีที่สุด


ในเรื่องของการแสดงเราต้องเรียนแอ็คติ้งหนักกว่าคนอื่นมั้ย

เรื่องการเรียนแอ็คติ้ง ทางเอ็กแซ็กท์ก็มีคลาสให้เรียนอยู่แล้ว เพียงแต่เราอาจจะได้เรียนน้อยกว่าคนอื่น เพราะเราเรียนได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องลงเล่นละครเลย แต่แอ็คติ้งโค้ชที่สอนเฌอเบลล์ดีมาก เหมือนเห็นว่าเราเรียนน้อยกว่าคนอื่น ๆ ช่วงแรก ๆ เลยมาติวถึงที่กองละครเลยไม่ว่าจะถ่ายทำไกลแค่ไหน แล้วเฌอเบลล์ก็มีปัญหาด้านภาษา เพราะเฌอเบลล์เป็นลูกครึ่งเบลเยี่ยม พูดได้ 4 ภาษา ไทย-อังกฤษ-ฝรั่งเศส-เกาหลี เราไปโตที่เบลเยี่ยมตั้งแต่เด็ก เลยพูดไทยไม่ค่อยชัด ไม่เข้าใจภาษาไทย เพิ่งกลับมาอยู่ภูเก็ตได้ตอนอายุสิบกว่าขวบ พออายุ 17-18 ก็ขึ้นมาอยู่กรุงเทพ อ่านบทช่วงแรก ๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจ ผู้กำกับก็ต้องคอยช่วยอธิบายอีกทีว่าตัวละครต้องการสื่ออารมณ์อย่างไร

เรื่องภาษาเป็นอุปสรรคสำหรับเราเยอะมั้ย

ค่อนข้างเยอะค่ะ อย่างแต่ก่อนอยู่ภูเก็ตจะมีคุณแม่ค่อยช่วย แต่ด้วยความที่ครอบครัวเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง พออายุ 17 ก็แยกออกมาอยู่คนเดียว เพราะถือว่าเราโตแล้วต้องรับผิดชอบตัวเอง ช่วงแรก ๆ ที่มาอยู่กรุงเทพมีอะไรไม่เข้าใจก็โทรหาแม่ตลอด สำหรับเรื่องการเล่นละคร โชคดีที่เอ็กแซ็กท์มีคลาสเรียนภาษาไทยด้วย ก็ช่วยได้เยอะมาก


นอกจากจะกดดันเรื่องการทำงานแล้ว การที่ถูกจับตามองทำให้เรากดดันด้วยมั้ย

ก็เยอะนะ จากแต่ก่อนเป็นเด็กธรรมดา คนก็อาจจะแค่มองหน้าสะดุดที่เราเป็นลูกครึ่ง แต่พอมาเล่นละคร เหมือนคนก็มองว่าใช่เฌอเบลล์หรือเปล่า เมื่อก่อนเฌอเบลล์เป็นคนนิ่ง ๆ หน้าไม่ค่อยรับแขก แต่พอมาทำงานตรงนี้เราจะทำตัวแบบนั้นไม่ได้ รู้จักหรือไม่รู้จักต้องยิ้มเอาไว้ ต้องปรับตัวเยอะ แต่ก่อนจะไปไหนก็แต่งตัวเซอร์ ๆ ได้ แต่ตอนนี้จะออกจากบ้านก็ต้องแต่งหน้าแต่งตัวนิดนึง(หัวเราะ)

รู้สึกอึดอัดบ้างมั้ยที่เสียความเป็นส่วนตัว

อึดอัดนะ เราก็อยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็ก เราเองก็โตแล้ว บางทีก็อยากไปแฮงก์เอ้าท์กับคนอื่นบ้าง ซึ่งมันก็มองได้ 2 แง่คือ ถ้าเราไปแล้วคุมตัวเองได้มันก็โอเค แต่ถ้าคุมตัวเองไม่ได้มันก็ไม่ดี อย่างเด็กบางคนหนีเที่ยวไปพลาดท่า เสียตัว ติดยาก็มี ซึ่งเราก็อยากให้คนมองว่าถึงเราจะไปเที่ยว แต่เราก็ดูแลตัวเองได้ แต่ตอนนี้ก็งดเลย เพราะเราก็ไม่อยากเป็นข่าวว่านางเอกสาวชอบเที่ยว บางทีก็คิดในใจว่าโฟกัสเราแค่เรื่องงานไม่ได้เหรอ เรื่องส่วนตัวก็เป็นชีวิตของเรา แต่พี่ ๆ นักแสดงหลายคนก็สอนว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเราเป็นคนของประชาชน เราก็อยากเป็นตัวอย่างที่ดี ถึงแม้จะมีอึดอัดบ้าง


