Inside Dara
‘นุ่น’ รักทุกอุปสรรค เปลี่ยนความท้อเป็นแข็งแกร่ง

เป็นอีกหนึ่งนักแสดงมากฝีมือ สำหรับ นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา ที่ตอนนี้กำลังโชว์ผลงานในละครประวัติศาสตร์ “บางระจัน” วันนี้ “ดาวต่างมุม” เลยขอนัดแนะเธอมานั่งคุยกันแบบสบาย ๆ ทั้งชีวิตในวงการตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ที่เจ้าตัวบอกว่าทุกปัญหาทำให้เธอแข็งแกร่ง รวมทั้งเรื่องหัวใจกับแฟนหนุ่ม ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร ที่แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ใช่คู่ที่หวาน แต่ก็เป็นความรักที่ทำให้รู้สึกมั่นคงด้วย

ถามถึงบทบาท “สไบ” ใน “บางระจัน” หน่อย ตัวละครนี้มีความเหมือนหรือต่างจากนุ่นมากน้อยแค่ไหน?

“คาแรกเตอร์หลัก ๆ นุ่นคิดว่าสไบเป็นตัวแทนของหญิงไทยในยุคนั้นเลย ที่ไม่ได้เตรียมตัวมาจับดาบสู้กับใคร พอวันนึงที่ต้องลุกขึ้นมาปกป้องบ้านของตัวเองก็ต้องทำให้ได้ ซึ่งตัวละครนี้มีความต่างจากนุ่นตรงความเป็นผู้หญิง ความอ่อนโยนต่อคนรัก การดูแลคนรอบข้างของสไบจะมีเยอะกว่าแต่นุ่นจะไม่ค่อยมีตรงนี้ คือเราเป็นคนทำงานจริงจัง ไม่ค่อยอ่อนหวาน แต่มีอย่างนึงที่เหมือนกันคืออุดมการณ์ที่สไบรักชาติ ในพาร์ทของสไบจะพูดถึงเรื่องความรักต่อคนรักและความรักต่อแผ่นดินจะเลือกอะไร สุดท้ายแม้สไบจะรักผู้ชายแต่ก็เลือกแผ่นดิน ซึ่งถ้าเป็นนุ่นก็เลือกแบบนี้เหมือนกันค่ะ คืออุดมการณ์มันกินไม่ได้ แต่สำหรับบางคนมันคือการเติมเต็ม”

รู้สึกยังไงที่ได้เล่นละครเรื่องนี้ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ของชาติไทยด้วย?

“เหตุผลเดียวที่นุ่นรับเล่นละครเรื่องนี้ คือนุ่นเรียนเรื่องบางระจัน เรารู้ว่าวีรชนมีใครบ้างและเกิดอะไรขึ้น เรารู้ว่านี่คือบรรพบุรุษที่ปกป้องและเราควรจะเชิดชู และวันนึงพี่หน่อง-อรุโณชา ผู้จัดเรื่องนี้โทรฯ มาชวน ตอนนั้นนุ่นไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะได้บทไหน นุ่นอยากเล่นโดยที่จริง ๆ เราก็มีนโยบายในชีวิตว่าเราจะเล่นในบทที่เรายังไม่เคยเล่น ให้เราได้พัฒนาศักยภาพในการเป็นนักแสดง ที่สำคัญต้องตอบโจทย์เรื่องของเวลา คือพอเรามาทำธุรกิจของตัวเอง เวลามันก็น้อย ซึ่งเรื่องนี้มันไม่ได้ตอบโจทย์ที่เราตั้งไว้เลย แต่เรารู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของละคร คือนุ่นเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองกับทุกเรื่องเลยนะว่า อะไรที่นุ่นทำแล้วมีความสุขนุ่นก็จะทำ ไม่ได้สนใจเงื่อนไขเรื่องความโด่งดังค่ะ”

ถามถึงละครเรื่องต่อไป “ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด” บ้าง?

