Inside Dara
“น้ำตาล-พิจักขณา” ทุ่มเรียนเต้น เค้นฟีลดาวติ๊กต่อก

สลัดลุคนางเอกแสนดี น้ำตาล-พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ นางเอกสาวจากละครแฟนตาซี โรแมนติกดราม่าเรื่อง “แค้นรักสลับชะตา” ทางช่อง 3 ของผู้จัดคนเก่ง อ้อม-พิยดา อัครเศรณี นั่นเอง ยิ่งฉายยิ่งลุ้นสนุกกับความอลเวงจนแฟนๆ ลุ้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ก็ตามที

ถึงแม้เรื่องนี้น้ำตาล ไม่ได้สลับร่างกับใครแต่สวมบท “จินนี่” นางแบบสู้ชีวิต ปากกัดตีนถีบ มีมุมชีวิตสีเทาๆ เป็นความใหม่ที่ท้าทาย แตกต่างละครที่ผ่านๆมา ไม่นางเอกแสนดี ก็ร้ายๆไปเลย แถมตัวละครยังเป็นคนมีความสามารถรอบด้าน เต้นเก่ง เดินแบบคล่อง หยิบเสื้อผ้าตัวโน้นตัวนี้มาแมตช์กันได้อย่างกลมกลืนสมกับอาชีพ “นางแบบ” ตัวแม่ของวงการ แต่ตรงกันข้ามกับน้ำตาล ที่เจ้าตัวออกตัวว่า งานเดินแบบไม่ใช่ทางถนัด ยิ่งเรื่องเต้น ยิ่งแล้วใหญ่ไม่มีพื้นฐานด้วยซ้ำ ความกังวลใจรู้ถึงหู อ้อม-พิยดา ผู้จัดสาวคนเก่ง เลยส่งไปเทคอร์สเรียนเต้นแบบเร่งด่วน

“จริงๆ ตาลเป็นคนเต้นไม่ได้เก่ง แต่จินนี่จะเป็นฟีลดาวติ๊กต่อก พี่อ้อมเลยส่งไปเรียนเต้นเลย ฝึกสกิล ถ้าเต้นแบบแบ๊วๆใสๆ ก็พอได้ แต่ในละครแนวเต้นจะมีความเซ็กซี่ด้วยเราไม่ได้มีพื้นฐานขนาดนั้น ไม่ได้มั่นใจอะไรขนาดนั้น ตรงกันข้ามกับจินนี่ แต่งชุดอะไรก็แต่งไปเลย ดังนั้นตาลต้องเรียกความมั่นใจค่อนข้างเยอะ เรามีความค่อนข้างเขิน พอเราเรียนเต้นทำให้เรามั่นใจ เต้นทำตามสเต็ปไป เอาจริงๆ หลังไปเรียนเต้นวันนั้น ตาลเข้า รพ.เลยเพราะเอ็นข้อเท้าอักเสบ ก่อนเรียนเต้นจริงๆต้องวอร์มก่อน แต่วันนั้นไม่ยอมสู้ตายจัดเต็ม กลัวทำไม่ได้ บอกครูไม่ต้องวอร์มเอาเลย เต้นจริงเลย กลายเป็นว่าวันรุ่งขึ้นเท้าบวมไป รพ.เข้าเฝือกอ่อนเลยค่ะ เป็นประสบการณ์ชีวิตที่แลกมาด้วยการเจ็บตัวแต่เป็นการเจ็บตัวเราทำเอง เป็นความประมาทของตัวเองที่คิดว่าไม่เป็นอะไร”

ไม่ใช่แค่สกิลการเต้นยั่วๆ เซ็กซี่หน่อยๆ เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนๆแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักคือการเดินแบบ ซึ่งน้ำตาลยอมรับถึงตนอยู่วงการบันเทิงมานาน แต่เดินแบบนับครั้งได้เพราะไม่ใช่สายงานที่ถนัดนัก “ที่ตาลไม่ค่อยเดินแบบเพราะรู้สึกเขิน รู้สึกอายเวลาคนมอง จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเรา บวกกับนิสัยตาลเป็นคนไม่นิ่ง จะเรียกว่าหลุกหลิกก็ว่าได้ สมมติหากไปเดินแฟชั่นอยู่บนแคตวอร์ก เกิดเห็นผู้ใหญ่นั่งอยู่ จะยกมือไหว้ดีไหม จนมีพี่ๆต้องคอยบอกห้ามยกมือไหว้เด็ดขาด และความเป็นนางแบบ ต้องจำ รองเท้าแบบไหน เสื้อผ้าแบบไหน ต้องเดินได้หมด แต่ตนจะไม่ถนัดเดินบนส้นสูงเท่าไหร่นัก เลยรู้สึกได้ไม่ใช่ทางของเรา แต่ถ้าใส่รองเท้าผ้าใบ สู้ตายค่ะ”