ละคร “ลิขิตฟ้าชะตาดิน” ก็ฟีดแบ็คดี ส่วน “ดอกโศก” กำลังมาแรง เรารู้สึกอย่างไรบ้าง

ก็ดีใจนะ ตอนแรกไม่เคยคิดว่ากระแสจะดี แค่อยากให้คนอินไปกับละครของเราก็พอ แต่กลายเป็นว่าคนติด บางคนก็อินจัดจนมาทวิตในทวิตเตอร์เราว่าทำไมไม่เอาคนคนที่กลั่นแกล้งเราบ้าง หนูก็เลยแซวกลับไปว่าอ๋อ!ในละครพี่ก็ต้องเล่นตามบท แต่ชีวิตจริงพี่ก็สู้ตายจ๊ะ ก็ปลื้มมั้ยที่คนให้การตอบรับดี แต่บางทีก็มีโดนด่าโดนแฉอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง แต่เราก็ไม่คิดมาก บางทีเม้าท์ว่าเราทำศัลยกรรมมาทั้งหน้า เราก็ขำว่าโอ๊ย!รู้ดีมากกว่าฉันอีก เราก็มองว่าศัลยกรรมเป็นเรื่องปกติ ฉันจะทำหรือไม่ทำก็ไม่เกี่ยวกับคุณ ฉันทำเพื่อหน้าที่การงาน ทำให้ข้อบกพร่องหายไปให้เรามั่นใจขึ้น ไม่ใช่ทำเพื่อให้โลกลืมหน้าเดิมเรา


ยอมรับว่ามีทำเพื่อแก้ไขบ้าง

ก็มี แต่ไม่ได้ทำถึงขาดโมดิฟายใหม่ อย่างจมูกบุ๋มก็เติมนิดหน่อยแค่นั้นเอง


เรามีหลักในการทำงานอย่างไรบ้าง

ยึดครอบครัวเป็นหลัก เพราะตอนนี้ที่บ้านก็ลำบาก ถ้าเราไม่ทำงานตรงนี้ เราก็ไม่รู้จะทำงานอะไรที่จะช่วยเหลือครอบครัวได้ขนาดนี้ แต่เฌอเบลล์ก็ไม่ถึงกับเป็นหลักให้ครอบครัวนะ ก็แค่ช่วยเหลือบ้าง เพราะเรายังต้องเลี้ยงดูตัวเองอยู่ จ่ายค่าเช่าคอนโด บริหารค่าใช้จ่ายตัวเอง ถ้าทุกอย่างลงตัวมากขึ้นก็คงจะสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้มากกว่านี้


ถามถึงเรื่องเรียนหน่อย ได้ข่าวว่าเราดร็อปเรียนเพื่อหันมาทุ่มเททำงานเต็มตัว

เฌอเบลล์ เรียนอยู่ปี 3 ที่คณะมนุษยศาสตร์ ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ที่ดร็อปเรียนก็เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถทำอะไร 2 อย่างให้ดีได้ในเวลาเดียวกัน อย่างบางคนแสดงก็ดี แถมเรียนได้เกียรตินิยม เราก็นับถือเขา แต่เราก็คือเรา เฌอเบลล์อาจจะสามารถเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้ แต่ผลการเรียนอาจจะไม่ดีเท่าแต่ก่อน และมันจะเหนื่อยด้วย ก็คิดว่าทำงานก่อนดีกว่า จะกลับไปเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีใครแก่เกินเรียน