“เรื่องนี้เป็นละครที่นุ่นอยากเล่น นุ่นศรัทธาผู้หญิงที่เก่ง ไม่ใช่เก่งเรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ หรือความสำเร็จในสังคม แต่ชอบที่เอาชนะบางอย่างได้ เรื่องนี้ก็ยากสมกับที่ตั้งใจเลย นุ่นต้องพัฒนาทุกอย่างในตัวเอง เพราะตัวนุ่นไม่เหมือนบุญรอดเลย นุ่นเป็นคนพูดช้า แต่บุญรอดต้องพูดแบบฉะฉาน ซึ่งอันนี้ยากมาก สำหรับนักแสดงการเปลี่ยนสำเนียงหรือธรรมชาติร่างกายของเรายากที่สุดค่ะ นุ่นต้องไปเข้าคลาสเรียนกับพี่เงาะเพิ่ม เราอยากเป็นบุญรอดโดยสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่นุ่นทำได้ ซึ่งวันนี้นุ่นก็คิดว่าตัวเองจะยังทำได้ไม่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เดี๋ยวเราก็ไปเติมเต็มอันอื่นเอา นุ่นเป็นพวกบุญรอดค่ะ คือเชื่อเลยว่าต้องมีคนด่า แต่นุ่นไม่ท้อ เพราะนุ่นโคตรเต็มที่ ถ้าใครมาว่านุ่นก็ไม่เสียใจ คือถ้ามาด่าเราแล้วเราคิดว่าใช่ เราน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แบบนั้นเราจะเสียใจ แต่นุ่นรู้ว่านุ่นเต็มที่สุด ๆ นุ่นไม่เสียใจค่ะ”

เป็นอีกคนที่ไม่ได้มีผลงานออกมาซ้อนกันมากมาย เรามีวิธีเลือกรับงานยังไง?

“สัญชาตญาณล้วน ๆ ค่ะ นุ่นไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเก่งอะไรเลย เรายังกระหายที่จะเรียนรู้การแสดง ศาสตร์การแสดงมันมีอีกเยอะมาก ไปเล่นอีกบทก็คือการรู้เพิ่มขึ้น นุ่นอยากเก่ง อยากเล่นละครไปจนแก่ แต่อยากเล่นบทที่ทำให้เราเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ที่สำคัญต้องตอบโจทย์เรื่องเวลา เพราะนุ่นเคยทำงานหนัก ๆ แล้วมีช่วงนึงได้หยุดงานเสาร์อาทิตย์เราก็ไปวิ่งเล่นกับน้องชาย น้องก็บอกว่าดีเนอะ พี่นุ่นได้หยุดแล้ว เราไม่ค่อยได้เจอกันเลย ประโยคนี้มันทำให้เปลี่ยนทุกอย่างเลยค่ะ รู้สึกว่าเราลืมคนที่บ้านไป นุ่นอยากให้เวลากับครอบครัวเยอะ ๆ ในส่วนบทนางเอกนุ่นไม่ได้ติดตั้งแต่แรก นุ่นให้นิยามตัวเองว่าไม่ใช่นางเอกอยู่แล้ว นุ่นอยากเป็นนักแสดงตั้งแต่เข้าวงการ นี่คือสิ่งที่นุ่นอยากทำค่ะ”

เรื่อง “บ่วง” ที่เรารับบทเป็น “แพง” เราได้รับการพูดถึงมาก มันทำให้เราทำงานยากขึ้นมั้ย เพราะอาจถูกตั้งความคาดหวัง?

“ไม่ยากขึ้นค่ะ คือเข้าใจได้สำหรับความคาดหวัง แต่มันอยู่ที่ตัวเราต่างหาก นุ่นเชื่อว่าอาจจะมีบางเรื่องที่นุ่นเล่นห่วยก็ได้ และก็จะมีคนบอกว่าทำไมนุ่นเล่นแบบนี้ มีโดนด่า แต่เราไม่เคยเอาตรงนั้นมาใช้เลย อย่างเรื่อง “บ่วง” นุ่นรู้สึกว่างานจบตั้งแต่วันปิดกล้อง กับคำชมที่ได้นุ่นไม่เคยเอามากดดัน นุ่นชอบกดดันตัวเองค่ะ เพราะถูกเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กว่าต้องดีที่สุด ดังนั้นทำอะไรก็ตาม เราต้องเค้นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ออกมา แต่หลัง ๆ เราเริ่มดีขึ้นตรงที่เริ่มปล่อยวาง เพราะเราเรียนรู้ว่าบางอย่างเราไม่สามารถควบคุมได้” มองอนาคตในวงการไว้ยังไงบ้าง?