ถึงแม้สาวน้ำตาลจะเอ่ยปากไม่ถนัดงานเดินแบบ แต่พอเป็นงานถ่ายแบบ ถ่ายแฟชั่น เพื่อแฟนๆ “มาลัยไทยรัฐ” โดยขนเสื้อผ้าแฟชั่นสวยๆ จากแบรนด์ดัง “MILIN” 3 ลุค 3 สไตล์ ทั้งลุคสวยหวานหน่อยๆ เซ็กซี่ขี้เล่นก็อินเนอร์มาเต็ม ยิ่งเป็นลุคสาวเท่ๆ เรียกว่าทุกลุค ชีตาล เอาอยู่จนร้องว้าว...ววว โดยมีสุรกิจ แก้วมรกต ลั่นชัตเตอร์แบบไม่แคร์เมมฯ เต็ม สถานที่ร้านละอองคาเฟ่ ย่านบรมราชชนนี

“รู้สึกห่างหายไปนาน ด้วยสถานการณ์ ทำให้เราไม่ค่อยมีงานถ่ายแบบ นี่เรียกว่าเคาะสนิมเหมือนกันเพราะว่าตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว มีถ่ายรูปเล่น นี่ครั้งแรกจริงจัง” ชอบลุคไหนเป็นพิเศษ “ชอบลุคใส่สูทเพราะรู้สึกช่วงนี้ตัวเองอินสูทมากๆ ที่มันเท่ๆ ขึ้นมาหน่อย ในชีวิตประจำวันชอบเอาสูทไปแมตช์กับกางเกงยีนส์บ้าง อาจเริ่มจากเราทำธุรกิจ จะต้องแวะเข้าบริษัท ดูเป็นสาวออฟฟิศมากขึ้น”

เรื่องฉากเลิฟซีนยั่วๆ หวานๆ มีให้แฟนๆ ฟินและจิกหมอนขาดเป็นระยะๆ ตามคาแรกเตอร์ของสาวจินนี่ ยังเป็นสายบุกเข้าหาผู้ชายก่อน ซึ่งทำให้น้ำตาล ยอมรับว่าเล่นไปก็เขินไปเพราะเราต้องไปปล้ำผู้ชาย เพราะคิดว่าเป็นแฟนตัวเอง เคยจุ๊บกัน เวลาเข้าฉากไล่ปล้ำ ใช้แรงเยอะดึงฉุดกระชากลากถูผู้ชายแต่กลายเป็นความสนุก ซึ่งมีอ้อม-พิยดา และผู้กำกับ คอยเป็นต้นแบบเล่นให้ดูก่อน บรรยากาศกองสนุก ส่วนการร่วมงาน กับอาเล็ก-ธีรเดช ไร้ปัญหาเพราะสนิทกันอยู่แล้ว เคยร่วมงานกันมาก่อน ตั้งแต่ละครสะใภ้จ้าว เพียงแต่เรื่องนี้เพิ่งมาเล่นคู่กันเท่านั้นเอง...“พี่อาเล็ก เป็นพระเอกใจดีมากๆ ซัพพอร์ตหลายๆ เรื่อง ซื้อแก้วน้ำ ซื้อเก้าอี้สนามให้ คอยซัพพอร์ตน้องๆ ซื้อขนมมาเลี้ยงในกอง มีความเป็นป๋า อยากกินอะไรบอกเค้าจะได้กิน ร้อนๆ เหมากุยช่าย ไอติมให้กินบ้าง ค่าตัวหมดกับการซื้อของเลี้ยงกอง เป็นพระเอกสายเปย์มาก ตาลโชคดีร่วมงานพี่บอย-ปกรณ์ (ละครสายลับลิปกลอส), พี่ป๋อ-ณัฐวุฒิ (ละครตะวันยอแสง), พี่ปอ-ทฤษฎี (ละครเรือนริษยา) ส่วนใหญ่ร่วมงานกับพระเอกแต่ละคนใจดีทุกคน ยกเว้นเคน-ภูภูมิ คนเดียว ไม่เลี้ยง มันถึงรวยมากค่ะ (หัวเราะ)”