คิดว่าจะทำงานอีกนานแค่ไหน ถึงจะกลับไปเรียน

ก็รอให้หมดสัญญา 5 ปีกับเอ็กแซ็กท์ก่อน ก็รอดูว่าตอนนั้นเรายังมีชื่อเสียงอยู่มั้ย ทางเอ็กแซ็กท์ต้องการให้เราเล่นละครอยู่หรือเปล่า ถ้าเกิดงานเงียบ ๆ ซา ๆ ก็กลับไปเรียนดีกว่า และตอนนี้กำลังจะไปลงเรียนด้านศิลปะที่ มหาวิทยาลัยรังสิต เพราะเฌอเบลล์ชอบด้านนี้ แต่ก็ไม่รู้จะมีเวลาเรียนหรือเปล่า ต้องรอดูอีกที ตอนนี้สองจิตใจสองใจ ใจหนึ่งก็ไม่อยากทิ้งการเรียน การเรียนสำหรับเฌอเบลล์เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรียนในห้องเรียน หรือเรียนรู้จากการทำงาน การเรียนในห้องเรียน เรานำไปประกอบเป็นอาชีพได้ ส่วนงานในวงการบันเทิงเป็นอะไรที่ไม่จีรังยั่งยืน แต่เป็นโอกาสที่ดี เราก็ต้องเก็บเกี่ยวโอกาสตรงนี้เอาไว้ให้ดีที่สุด


เรื่องความรักเป็นอย่างไรบ้าง มีคนพูดคุยอยู่มั้ย

มีคุย ๆ บ้าง แต่เราค่อนข้างจะเป็นฝรั่ง ไม่ได้เจาะจงว่าคุยกับคนนี้ก็จะคบกับคนนี้ เราให้โอกาสทุกคน หนูชอบคนที่เข้าใจเราและงานของเรา อย่างเฌอเบลล์ยอมรับว่าเป็นคนที่เข้าใจยากสักหน่อย แต่เราก็บอกว่าตอนนี้เราโฟกัสงานนะ คุณจะรอเราได้มั้ย อาจจะต้องรอ 4-5 ปีค่ะ ถามว่ามีคนทนเราได้มั้ย ก็มีคนทนมาเป็นปีแล้ว


อย่างเวลาเล่นละครอาจจะมีฉากเลิฟซีนบ้าง คนที่เราคุย ๆ อยู่เขาเข้าใจมั้ย

เลิฟซีนคือการทำงาน ไม่ใช่ว่าเป็นความชอบส่วนตัว งานก็คืองาน อย่ามาโวยวาย บางคนก็บอกว่าถ้ามีเซ็กซี่จะถ่ายมั้ย เราก็บอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว คุณแค่คุยกับฉัน คุณจะมีอำนาจต่อเมื่อเราแต่งงานกันแล้ว เวลาทำอะไรเราต้องให้เกียรติเขา ถ้าแค่คุยกันคุณไม่มีสิทธิ์ ชีวิตยังเป็นของฉันอยู่ ค่อนข้างมีความเป็นตัวเองสูง


ที่บอกว่าคุยหลายคน กลัวคนมองว่าเราเจ้าชู้คบเผื่อเลือกมั้ย

เราไม่ได้เจ้าชู้ ไม่ได้ไปกอดไปหอมทุกคน เราคุยกับทุกคนแบบเพื่อน ไปกินข้าวดูหนังเหมือนคนทั่วไป หนูมีความเป็นเด็กสูง ไม่อยากมีความสัมพันธ์หรือทุ่มเทอะไรให้ใครมากจนลืมตัวเอง เราเป็นคนรักตัวเอง


พอมาทำงานในวงการ เปิดโอกาสให้หนุ่มในวงการบ้างหรือเปล่า

ก่อนเข้าวงการคิดว่าคงไม่คบคนในวงการแน่นอน แต่พอมาทำงานตรงนี้ เราเลยเข้าใจหลาย ๆ คนว่าทำไมถึงเลือกคนในวงการ เพราะเขาเข้าใจคนทำงานวงการเดียวกัน แต่สุดท้ายจะเป็นใครก็ได้ ขอแค่เข้าใจเราก็พอ

ถึงจะเป็นนางเอกหน้าใหม่ แต่ความคิดความอ่านชัดเจนไม่แพ้ใคร ก็ขอให้มีงานเข้ามาเยอะ ๆ นะจ๊ะ

