Inside Dara
บอย รับใช้เท้าถีบแท็กซี่ก่อน ฉุนไม่จอดรับทั้งๆ ที่เปิดไฟว่าง

"บอย ถกลเกียรติ" แถลงหลังคลิปถูกแท็กซี่ขู่ยิงเรียกเงิน 1 พันว่อนเน็ต เจ้าตัวรับตนเองก็มีส่วนผิดหลังใช้เท้าถีบรถ ส่วนเรื่องเงิน 1 พันก็เป็นตนที่เสนอไป ก่อนบอกอยากให้มองปัญหาภาพรวมมากกว่า

กลายเป็นข่าวดังชั่วข้ามคืน สำหรับกรณีที่มีคลิป “บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสถานีโทรทัศน์ช่องวัน 31 ถูกคนขับรถแท็กซี่ขู่ยิง พร้อมสั่งให้ยกมือไหว้ และรีดเงินอีก 1พันบาท เนื่องจากไม่พอใจที่อีกฝ่ายทุบรถเหตุบอยโบกแล้วแท็กซี่ไม่ยอมจอด โดยพลเมืองดีรายงานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าลูกสาวของผู้จัดคนดัง ซึ่งหลังคลิปดังกล่าวว่อนเน็ต ก็กลายเป็นกระแสสังคม ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก

ล่าสุดเมื่อเวลา 11.00 น. บอยได้นัดสื่อมวลชนแถลงด่วน ณ สตูดิโอ GMM Grammy ชั้น 2 ในรายการเที่ยงรายวัน โดยยอมรับผิดว่าตนเองก็บันดาลโทสะก่อน

“จริงๆ ตอนแรกจะเรียกอูเบอร์ แต่ลูกสาวบอกว่าอูเบอร์ผิดกฎหมาย เลยโอเคไม่เรียกก็ได้ เราก็เลยเรียกแท็กซี่ วันนั้นเป็นเสาร์ตอนค่ำๆ มีงานเลี้ยงที่บ้าน ก็มาเจอเคสที่คนกรุงเทพฯ เจอบ่อย คือแท็กซี่ไม่ไป มีคันหนึ่งผ่านมาก็เรียก เขาถามว่าไปไหนก็บอกว่าไปตรงนี้ บ้านอยู่ใกล้ๆ เขาบอกไม่ไป อันนั้นคันหนึ่งแล้ว ผมก็รู้สึกว่าเฮ้ย มันเป็นประเด็นสังคมอยู่ เป็นปัญหากันอยู่ ทำไมมาตอกย้ำ เราก็อึดอัดอยู่ ไม่ไปไม่เป็นไร พออีกคันมา ผมก็โบก คันนี้คือคันคู่กรณี คันนี้ไม่จอด ขับผ่านเลย สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผม คือโกรธ และเราอึดอัด”

“ถ้าเป็นคนเดินผ่านเราจะบอกว่าเฮ้ย หยุด พอเป็นรถ ผมบันดาลโทสะ อันนี้ผมผิด พยายามจะเรียก มือไม่ได้ ผมก็ใช้เท้า ซึ่งตัวแท็กซี่ก็ไม่ทราบใช้เท้าสะกิดเรียก ซึ่งก็เหมือนไปเตะรถเขา ไม่ได้ทุบ พอเขาจอด สิ่งที่ผมทำ ผมเปิดประตูเพื่อเข้าไปนั่ง ใช้บริการ แต่แท็กซี่เดินอ้อมมาสีหน้าโกรธมาก แล้วถกเถียงกันว่าทุบรถผมทำไม ผมก็บอกว่าแล้วทำไมไม่จอด ไฟก็เปิดอยู่ว่าว่าง เขาบอกอาจไปรับผู้โยสารอื่น เราก็เถียงกัน จนมีประโยคจากแท็กซี่ เรามายิงกันซักนัดมั้ย ผมว่ามันแรงไป ลูกสาวผมก็อยู่ตรงนั้น”

“ลูกสาวบอกว่าพ่อ ไปเถอะ ผมก็มีส่วนผิดที่ไปทำร้ายรถเขา เขาบอกรถใครใครก็รัก ผมก็เข้าใจได้ พอบอกยิงผมซักนัดมั้ย ผมก็โอเค ผมขอโทษ ลูกอยู่ตรงนั้น ชีวิตลูกสำคัญสำหรับผม พอบอกขอโทษ เขาก็บอกว่าไหว้สิ ผมก็ไหว้ ในคลิปไม่เห็นเพราะตอนนั้นเขาไปถ่ายที่ทะเบียนรถ ตอนนั้นหน้าลูกหน้าภรรยาหน้าครอบครัวลอยมาเต็มไปหมด พอไว้เสร็จแล้ว ผมก็คิดว่าผมเป็นต้นเหตุเหมือนกัน ผมก็เสนอว่าจะให้ผมชดใช้เท่าไหร่ ผมเป็นคนเสนอเอง เขาไม่ได้เรียกร้องก่อน ผมก็เลยให้ไปพันหนึ่ง”

ซัดทั้งตนและแท็กซี่เป็นเหยื่อของระบบ ทำไมจำกัดไม่ให้ประชาชนมีทางเลือก

“จริงๆ ถามว่าผมติดใจอะไรมั้ย ผมไม่ติดใจ เข้าใจได้นะ ขับรถอยู่แล้วมีคนมาตึ้งก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา แต่เราต้องแยกทีละประเด็น ไฟก็เปิดว่างแต่ไม่รับ มันก็หลายๆ คน การที่ผมไปทำลายทรัพย์สินเขา แล้วบอกว่าจะชดใช้ก็น่าจะจบ แต่มันมีอีกประเด็นที่ว่า มายิงกันซักนัดมั้ยเรารู้สึกว่ามันน่าจะเกินกว่าเหตุ แล้วมีเด็กอยู่ตรงนั้นด้วย”

“สิ่งที่คิดว่าเป็นประเด็นใหญ่กว่าบอย ถกลเกียรติทะเลาะกับแท็กซี่ เรื่องใหญ่จริงๆ คือทั้งผมและคนขับแท็กซี่คนนี้เป็นเหยื่อของระบบ เพราะทุกวันนี้เรามีทางเลือกที่จะใช้บริการอะไรก็ได้ แต่กฎหมายกำลังจำกัดทางเลือกประชาชน มันมีทั้งออนไลน์ บริษัทโน้นบริษัทนี้ ผมถ้าไม่มีรถผมก็ขึ้นมอเตอร์ไซค์ บางทีเรียกแท็กซี่ บางทีก็ออนไลน์เรียก ผมมีหลายอ็อปชั่น วันนั้นผมเรียกมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ เพราะมีลูก มีของพะรุงพะรัง ไม่เอารถไปเพราะแยกกันไปกินข้าว ขากลับไปเอาอาหารเพราะมีญาติผู้ใหญ่มาทานอาหาร”

“สิ่งที่ผมอยากตั้งคำถามคือทำไมเกิดเรื่องแบบนี้ มันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ระบบคืออะไร ตัวเลือกเรามี แต่จำกัดตัวเลือก ไม่งั้นผมก็เรียกอย่างอื่นแล้วถ้าลูกไม่บอกว่าพ่อมันผิดกฎหมาย”

ขอโทษแท็กซี่เพราะตนก็มีส่วนผิด ยันไม่เอาเรื่อง แต่ต้องลงบันทึกประจำวัน

“จริงๆ ไม่อยากเอาเรื่องอะไรเลย เพราะเข้าใจได้ และผมอยากจะขอโทษคนขับแท็กซี่คนนั้นที่ผมก็มีส่วนผิด ในเรื่องการบันดาลโทสะผมก็เป็นคนเริ่ม แต่ก็อย่างที่บอกต้องแยกแยะ คุณเปิดไฟว่าง ถามว่าอยากจะเอาผิดมั้ย ไม่อยากเอาผิดอะไรใคร แต่ผมต้องทำอะไรในเชิงกฎหมายมั้ย ถ้าจะให้ถูกต้องผมต้องลงบันทึกประจำวันว่ามีกรณีนี้เกิดขึ้น แต่ไม่ได้ต้องการเอาผิดอะไร เพราะผมว่าเป็นเรื่องที่มีความผิดกันทั้งคู่ ซึ่งล่าสุดแท็กซี่ก็ออกมาชี้แจงแล้ว ผมก็เห็นใจ ผมว่ามันเป็นเรื่องระบบ”

“ตอนนั้นเราก็โกรธ แต่ผมโกรธง่ายหายเร็ว ผมเปิดประตูจะขึ้นแต่เขาเดินออกมา ผมก็คิดว่าซวยแล้ว(หัวเราะ) ลูกผมก็บอกว่าไปเถอะ ก็สงสารมากตรงนั้น ก็น่ากลัวอยู่ จริงๆ ถ้าใครรู้จักผมดี ผมเป็นคนที่หลักการมาก่อน ถ้าคุณทำอาชีพนี้ ไฟว่างก็ต้องรับ ไม่งั้นคุณต้องปิดไฟ ผมเป็นคนหงุดหงิดเรื่องหลักการ ถ้าด้วยความถูกต้องก็ต้องลงบันทึกประจำวันแต่จริงๆ ไม่ได้ต้องการสานต่ออะไรเลย ถ้าไม่มีเป็นเรื่องเป็นราวที่ออกมาในออนไลน์มันก็จบแล้ว ผมก็ต้องขอโทษที่ผมก็มีความโมโหและไปทำลายทรัพย์สินตรงนั้นแต่ก็เป็นบทเรียนกันทั้งหมด ประเด็นใหญ่กว่านั้นไม่ใช่บทเรียนของผมและคนขับแท็กซี่ แต่น่าจะเป็นบทเรียนระบบ ในเมื่อมีตัวเลือกเยอะแยะ ทำไมต้องจำกัดเรา”

“ผมเจอกรณีแท็กซี่ไม่ไปน้อยมาก ต่างจากคนอื่น เราก็ได้รับข่าวสาร อ่านมาเยอะแยะว่าเป็นประเด็นใหญ่ของสังคม ก็เลยรู้สึกว่าเฮ้ย ทำไมต้องมาเป็นแบบนี้ มันยิ่งทำให้อาชีพนี้หมดความน่าเชื่อถือ แต่ไม่ถึงกับไม่ขึ้นแท็กซี่อีก ส่วนเรื่องที่จะจุดกระแสให้อูเบอร์มั้ย ผมไม่มีหน้าที่ทำตรงนั้น ผมแค่เป็นหนึ่งเสียงที่อยากฝากไปถึงผู้ที่รับผิดชอบที่จะทำให้กฎหมายเปลี่ยนแปลงอะไรก็แล้วแต่”