Inside Dara
"ชมพู่"นี่แหละตัวจริง! เวลาพิสูจน์แล้วทุกสิ่ง

ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริง ๆ สำหรับซูเปอร์สตาร์สาว ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต กับการเฉิดฉายบนพรมแดงเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส เป็นครั้งที่ 4 ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ จาก ลอรีอัล ปารีส เมคอัพ ดีไซเนอร์ ประเทศไทย และยังได้รับเทียบเชิญจากแบรนด์เครื่องประดับสุดหรูระดับโลกอย่าง โชพาร์ด ให้ร่วมเปิดงานในคืนแรก “ดาวต่างมุม” สัปดาห์นี้เลยมีบทสัมภาษณ์สุดเอ็กคลูซีฟของสาวชมมาฝากแฟน ๆ ให้ทุกคนได้ร่วมพิสูจน์ความเป็นตัวจริงของผู้หญิงคนนี้ไปพร้อม ๆ กัน

เดินพรมแดงคานส์ปีนี้เป็นปีที่ 4 แล้ว?

“สำหรับฟีดแบ็กการเดินพรมแดง 2 วันที่ผ่านมาก็ดีค่ะ กำลังใจล้นหลามเหมือนเดิม ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะมาถึงจุดนี้ เป็นครั้งที่ 4 แล้ว แต่ก็ยังมีความตื่นเต้นอยู่ ช่วงที่ผ่านมาทุกเช้าเรื่องแรกที่ผุดมาในหัวก็เป็นเรื่องที่จะไปเมืองคานส์ก่อน เพราะเรามีเรื่องที่ต้องเตรียมตัวและประสานงานต่าง ๆ ก็ทำการบ้านค่อนข้างหนัก เรียกว่าพอเดินเสร็จจากปีที่แล้วก็คิดต่อเลยว่าเรามีอะไรที่ต้องแก้ไข จุดไหนที่เราต้องอุดรอยรั่ว แล้วถ้าเรามีโอกาสอีกครั้งหนึ่ง จะทำสิ่งที่เคยทำไว้ให้ดีกว่าเดิมยังไง เรียกว่าเตรียมตัวมาแล้ว 300 กว่าวันแล้ว”

ปีนี้มีอะไรพิเศษกว่าทุกปี?

“คงเป็นการได้เดินพรมแดงวันแรก จากการเชิญของ โชพาร์ด เพราะการได้สล็อตเดินวันแรก ๆ เป็นอะไรที่ยากมาก เนื่องจากการแข่งขันภายในค่อนข้างจะสูง แล้วก็จะมีแต่พวกสายแข็ง แต่เราก็ไม่คิดว่าต้องกดดันตัวเอง ก็ทำให้ดีที่สุดตามมาตรฐานของเรา ก็คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีซะอีก เพราะวันแรก ๆ ปริมาณสื่อจะเยอะกว่ามาก ๆ”

แต่ละครั้งคนไทยจะคาดหวังกับการปรากฏตัวของชมพู่ เรากดดันไหม?

“ชมพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องพยายามชั่งน้ำหนัก เพราะคนทั้งประเทศมีรสนิยมส่วนตัวที่ไม่เหมือนกัน ทุกวันนี้ยังมีคนบอกว่าชมแต่งตัวเยอะเกินไป ถมเกินไป แต่บางคนก็เริ่มเข้าใจในความเป็นตัวเรา ซึ่งชมก็อยากให้สวยแบบสากล คนเข้าใจง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องให้คนตะโกนชื่อเราออกมาด้วย เพราะสุดท้ายเราไม่ได้พรีเซนต์แค่ชุด แต่พรีเซนต์ความเป็นตัวเองออกมาด้วย เพราะฉะนั้นเรากับชุดต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน ไม่ใช่แค่สวยเอาใจแต่คนไทย แต่ต้องเรียกความสนใจกับสื่อต่างชาติได้ด้วย เพราะลำพังชื่อเราอย่างเดียวมันไม่พอ เสียงของชื่อเราอาจจะดังไม่เท่าคนอื่น เพราะฉะนั้นชมก็ต้องทำการบ้านหนักขึ้น จะเรียกว่าพยายามก็ได้นะ ไม่โกรธเลยถ้าใครจะเรียกว่าเราพยายาม เพราะเราก็ต้องทำให้โดดเด่นที่สุด สำหรับชมคิดว่าการโดดเด่นที่แท้จริงก็คือความเป็นตัวเรา ไม่ใช่คิดว่าเราจะไปเป็นเหมือนใคร หรือทำเอาใจคนนั้นคนนี้ ไม่ใช่เราเห็นว่าดาราคนนี้ทำแบบนี้แล้วประสบความสำเร็จ เพราะสูตรนั้นมันอาจจะไม่ได้เวิร์กสำหรับทุกคนก็ได้ ซึ่งตรงนี้ชมก็ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ในชีวิต และคงไม่มีใครเข้าใจได้ดีเท่ากับตัวเรา แต่ไม่ใช่ว่าชมไม่เปิดรับความคิดเห็นของใครเลยนะ เราก็ยังต้องฟังเสียงทั้งฝั่งคนไทย และฝรั่ง ซึ่งความคิดเห็นส่วนใหญ่มักจะไม่ตรงกันเท่าไหร่”

แล้วลุคการเมคอัพในปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง?

“ลุคที่ครีเอทไว้จากเมืองไทยก็มี 2 ลุคหลัก ๆ แน่นอนว่ามันต้องลิงก์์กับของที่เขาจะขายในช่วงนี้ด้วย แต่คิดว่าจำนวนการปรากฏตัวของเราจะเยอะกว่าลุคที่เราครีเอทไว้ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ดิ้นได้แหละค่ะ เพราะเมคอัพชุดหนึ่งทำอะไรได้เยอะ ซึ่งปีนี้ก็มีช่างแต่งหน้าคนไทยคือ ป้อม-วินิจ บุญชัยศรี ที่ครีเอทลุคด้วยกัน เราทำงานด้วยกันตั้งแต่เริ่มแรก ในปีนี้ก็จะเต็มตัวมากขึ้น แต่ยังไงเราก็ต้องใช้ช่างฝรั่งด้วย เพราะทางโน้นเขาก็มี โกลบอล เมคอัพ อาร์ติสต์ ก็แชร์ ๆ กันทั้งช่างฝรั่งและช่างไทย”

ในการไปคานส์แต่ละครั้งชมได้อะไรกลับมาบ้าง?

“ชมว่าคงเป็นเรื่องวิสัยทัศน์ เวลาเราแอบเห็นฝรั่งเขาทำงาน ถ้าเทียบกับในวงการบันเทิงบ้านเรา ความถ้อยทีถ้อยอาศัยเขาอาจจะน้อยกว่าเราเยอะมาก แต่เขาค่อนข้างจะมืออาชีพ เจอหน้ากันทุกคนสามารถเข้าสังคมได้หมด แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ค่อนข้างจะตัวใครตัวมัน อย่างปีแรก ๆ ที่เราไป เราค่อนข้างอ่อนน้อมถ่อมตนมาก ซึ่งทุกวันนี้ชมก็ยังเป็นนะ เรารู้สึกว่าเรายังตัวเล็กมากเพราะมีแต่คนเบอร์ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ซึ่งคุณสมบัติหลาย ๆ อย่าง ความน่ารักแบบคนไทย เป็นสิ่งที่ดีและซื้อใจคนตรงนั้นได้เยอะมาก เรามั่นใจเลยว่าคนตรงนั้นรักเรา เพราะเราไม่ได้เรียกร้องว่าต้องยังนั้นอย่างนี้ เพราะเราต้องเข้าใจว่าทุกคนที่ไปอยู่ตรงนั้นก็เป็นที่หนึ่งมาจากบ้านตัวเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะมีองค์(หัวเราะ) แต่สำหรับชมเวลาเราเข้าไปตรงนั้นแล้วเรารู้สึกว่าเราคือทีม ทุกอย่างต้องไปด้วยกัน ไม่มีเขาเราก็อาจจะลำบาก เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำตัวไม่น่ารักกับทุกคน จนมาปีหลัง ๆ ทีมงานเป็นคนมาบอกเราเองว่า บางทีเธอแคร์คนอื่นมากเกินไปนะ เธอต้องแฮปปี้ที่สุดกับสิ่งที่เธอเลือก ซึ่งมันก็จริงนะ เพราะเราก็สามารถที่จะสตรอง มั่นใจ แน่วแน่กับความต้องการของเรา แต่เราก็ยังอ่อนโยนกับทุก ๆ คนได้”

ครั้งที่แล้วเห็นเลดี้ กาก้า เอาชุดที่ชมพู่ ใส่ไปเป็นเรฟเฟอเรนซ์ด้วย?