ส่วนสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ คู่รักนักเดินทางอย่าง น้ำตาล และ พี่ไผ่-พาทิศ ไม่ได้ขึ้นเขา ดำน้ำเหมือนทุกๆ ทีก็จริง แต่กลับทำให้มีช่วงเวลาดีๆให้กันมากขึ้น ตาลเล่าว่า “ช่วงก่อนหน้านี้ตาลทำบ้านเป็นสตูดิโอ แล้วบ้านเค้ารับเหมาก่อสร้างประหยัดตรงนี้ไป เค้ามาช่วยซัพพอร์ตตรงนี้ มีเรื่องให้ไหว้วานและช่วงนั้นตาลกักตัวพอดี แล้วพีกมากต้องซื้อของทำนั่นทำนี่ด้วย ก็ได้พี่ไผ่ช่วยจัดการกับเพื่อนตาลที่เป็นหุ้นส่วน ซื้อของให้ หรือตอนทำกุ้งดองอยากจ้างคนมาเป็นลูกมือแต่เราไม่รู้เอาคนข้างนอกเข้ามาเค้าไปไหนมาไหน ก็เลยเอ่ยปาก พี่ไหนๆ ก็อยู่กับตู้ปลา มาช่วยหน่อย อย่างน้อยๆ ช่วยวิ่งส่งของให้ก็ยังดี เค้าซัพพอร์ตทุกอย่าง บางทีคนก็ถามว่าคบกัน 8-9 ปีเบื่อๆ กันบ้างไหม แต่สำหรับตาลเหมือนเราโตไปด้วยกัน เราเรียนรู้ไปด้วยกัน เค้าช่วยเรื่องการเรียนเพราะเค้าเป็นคนเรียนเก่ง เรียนจบมาทำงาน เค้าเป็นพาร์ตเนอร์เรื่องธุรกิจได้ด้วยเพราะเค้าทำธุรกิจเยอะ ไปเที่ยวเค้ารู้จักเยอะ ค่อนข้างทุกอย่างได้”

เวลาเราลงรูปคู่เมื่อไหร่ทุกคนจะถามแต่งงานรู้สึกกดดันบ้างมั้ย “ไม่ใช่ว่าไม่คุยกันนะ ด้วยความว่าคบกันมานานขนาดนี้แล้ว ก็ต้องมีคุยกันบ้าง เห็นตรงกันทั้งคู่ด้วยสถานการณ์ตรงนี้อยากทำให้ชีวิตของแต่ละคนมั่นคงก่อน ตาลมีแพลนสร้างบ้านที่แพร่ก่อน ถ้าวันนึงเรามีครอบครัวเราไม่ทิ้งครอบครัวหลัก

ดังนั้นอยากให้บ้านเรามีความมั่นคงเดินต่อได้ เพราะพ่อแม่ดูแลเรามาดี เค้าพร้อมซัพพอร์ตเราเสมอ เราอยากเป็นแบบนั้นให้กับลูกของเราในอนาคตข้างหน้า แต่งงานอยากมีเบบี๋ ถ้าเราไม่พร้อมเกิดชักหน้าไม่ถึงหลังก็กลัวตรงนั้น ใจตาลอยากแต่งตอนอายุ 34-35 คือพี่เค้าก็อยากแต่งแล้วเพราะตอนนี้อายุ 37-38 แล้ว แต่เราต้องเข้าใจกัน ต้องปรับความเข้าใจนิดนึง เรื่องส่วนตัว นิสัยไม่ต้องปรับอะไรแล้ว ผ่านจุดที่รับกันไม่ได้แล้วจนรับกันได้แล้ว เมื่อก่อนเวลาเข้าป่าติดต่อกันไม่ได้เลยตอนนี้เค้าก็ปรับให้ มีโรคตาเข้ามา เขาเริ่มเข้าใจเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา เมื่อก่อนเค้าจะเป็นคนไม่กลัวอะไรแต่ตอนนี้เริ่มกลัว เหมือนตาลเมื่อก่อนไม่กลัวความสูง พอโตขึ้นเหมือนเรารักตัวเองมากขึ้นค่ะ”.

ภาพ : สุรกิจ แก้วมรกต