แร้งส์ "เอิ๊ก พรหมพร" เหน็บ "โอปอล์" คบ "หมอโอ๊ค" ออกสื่อ

กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง สำหรับการแสดงความเห็นของ "เอิ๊ก พรหมพร ยูวะเวส" พิธีกรชื่อดัง เรื่องการคบหากัน "โอปอล์ ปนิสรา พิมพ์ปรุ" และ "หมอโอ๊ค สมิทธ" ผ่านรายการบันเทิงที่ออนแอร์ท่างช่อง 8 ว่า

"ถ้าโอปอล์แต่งงานกับหมอโอ๊คได้ พจน์ อานนท์ ก็แต่งงานกับผู้หญิงได้เหมือนกัน"

โดยชาวเน็ตจำนวนมากแสดงไม่เห็นด้วยกับการแสดงความเห็นของพิธีกรสาว ที่ดูคล้ายอคติกับการคบหากันของ "โอปอล์ และ หมอโอ๊ค" มากเกินไป จนดูไม่เหมาะสม

ทั้งนี้ หลังรายการออกอากาศไปได้เพียงไม่นาน สาวโอปอล์ ได้ทวิตข้อความที่ส่วนใหใญ่เชื่อว่าเป็นการตอบโต้ "เอิ๊ก พรหมพร" ด้วยข้อความว่า "ยิ่งด่า ยิ่งเม้าท์ให้ใครเสียหายอย่างไร มันก็ยิ่งแสดงถึงจิตใจเบื้องต่ำและการเลี้ยงดูที่ไม่สมบูรณ์พร้อมของคุณ เลิกริษยาแล้วลองเมตตาดูนะคะ"


ไขความลับกับหล่อขั้นเทพ'โดม'ปกรณ์

หลายคนคงรู้จักศิลปิน นักแสดง ผู้ที่มีนิยามว่า "หล่อขั้นเทพ" อย่าง "โดม" ปกรณ์ ลัม ดี ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมากว่า 15 ปี วันนี้เลยหาโอกาสไขความลับอย่างกระจ่างกับบทสัมภาษณ์ของศิลปินขั้นเทพ ดังนี้


งานค่ายเพลง


เปิดค่ายเพลง "ไอคอนนิคสตูดิโอ" เป็นอย่างไรบ้าง

ตอนแรกมองแค่เป็นสตูดิโอที่ให้ทุกคนมาใช้บริการอัดเสียง หลายคนถามว่าทำไมไม่ทำเพลงเองเลย เพราะมีสตูดิโออยู่แล้ว แค่เติมเรื่องทีมโปรโมท ฝ่ายครีเอทีฟเข้าไปน่าจะทำได้ ตอนนั้นเลยเริ่มทำของตัวเองดูก่อน พอทำไปรู้สึกว่ามันไปได้ จากนั้นเลยมีวงดนตรีทยอยกันออกมา ในชื่อของวงดนตรีที่มีชื่อว่า "New old stock" โดยค่ายเพลงของผมไม่จำเป็นว่าต้องสวยต้องหล่อ หรือโด่งดังมาจากไหน แต่สิ่งที่สำคัญ คือ คุณต้องมีของมีความตั้งใจ มีความจริงใจในการนำเสนองานเพราะเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่ผู้บริโภคจะจับได้ว่าคุณไม่มีความจริงใจในการนำเสนองานผมมองว่าถ้าทุกคนตั้งใจรักอาชีพตรงนี้ ก็มีสิทธิ์ที่จะร่วมงานกันได้


ทำไมถึงอยากทำวงดนตรีขึ้นมา

จากที่มีสตูดิโอและเคยเรียนซาวนด์เอ็นจิเนียร์มา เป็นความชอบมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ผมว่ามีเด็กที่มีความสามารถมากกว่าผมเยอะ แต่พวกเขาไม่มีโอกาส ผมโชคดีได้รับโอกาสจนวันหนึ่งเรามีกำลังพอที่จะให้คนอื่นได้ ผมอยากให้โอกาสกับคนที่สมควรได้รับโอกาส ซึ่งผมมีโอกาสได้เจอกับวง New old stock ที่เชียงใหม่ เป็นวงดนตรีที่มีฝีมือเล่นมา 10 กว่าปี พอผมได้เจอกับเขาแล้วมีความรู้สึกว่า วงที่มีฝีมือขนาดนี้น่าจะได้รับการสนับสนุน ผมคุยกับเขาว่าผมไม่เคยทำวงดนตรีให้ใครมาก่อน มีบริษัทเล็กๆ แต่ผมสนใจวงพวกคุณมาก อยากลองดูไหม นอกจากนี้ยังมี "มาร์โค" เมาเร่อ พี่ชายของ "มาริโอ้" เมาเร่อ มาร่วมงานด้วย ปกติมาร์โคเป็นคนร้องเพลงฮิพฮอพอยู่แล้ว ซึ่งเขาได้ไปจับมือกับโปรดิวเซอร์คนหนึ่งที่ทำแนวเพลงพวกอิเล็กทรอนิกส์และมีเพลงออกมาซึ่งเจ๋งมาก เป็นเพลงภาษาอังกฤษทั้งชุดเลย ซึ่งตอนที่ออกมาเขามองตลาดว่าเป็นตลาดเอเชีย ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ผมไปบอกเขาว่าจริงๆ ตลาดไทยมันก็ได้ เลยได้ตกลงคุยกัน จึงจะมีการผลักดันให้ออกกันต่อไป ซึ่งตอนนี้เราเปิดเป็นเมลขึ้นมาให้ทุกคนได้มีโอกาสเสนอผลงานของตัวเองเข้ามา ซึ่งใครที่สนใจอยากร่วมงานทางไอคอนนิกมีโปรดิวเซอร์รออยู่ทุกแนวเพลง ลองส่งผลงานเข้ามาได้ที่ iconicstudio@me.com ผมรอผลงานของทุกคนอยู่


ชีวิตวงการบันเทิง 15 ปี

เดินทางมาถึงปีที่ 15 กับวงการบันเทิงจะมีอะไรพิเศษให้แฟนเพลงไหม

จะมีอัลบั้มพิเศษฉลอง 15 ปี เป็นงานเพลงเดี่ยว จะออกอัลบั้มเต็มเดือนมิถุนายนนี้ ผมคิดว่าเป็นชุดเกียรติประวัติ ทำอย่างสุดชีวิตตั้งใจทำมากที่สุด โดยจะมีลิมิเต็ด เอดีชั่นด้วย โดยทำเป็นแพ็กเกจทั้งซีดีและโฟโต้บุ๊ก ซึ่งในชีวิตไม่เคยทำโฟโต้บุ๊กมาก่อน เป็นครั้งแรกได้ร่วมกับทางสำนักพิมพ์อัมรินทร์ ซึ่งข้างในเป็นประวัติย่อๆ ของผม ทัศนคติ วิธีคิด มุมมอง ผลการทำงานที่ผ่านมา


ก่อนหน้านี้มีคอนเสิร์ตแร็พเตอร์ออกมา โดมมีโปรเจกท์จะทำคอนเสิร์ตกับทางอาร์เอสบ้างไหม

จริงๆ เฮียฮ้อ (สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์)น่ารักมาก เรียกผมเข้าไปคุยว่าจะจัดคอนเสิร์ต ได้มีการคุยตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ติดน้ำท่วมเลยพักไว้ก่อน ปีนี้คงจะลองไปคุยอีกที ว่าถ้าเป็นคอนเสิร์ตปลายปีนี้จะเป็นไปได้ไหม และหากได้จัดกับทางอาร์เอสจริง คงเป็นรูปแบบย้อนยุค แต่ถ้าเกิดไม่ได้จัดกับทางอาร์เอส คงเป็นรูปแบบปกติเป็นแบบยุคสมัยใหม่ตามแบบฉบับของผมไป แต่ยังไงปีนี้ต้องมีคอนเสิร์ตใหญ่ครบ 15 ปีแน่ๆ อยู่แล้ว แต่กับทางไหนต้องรอดูกันอีกที ว่าจะได้เห็นผมในรูปแบบไหน


มีงานอะไรที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำบ้างในวงการบันเทิง