“ก็เล่นไปจนกว่าเขาไม่จ้าง (ยิ้ม) นุ่นอยากเป็นนักแสดงที่เก่งขึ้น การเรียนรู้มันไม่มีวันหมดอายุ แต่นุ่นไม่รู้ว่าการที่นุ่นรับงานแบบมีนโยบายของตัวเองแบบนี้คนอาจจะไม่ชอบก็ได้ แต่ตราบใดที่ยังมีคนจ้างและมันแมตช์กับสิ่งที่เราตั้งใจไว้ ก็จะเห็นนุ่นยังอยู่ที่หน้าจอเรื่อย ๆ เพราะนุ่นรักการแสดงจริง ๆ นุ่นอยากอยู่บนเวทีตั้งแต่เด็ก แล้วเราไม่เคยมีโอกาสด้านนี้เลย อยากเรียนนิเทศก็ไม่ได้เข้าเรียน ได้มาทำงานในวงการมันเหมือนคนที่เคยเคว้งในเรื่องนี้ พอได้ทำก็อยากที่จะอยู่กับมัน นุ่นไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง ยังบอกเสมอว่านุ่นเป็นลูกศิษย์ของทุกคน แม้แต่เด็กใหม่เข้ามาก็ยังสอนเรา แต่ละคนสอนเราในหลายมิติค่ะ”

ความภูมิใจที่สุดในชีวิตคืออะไร?

“เอาจริง ๆ นุ่นภูมิใจที่วันนี้นุ่นเป็นนุ่นที่แข็งแรงมาก ๆ ภูมิใจกับตัวเองที่ฝ่าฟันมาได้ เราเป็นมาแล้วทุกอย่าง เข้าวงการแรก ๆ นุ่นก็โดนด่าหยิ่ง ติสต์์แตก มีปัญหากับสื่อมวลชน มีข่าวฉาว เราล้มแล้วลุกหลายครั้ง โดนด่าว่าไม่เหมาะกับนางเอกละคร เลยภูมิใจกับตัวเองที่ไม่ยอมปล่อย นุ่นท้อ นอยด์ตลอด นุ่นร้องไห้ มาถึงวันนี้นุ่นรู้ว่าชีวิตต้องการอะไร ไม่ใช่ชื่อเสียงเงินทอง แต่มันคือบาลานซ์ระหว่างสิ่งที่นุ่นรักนั่นคือการแสดงและการได้อยู่กับครอบครัว ได้ทำงานธุรกิจ นุ่นรู้สึกดีตรงที่แต่ละวันนุ่นทำงานและบาลานซ์ทุกอย่างอย่างมีความสุข มันยากนะ เพราะตอนที่นุ่นอายุ 22 ปี นุ่นก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้ ตอนอายุ 29 ปี นุ่นอกหักนุ่นก็ทำไม่ได้ ชีวิตมันเป๋มาก แต่ตอนนี้อายุจะ 33 ปี แล้ว แต่เราก็รู้ว่าอนาคตอาจมีเรื่องใหญ่ ๆ เข้ามา แต่ตอนนี้นุ่นโอเคแล้ว และสิ่งที่ทำให้นุ่นโอเคได้แบบนี้ก็คืออุปสรรคต่าง ๆ ที่เข้ามา นุ่นรักอุปสรรคทุกอย่าง มันทำให้นุ่นแข็งแกร่งมาก นุ่นขอบคุณทุกคนที่ด่านุ่นในโซเชียล ขอบคุณทุกอย่างที่เป็นปัญหาเข้ามา ถ้าไม่มีปัญหานุ่นจะรู้สึกว่าตัวเองสบาย ไม่ต้องพัฒนา ไม่ต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง ถ้าไม่มีปัญหาเหล่านั้น ก็คงไม่มีนุ่นในวันนี้แน่ ๆ ค่ะ และนุ่นขอบคุณอย่างใจจริง ไม่ได้ประชดประชัน เพราะกลับมานั่งคิดดูถ้าวันนั้นนุ่นไม่โดนด่าเรื่องเล่นละครแย่ ปากกว้าง ไม่สวย ดำ ตัวใหญ่ นุ่นคงไม่มุ่งมั่นเอาชนะคำพูดเหล่านี้ด้วยการไปเรียนการแสดงเพิ่ม ตั้งใจทำงานเพิ่ม หรือไม่เจอปัญหาเรื่องความรัก เคยโดนทิ้งร้องไห้ เราก็คงไม่เห็นคุณค่าของความรักของพ่อแม่ ไม่รู้ว่าครอบครัวสำคัญขนาดไหน คือนุ่นอยากบอกว่าอย่าไปกลัวการใช้ชีวิต ผิด ๆ ถูก ๆ ไม่เป็นไรค่ะ นุ่นเคยเป็นพวกเพอร์เฟกชั่นนิสต์มาก่อน ทุกอย่างต้องดี ต้องได้ที่หนึ่ง พอวันนึงมีคนเข้ามาบอกว่างานของคุณเราไม่ให้รางวัล เพราะมันตั้งใจเกินไป เสียใจมากและมาวิเคราะห์ตัวเองว่ามันไม่มีอะไรเพอร์เฟกต์ เราไม่มีทางเลือกให้มีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาหาเรา ถ้าเราไม่มีของแย่ ๆ เราไม่แข็งแกร่งแน่นอน”