“ชมก็ภูมิใจนะคะ จริง ๆ ชมมีโอกาสเจอกับดีไซเนอร์ของอาชี สตูดิโอ(ashi studio) ครั้งแรกเมื่อ2-3 ปีก่อน ตั้งแต่เขาทำแบรนด์ใหม่ ๆ เรามีโอกาสไปเยี่ยมโชว์รูมเขา ก็เริ่มต้นรู้จักจากวันนั้น ถึงเขายังไม่ได้เป็นแบรนด์ที่ใหญ่มาก แต่เราก็เริ่มเห็นว่ามีคนเริ่มใช้งานเขาบนพรมแดง ซึ่งเราก็ชอบ ปีที่แล้วก็เลยลองดู ปรากฏว่าเมื่อช่วงกูตูร์ที่ผ่านมา ที่เราไปปารีส มีโอกาสได้คุยทั้งกับตัวดีไซเนอร์เองแล้วก็ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของแบรนด์ เขาบอกว่าฟีดแบ็กมันล้นหลามมากเขาได้อีเมลจากสไตลิสต์ที่ดูแลดาราระดับเอลิสหลายคนมาก โดยมีรูปของเราส่งต่อไปมาว่าอยากได้แบบนี้ ซึ่งเราก็ดีใจว่าเป็นข้อพิสูจน์ว่า ไม่ใช่เรื่องของบิ๊กเนมอย่างเดียว เพราะเราก็ไม่ใช่เบอร์ใหญ่ในคานส์ ส่วนอาชิ สตูดิโอ ก็เป็นแบรนด์น้องใหม่มาก ๆ แต่ชมเชื่อว่าถ้าเราคลิกกัน เราใส่รู้สึกว่าชุดนี้มันเป็นของเรานะ จะเหมือนองค์ลงเลย(หัวเราะ) เราจะมีความสุข สีหน้าและแววตาจะออกมาหมด”

ทุกวันนี้ไปคานส์ หรือแฟชั่นวีคแต่ละครั้ง ภาพตัวเองชัดในระดับอินเตอร์มากน้อยแค่ไหน?

“ชมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ รู้แต่ว่า ณ วันนี้ มีบทบาท มีหน้าที่เราก็ทำไป เพราะสิ่งแวดล้อมมันก็ต่างกัน อยู่ที่โน่นก็ไม่ใช่ว่าเดินไปไหนมาไหน จะมีคนมาขอถ่ายรูปแบบบ้านเรา แล้วอีกอย่างทุกคนก็ค่อนข้างตัวใครตัวมัน”

คนจะมองว่าชมพู่พรีเมียม ดูแพง ความเป็นจริงแล้วเป็นแบบนั้นไหม?

“ก็เอาหมดนะคะ ทั้งถูกทั้งแพง ทุกอย่างขึ้นกับความพอใจและโอกาสเป็นหลัก บางงานเราก็จำเป็นต้องแพง แต่วันธรรมดาบางทีอยากจะใส่เสื้อขาด ๆ ก็มี กางเกงที่ใส่อย่าเรียกว่ามือสองเลย บางทีมือที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ บางทีของที่ซื้อมาใส่บางอย่างก็เกือบจะเป็นขยะแล้ว สามียังไม่เข้าใจว่าซื้อทำไม เพราะถ้าแม่เห็นก็คงเอาไปเช็ดเตาแก๊สแล้ว(หัวเราะ) คือถ้าแพงสุด ๆ แต่ไม่ถูกใจชมก็ไม่เอา”

งานที่ไทยตอนนี้มีอะไรบ้าง?

“มีซีรีส์เรื่อง “คิวปิด บริษัทรักอุตลุด” ที่ถ่ายทำไปบ้างแล้ว แล้วก็มีละครเรื่อง“ระเริงไฟ” ก็เพิ่งเริ่มถ่ายไป ก่อนมาคานส์ค่ะ”

เล่นกับ เคน-ธีรเดช ทั้งสองเรื่องเลย?

“ใช่ค่ะ คือก็พูดยากเนอะ เพราะปีนี้ชมอายุก็ 35 ปี แล้วจะให้เล่นกับน้องเจมส์ มาร์ ก็คงไม่ใช่ เราก็ต้องหาอะไรที่มันเหมาะสมกับตัวเอง”

หลังจากมีครอบครัว มีข้อจำกัดในการรับงานมากขึ้นไหม?