ทำมาเกือบครบแล้ว คงมีภาพยนตร์นี่แหละที่ยังไม่ได้ทำ มีค่ายหนังติดต่อมาเรื่อยๆ แต่ว่าการจะเล่นหนังต้องลงแรงลงเวลา เราต้องชอบจริงๆ ด้วย ที่ผ่านมาที่เขาติดต่อเข้ามา ยังไม่มีอะไรที่เรามีความรู้สึกว่าอยากจะออกไปถ่าย แต่ตอนนี้มีบทส่งมาเรื่องหนึ่ง ผมรู้สึกชอบและเป็นผู้กำกับที่ชอบด้วย เลยมีการคุยกัน แต่ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นเรื่องอะไร ไว้รอรายละเอียดก่อน แต่เดี๋ยวคงได้ทราบกัน เป็นแนวดราม่าคอมเมดี้ ยังไงรอติดตามกันต่อไป แต่ตอนนี้คงเน้นเรื่องงานเพลงที่จะผลักดันคนอื่นไปให้ถึงฝั่ง ถ้าเขาไปถึงฝั่งได้ถือว่าเราประสบความสำเร็จและคงจะเป็นความสุข มุ่งไปทางค่ายเป็นหลัก เพราะอยากให้งานมันออกมาดี เราตั้งใจตรงนี้มาก ซึ่งกระแสตอบรับตอนนี้ถือว่าดี


บทบาทการเป็นนักแสดง

ได้มาลองงานแสดงเป็นอย่างไรบ้าง

เรื่อง "ตะวันทอแสง" เป็นเรื่องที่ 2 รู้สึกว่าแสดงดีขึ้นเยอะ เพราะมีโอกาสไปเล่นละครเวที "ทวิภพ" มาก ละครเวทีเขาเคี่ยวเข็ญมาก ทำให้เราได้พัฒนาเรื่องการแสดงเพราะเราต้องเล่นทุกวัน ทุกอย่างสด เพราะฉะนั้นเรื่องความแม่นยำ การแสดงอารมณ์มันต้องเป๊ะ ต้องขอบคุณพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ขอบคุณหม่อมน้อย (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) และทุกๆ คนที่ทำให้เรามีประสบการณ์ที่ดี สามารถนำประสบการณ์ตอนนั้นมาใช้กับละครเยอะมาก พอมาเห็นการแสดงในเรื่อง "รักไม่มีวันตาย" แล้วก็อยากจะย้อนไปแก้ไขมาก (หัวเราะ) รู้สึกเล่นแข็งมาก ก็คงต้องรอต่อไปว่ารักไม่มีวันตายอาจจะมีภาค 2 ก็ได้ (ยิ้ม)


ร่วมงานกับใหม่ (ดาวิกา โฮร์เน่) เป็นอย่างไร เพราะรู้มาว่าเขาปลื้มโดม

แรกๆ เขาเกร็ง แต่เราก็ทำทุกอย่างให้มันดูง่ายๆ สนุกสนาน หลังๆ เริ่มสนิทมากขึ้นก็ไม่มีอะไร ใหม่น่ารัก เป็นนักแสดงที่วินัย เงียบมากพูดน้อย เรียบร้อย ต้องพยายามชวนคุยว่าเขาหลับหรือยัง กับเรื่องนี้ ต้องมีการปะทะอารมณ์และคารมสุดเหวี่ยงมาก เราเป็นเจ้าของกิจการเป็นเจ้าบ้านใหญ่ที่สุดในบ้าน ใครจะมาต่อปากต่อคำไม่ได้ แต่พอใหม่เข้ามาจึงมีการต่อปากต่อคำขึ้น มีการทะเลาะกัน สนุกดี ผมว่าคนดูน่าจะชอบ ดูได้ง่ายหลากหลาย เป็นชีวิตมนุษย์ที่ดราม่ามากเป็นการท้าทายความสามารถเรา