ถามถึงเรื่องความรักกับ “ท็อป” บ้าง เป็นอีกคู่ที่ไม่หวือหวาเลย?

“อยากขอบคุณท็อปเหมือนกันที่เข้ามาในชีวิตแล้วทำให้นุ่นเป็นนุ่นทุกวันนี้ได้ ท็อปมีส่วนสำคัญมาก ท็อปทำให้นุ่นเจ็บปวดมากและก็มีความสุขมาก เลยทำให้เรารู้ว่าบาลานซ์ระหว่างความสุขและทุกข์เป็นยังไง ช่วงปีที่ผ่านมาเรามาทำบริษัทด้วยกัน นุ่นโดนด่าทุกอาทิตย์ เพราะนุ่นไม่เคยบริหารอย่างจริงจัง มันจากแฟนกลายเป็นบัดดี้ทำงานกัน ก็ขอบคุณความเรื่อย ๆ ของคู่เรานะคะ มันทำให้เรารักความปกติแบบนี้ วันไหนที่มันไม่ปกติ เราก็จะรู้สึกว่าอย่าเลย คือเมื่อก่อนเราชอบความหวือหวานะ เป็นผู้หญิงที่ชอบการเซอร์ไพร้ส์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีเลย และเป็นคนชอบทำเซอร์ไพร้ส์คนอื่นด้วย เราเจอท็อปดึงตรงนี้เราออกไปหมด (ยิ้ม) แต่พอวันนี้กลับกลายเป็นว่าแค่กินข้าวที่บ้านกับคุณพ่อคุณแม่ด้วยกัน ล้างจาน นั่งดูทีวี ไม่ได้พูดกันเลย และเดินไปส่งประตูรั้วกลับบ้าน นี่มันคือความสุขจริง ๆ ที่มีคนอยู่ข้าง ๆ แล้วมันมั่นคง”

แปลว่า “ท็อป” ทำให้นุ่นรู้สึกมั่นคงจริง ๆ

“ใช่ค่ะ แต่นุ่นว่าท็อปซวยนะที่ได้ผู้หญิงที่แบบอีโมชั่นนอลมาก พูดนิดนึงจะรู้สึก บางทีพูดปกติแต่นุ่นร้องไห้ บางทีไม่ได้งอนนะ แต่เวลาพูดแล้วน้ำตามันร่วง เพราะเป็นนักแสดงรึเปล่าไม่รู้ (ยิ้ม) เขาก็เปลี่ยนเพื่อเราเยอะมาก ปรับในเรื่องความเข้าใจธรรมชาติว่าเราเป็นแบบนี้ ท็อปเหมือนครูนุ่นเลย ยิ่งเวลาทำงานดุมาก แต่เวลาที่เราเจอครูฝึกเคี่ยว ๆ เราก็เก่งขึ้นจริง ๆ ค่ะ”

มีเติมความหวานให้คู่เราบ้างมั้ย?