“คือจริง ๆ ชมพยายามบาลานซ์ชีวิตครอบครัวกับชีวิตแต่งงานให้ได้ แต่ปีนี้ค่อนข้างเป็นหายนะนิดนึง เพราะที่ปีที่แล้วชมไม่สามารถเปิดอะไรได้เลย ทุกอย่างดีเลย์มาเกือบปี บวกกับผู้จัดหลาย ๆ คนในช่องก็เข้าใจว่าเราจะไม่รับงาน จนเราต้องเข้าไปคุยกับพี่ สมรักษ์ ณรงค์วิชัย ว่าชมยังรับงานอยู่นะคะ เพียงแต่ว่าต้องมาดูในรายละเอียดกันอีกที แต่ผู้จัดยังไม่ต้องกังวล ชมยังไม่ท้องตอนนี้ เราเลยต้องตัดสินใจรับละครซ้อนอีกรอบนึง ทั้งที่เป็นสิ่งสุดท้ายที่อยากจะทำ ปีนี้ก็เลยแน่นเหมือนเดิม เพราะว่าเราหายไปนานจริง ๆ นอกจากนี้ก็ยังมีหนังของ พี่ ยอร์ช-ฤกษ์ชัย อีก แล้วช่วงนี้ก็ไปต่างประเทศทุกเดือนเลย”

คุณน็อตเข้าใจใช่ไหม?

“ชมว่าเขาก็เข้าใจนะคะ แต่เอาจริง ๆ มีก็บ่นแหละ ตอนนั้นเจอหน้าพี่ หน่อง-อรุโณชา ไปถามเขาเฉยเมื่อไหร่จะเปิดกล้อง ผมจะให้เมียผมท้องแล้ว (ยิ้ม) คือผู้ชายเนอะ เวลาอธิบายเขาก็โอเค ๆ เข้าใจ ไม่ได้มาจี้อะไรเรา แต่ผ่านไปหนึ่งปี ไหนล่ะละครไม่เห็นถ่ายซะทีเลย เขาก็คงคิดว่าเขารอตามเวลาที่บอกแล้ว”

งั้นอีกปีหนึ่งก็น่าจะมีน้องเนอะ?

“ตามความตั้งใจจริง ๆ ไม่น่าจะถึงปีนะ อย่างหนังคิวถ่ายทำค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วว่า 20 กว่าคิว ส.ค.นี้น่าจะปิดกล้อง ส่วนซีรีส์คิวปิดฯ ก็ถ่ายไปบ้างแล้ว ส่วนละครเรื่องระเริงไฟก็น่าจะ 6-7 เดือน อย่างต่ำ ซึ่งถ้าเราดูคิวละครว่าเหลือไม่เยอะ ก็คงเริ่มปล่อยให้มีน้อง ที่ผ่านมาคนจะคิดว่าชมไม่อยากท้องหรือเปล่า กั๊กหรือเปล่า แต่เอาจริง ๆ เรามองว่าเป็นความท้าทายอีกแบบหนึ่ง เพราะเราทำงานภายใต้ข้อจำกัดเดิม ๆ สิ่งแวดล้อมเดิม ๆ มาหมดแล้ว แต่การเป็นแม่ก็เป็นอะไรที่ใหม่และท้าทายดี แต่มันก็ติดอะไรหลาย ๆอย่าง ซึ่งเราไม่พร้อมเลยถ้าจะต้องท้องตอนนี้ เลยขอซื้อเวลาไปก่อน”

หลังจากใช้ชีวิตคู่มา 1 ปี มีอะไรต้องปรับจูนกันอีกไหม?

“ไม่มีนะคะ ค่อนข้างจะเหมือนเดิม แค่เราเจอกันทุกคืน ตื่นมาก็เจอกัน ก็เลยเข้าใจกันง่ายขึ้น เมื่อก่อนอยู่คนละบ้าน ไปมาหาสู่กัน ทานข้าวกันแค่ครึ่งชั่วโมง ก็อยากคุยแต่เรื่องแฮปปี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรามีเยอะมาก เขาก็เยอะมาก บางทีก็อัพเดทกันไม่ทัน เวลาคุยกันก็ต้องสรุปรวบยอด แต่พอมาอยู่กันแบบสามีภรรยา ก็ได้รับรู้ทุกความเคลื่อนไหว เพราะเขาไม่ใช่คนกลับบ้านดึก ส่วนเราก็กลับบ้านเร็ว พอเข้าบ้านปุ๊บก็มาอัพเดทกันว่าไปทำอะไรมาบ้าง จากนั้นก็แยกย้าย ชมก็ไปเล่นยิม ส่วนคุณน็อตเขาก็ไปดูบอลอะไรของเขา กลับมาก็คุยกันอีกรอบ เราก็เลยได้แชร์ความรู้สึกและเป็นคู่คิดกันมากขึ้น”

ช่วงนี้ถ่ายทอดสด ผ่านเฟซบุ๊กให้แฟน ๆ ได้เห็นกันตลอด?

“จริง ๆ ชมก็ไม่ได้ไลฟ์ตลอดเวลานะ จริง ๆ ตอนแรกก็ลังเลที่จะเล่น เพราะไม่ได้อยากทำอะไรแล้วเลิก แต่พอชมได้มาลองเล่นของผู้จัดการ ก็รู้สึกว่ามันถูกจริตเรา เพราะเราไม่ต้องพยายาม หรือคิดว่าวันนี้จะทำอะไร อย่างทวิตเตอร์ชมไม่ค่อยเล่น เพราะไม่ชอบเขียนอะไรมาก แล้วชมคิดว่าตัวหนังสือมันทำให้เกิดการตีความผิด ๆ ทั้งที่บางทีเราไม่ได้หมายความแบบนั้น บางทีเราแฮชแท็กอะไรขำ ๆ ก็เอาไปตีความกันมั่วซั่ว แล้วชมก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการรีทวีตด้วย เลยคิดว่ามันซับซ้อนไปหน่อย ส่วนอย่างสแนปแชตลองเล่นแล้วก็รู้สึกไม่ชอบ เพราะมือต้องอยู่กับโทรศัพท์ตลอดเวลา แล้วเราต้องมาคิดเรื่องราวอีก เลยรู้สึกไม่ถูกจริต ส่วนอินสตาแกรมก็เล่นตั้งแต่เขายังไม่ฮิต ตอนนั้นคนที่ติดตามเขาก็คงรู้สึกได้ใกล้ชิดกับเราแล้ว แต่ก็ต้องบอกว่าภาพ ๆ หนึ่งกว่าเราจะโพสต์ออกมา บางทีเซตเป็นอะไรได้สารพัด แต่เฟซบุ๊กไลฟ์เป็นอะไรที่เรียลจริง ๆ เพราะฉะนั้นคนที่ติดตามเราก็จะสัมผัสเราอีกแบบหนึ่ง สมมุติเราพูดสิ่งเดียวกันกับแคปชั่นในไอจี แต่ด้วยน้ำเสียงเรา มันก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นชมว่าเราต้องรู้จักใช้ เพราะโซเชียลเน็ตเวิร์กทุกชนิด ประโยชน์มันก็มี ที่เราสามารถใช้แสดงตัวตน หรือเป็นเครื่องมือที่จะบอกอะไรกับคนได้ แต่บางทีเราต้องไม่หลงไปกับคอมเมนต์ต่าง ๆ ที่คนชื่นชมเราก็เป็นแค่คนกลุ่มหนึ่ง ที่วัดค่าเฉลี่ยไม่ได้ด้วยซ้ำ ถึงจะมีมากแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีคนอีกเยอะที่เขาไม่ได้มาคอมเมนต์ตรงนี้”

ตอนนี้คนเรียกชมพู่ว่าคุณแม่กันหมดทั้งประเทศ และ #แม่ก็คือแม่ด้วย?

“มีลูกสาวเยอะมากค่ะ บางทีคนมาคอมเมนต์เรียกคุณแม่ ๆ พอกดเขาไปดูในโปรไฟล์หนวดเฟิ้มเลยก็มี (หัวเราะ)”

สุดท้ายให้ฝากอะไรถึงแฟน ๆ หน่อย?

“สำหรับแฟน ๆ ตอนนี้ก็มีหลายช่องทางให้ติดตามกันมากขึ้น ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ชมเองก็ตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุดทั้งโปรเจคท์ที่คานส์แล้วก็งานที่เมืองไทย หวังว่าสิ่งที่ชมทำออกมาจะถูกใจคนส่วนมากนะคะ ยังไงก็ฝากด้วย”

...มาถึงวันนี้ เสียงแฟลชจากช่างภาพและกระแสชื่นชมจากสื่อต่างชาติคงจะการันตีความโดดเด่นและความเป็นตัวจริงของ ชมพู่-อารยา ได้ดีทีเดียว.“