เรื่องราวของหัวใจ

ความรักเป็นอย่างไรบ้าง

กับกัสจัง (จิรันธนิน พิทักษ์พรตระกูล) แฮปปี้มีความสุขดีกับกระแสข่าวที่ผ่านมา เราไม่ได้ทำให้มันมามีผลกระทบกับเรา คือเราได้มารู้จักกันได้มาคบหาดูใจกันก็เป็นเรื่องที่ดี จึงไม่ไปคิดถึงข่าวอะไรที่ไม่เกี่ยวกับเรา ซึ่งเขาเป็นคนเข้าใจอะไรที่ง่าย บางทีเราทำงานหนัก คนอื่นจะไม่เข้าใจ แต่เขาเข้าใจดี

ความรักมีผลกระทบกับแฟนคลับไหม

ไม่มีอะไรเลย ผมเคารพความคิดของแฟนคลับทุกๆ คนมาก ผมรักแฟนคลับมาก ถ้าไม่มีพวกเขาก็คงไม่มีเรา ณ วันนี้ แต่ว่ามีบางคนเท่านั้นเอง ที่รู้สึกว่าไม่ชอบ แต่จริงๆ เราเคารพความคิดเขา ทุกคนมีสิทธิ์แสดงออกทางความคิดได้ แต่จะมีแค่ไม่กี่คน ที่เขารู้สึกว่าชอบและต้องการที่จะทำอะไรออกมา ซึ่งก็ต้องมีการคุยกันบ้าง


กัสจังไปเล่นภาพยนตร์ว่าเราเป็นป๋าดันช่วยน้อง

ไม่เกี่ยวเลย เป็นความสามารถของเขาเอง หนังแต่ละเรื่องลงทุนเยอะ การที่จะเลือกตัวละคร จึงต้องเลือกที่ความสามารถ ไม่สามารถใช้เส้นสายได้ เพราะเขาอาจไม่มีความสามารถพอในการแสดง อีกอย่างเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแรกของกัสจังด้วย เขาเคยผ่านงานแสดงมาก่อนหน้านี้แล้ว และสิ่งหนึ่งที่ผมรู้ได้ คือทางน้องเขาค่อนข้างจะโดดเด่นในเรื่องการพูดภาษาอังกฤษคล่อง หนังทุกเรื่องที่เขาเล่นมาเป็นหนังที่มุ่งเน้นไปฉากเมืองนอก อย่าง"ไฟท์ติ้งฟิต" ถ่ายในเมืองไทยจริง แต่ว่ามุ่งเน้นไปฉายในเมืองนอก ขายตามเทศกาลหนัง อย่าง "เอเลเฟนธ์ ไวท์" ก็เป็นหนังฮอลลีวู้ด เขาก็เล่นพูดภาษาอังกฤษ ในเมืองไทยอาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ แต่เขามักเป็นตัวแสดงที่ได้รับ เรียกให้ไปแคสติ้งบ่อยๆเนื่องจากเขาได้ในเรื่องภาษา ส่วนเรื่องการแสดงของน้องก็โอเค แต่เรื่องที่เด่นก็เรื่องภาษานี่แหละ ซึ่งเราก็คอยให้คำแนะนำเขาเกี่ยวกับกลไกลของวงการนี้ สิ่งที่สำคัญในการอยู่ตรงนี้คืออะไร ช่วยแนะนำในฐานะที่อยู่มาก่อน


ไขข้อความกระจ่างของศิลปินหนุ่มขั้นเทพไปแล้ว ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้มีเพียงแค่หน้าตาที่ขั้นเทพเท่านั้น แต่ความคิดความอ่านต้องบอกว่าเทพมาก


เขาคนนี้คือ.. ปกรณ์ ลัม

ชื่อเล่น : โดม

เกิด : 12 กันยายน พ.ศ. 2522

การศึกษา : ชั้นอนุบาล โรงเรียนยุคลธร ชั้นประถมศึกษา โรงเรียนเรวดี ชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนปาณะพันธ์ และศึกษาต่อด้าน Pyramid sound engineering school และ Expression conidia ที่ America รัฐ California เมือง San Francisco

ผลงานที่ผ่านมา : งานเพลงกับค่ายอาร์เอส งานเพลงกับค่ายแกรมมี่ ละครรักไม่มีวันตาย ละครเวทีทวิภพ ฯลฯ

ผลงานปัจจุบัน : ละครตะวันทอแสง งานอัลบั้มเดี่ยวและดูแลค่ายเพลงไอคอนนิคสตูดิโอ