“ไม่มีค่ะ คือพอเรามีช่วงอยู่นิ่ง ๆ ก็ไปตีปิงปองกัน บ้านแม่ใครทำกับข้าวก็ไปกินกัน หรือไปกินอาหารริมถนน ไม่ต้องเดินจับมือก็แฮปปี้ค่ะ นุ่นเข้าใจว่าวันที่ไม่มีเขาอยู่ข้าง ๆ มันเฮิร์ตนะ ดังนั้นเรามีวันธรรมดา ๆ แบบนี้ แต่หันไปแล้วเขาอยู่ โทรฯ ไปแล้วเขารับโทรศัพท์ ทำให้รู้ว่ามันมีกันและกัน มันมีค่ามากกว่าช่อดอกไม้อีก คนที่เคยสูญเสียแล้วจึงจะเข้าใจค่ะ”

คบกันมา 8 ปี แล้ว ช่วยเล่าถึงจุดเริ่มต้นในการคบกันให้ฟังหน่อย?

“โอปอล์ ปาณิสรา ให้เบอร์นุ่นกับท็อป เราก็เลยลองเริ่มคุยกัน เป็นเพื่อนกันก่อน นุ่นเป็นคนชอบงานศิลปะและชอบผู้ชายติสต์์ เป็นหนุ่มนักออกแบบอยู่แล้ว แต่ท็อปไม่เข้าข่ายนิดนึงตรงที่ดูสะอาดเป็นคุณหนู แต่เราชอบหนุ่มเซอร์ ดูเถื่อน ๆ แต่สุดท้ายแล้วเราชอบคนฉลาดนะ ชอบคนที่ทัศนคติ ซึ่งท็อปเขาฉลาดคิด เลยชอบเขาที่ตรงนั้นค่ะ”

ประทับใจอะไรในตัวเขา ที่ทำให้เราคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนที่มาอยู่ข้าง ๆ เราได้?

“มีช่วงแรก ๆ ที่เราคุยกัน เราก็คิดว่าอย่าเริ่มต้นกันเลย เพราะนุ่นเข้าวงการแรก ๆ ก็รู้สึกว่าวงการน่ากลัว ไม่อยากทำความรู้จักกับคนในวงการ ไม่อยากเริ่มต้นกับใคร ก็บอกเขาไปว่าอย่าคุยกันต่อเลยนะ เพราะเรารู้สึกไม่พร้อม ณ วันนั้นที่พูดเสร็จเราก็ลงรถไฟใต้ดิน แล้วเขาก็วิ่งตามลงมา เหมือนหนังเลย เขาก็บอกว่าไม่ลองดูเหรอ ทำไมรีบตัดสินตอนนี้ ทำไมเขาไม่มีสิทธิที่จะลองพัฒนา คือนุ่นชอบคนที่ไม่ยอมแพ้ วันนั้นถ้าเขาไม่เดินตามมานี่จบเลยนะ (ยิ้ม) คนไม่ยอมแพ้แบบนี้มันหายากค่ะ และพอได้รู้จักกันท็อปเขาก็ไม่ยอมแพ้กับทุกเรื่องเลย และเขาก็ฉลาด นุ่นว่าผู้หญิงคงมีช่วงวัยที่ชอบผู้ชายที่ภายนอก ชอบคนหล่อ แต่วันนึงที่เราต้องเลือกใครสักคน ทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญ บางทีเป็นคนที่ดีมาก แต่ทัศนคติมันไม่ไปด้วยกัน มันก็ใช้ชีวิตยากค่ะ”

ต้องมาทำธุรกิจ “อีโค่ ชอป” ด้วยกัน รู้สึกยังไงบ้าง?

“แนะนำนะว่าถ้าเป็นแฟนกัน แล้วยังไม่ได้คิดจะลงหลักปักฐาน ไม่ได้คิดอนาคตไกล ๆ ร่วมกัน คือจริง ๆ ก็ไม่กล้าสอนใคร แต่เอาประสบการณ์ชีวิตตัวเอง คือถ้าเป็นแฟนกัน แล้วคิดแค่ว่ามาช่วยงานกัน ก็อย่าทำ เพราะคุณจะโคตรทะเลาะกัน คุณจะเห็นด้านที่ไม่ดีของกันและกัน มันจะบั่นทอนความรักและมันก็จะจบง่าย ๆ แต่ถ้าคุณคิดว่าคนนี้แหละ หรือคิดคบคนนี้แบบจริงจัง เราจะอยู่บ้านเดียวกันด้วยธุรกิจนี้ ก็ต้องลองทำก่อนแต่งงาน เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกเหมือนซื้อหวยนะ ถ้าทะเลาะกันจนรอดและเข้าใจ มันก็จะรอด ไม่ต้องห่วงเลยว่าแต่งงานแล้วจะเลิก เพราะเราทะเลาะกันมาก่อนจนเข้าใจกันแล้วค่ะ”

แสดงว่า “ท็อป” ก็เป็นคนที่ใช่สำหรับเรา จนมองถึงเรื่องแต่งงานแล้ว?

“นุ่นไม่เคยมองใครอยู่แล้วตั้งแต่คบกันมา 8 ปี วันเวลามันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ ส่วนเรื่องแต่งงาน เราเป็นคู่เรื่อย ๆ เรื่องนี้ก็เลยเรื่อย ๆ ถามว่าเราได้พูดคุยเรื่องแต่งงานกันบ้างมั้ย ก็คือเรามีโปรเจคท์ทำบ้านด้วยกัน เป็นโฮมออฟฟิศด้วย ตอนนี้เราโฟกัสเรื่องงานเป็นหลัก ซึ่งนุ่นก็เหมือนผู้หญิงทุกคนนะที่อยากมีชีวิตคู่ แต่ในมุมมองของนุ่นคือแค่เจอหน้ากัน มีเวลาวันนึงแค่ครึ่งชั่วโมงที่ได้คุยเรื่องส่วนตัวกันแบบดี ๆ มันก็โอเคแล้ว ในเรื่องความรักนุ่นไม่คาดหวังอะไรแล้ว นุ่นชอบช่วงเวลา ณ ตอนนี้ เอาแค่นี้แหละดีมาก แค่วันนี้เขายังมีชีวิตอยู่ ถ้าทะเลาะกันก็ช่วยกันแก้ปัญหา นุ่นว่าแค่นี้ก็พอแล้วค่ะ”

เห็นเป็นเวิร์กกิ้ง วูแมน มองภาพตัวเองเป็นคุณแม่ออกมั้ย?

“ไม่เลยค่ะ ชอบเป็นน้าเลี้ยงหลานมาก คือหลานจะน่ารักเวลาที่อยู่กับเรา แต่เริ่มงอแงปุ๊บ เราก็คืนเขาไป ส่วนที่ท็อปบอกอยากมีลูก ก็อย่าไปเชื่อมาก (หัวเราะ) ไม่รู้สิ ความคิดคนมันเปลี่ยนไปตามวันเวลา ถามนุ่นตอนนี้ นุ่นก็อยากโฟกัสในสิ่งที่นุ่นต้องรับผิดชอบก่อน ความเป็นแม่มันเป็นสิ่งที่ต้องเป็นชั่วชีวิต ไม่สามารถยกเลิกได้ ดังนั้นเราก็ต้องคิดดี ๆ”

สุดท้ายอยากฝากบอกอะไรกับแฟน ๆ ที่คอยให้กำลังใจเราบ้าง?

“ขอบคุณนะคะที่มีคนรอดูผลงาน เพราะนุ่นรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาที่มีอาชีพเป็นนักแสดง โชคดีได้ทำงานและมีคนรักจากอาชีพที่นุ่นทำด้วยความรักมันจริง ๆ แล้วสิ่งที่ให้นุ่นนอกจากความฟินจากการแสดง คือการมีคนคอยให้กำลังใจ ขอบคุณจริง ๆ ที่อยู่ด้วยกันมาและนุ่นก็จะทำให้ดีที่สุดในทุกอย่างที่นุ่นทำค่ะ”

เชื่อเหลือเกินว่าจากความทุ่มเทในทุกเรื่องของเธอ จะทำให้แฟน ๆ ได้เห็นงานคุณภาพจากเธออีกเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน.