Inside Dara
‘ยิปซี’คบ‘เจษ’แฮปปี ไม่ตีกรอบความรัก

เป็นอีกสาวที่มีผลงานละครออกมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับ ยิปซี-คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์ ที่ล่าสุดเธอกำลังสวมบทบาท “แสนเสน่ห์” ในละคร “เคหาสน์ดาว” ได้อย่างน่ารัก เรียกรอยยิ้มจากแฟน ๆ ไม่น้อยทีเดียว วันนี้ “ดาวต่างมุม” เลยขอนัดแนะสาวยิปซีแบบส่วนตัว เพื่อมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวในเส้นทางบันเทิง พร้อมนั่งเมาท์เรื่องหัวใจของเธอกับหนุ่ม เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ ที่นับวันก็ยิ่งหวานไม่แพ้ใครด้วย

ถามถึงบท “แสนเสน่ห์” ใน “เคหาสน์ดาว” หน่อย?

“ในเรื่องเราเล่นเป็นดาราไฮโซ ดังอยู่แล้วถึงมาเป็นดารา ทำอาชีพนักแสดงเป็นงานสนุก ๆ เพราะที่บ้านรวยมาก ที่บ้านก็จะสปอยส์ เรามั่นใจในตัวเองมาก เพราะชีวิตทุกอย่างดี มีความสุขกับชีวิตมาก คิดบวก ไฮเปอร์ ซึ่งคาแรกเตอร์จะต่างจากตัวจริงของยิปซีเยอะเลยค่ะ เพราะเขาจะเป็นผู้หญิงที่มีพลังบวกมาก แต่ยิปซีไม่ค่อยคิดบวกเท่าไหร่ (ยิ้ม) แต่เราก็พยายามอยู่นะ อีกอย่างแสนเสน่ห์จะเป็นคนชอบปาร์ตี้ มีเพื่อนเยอะและตัวเองต้องเด่นที่สุด ส่วนตัวยิปซีไม่ชอบปาร์ตี้เลย ดังนั้นความยากของคาแรกเตอร์นี้เลยอยู่ตรงที่เราแทบไม่มีอะไรที่เหมือนตัวละครนี้เลย แต่พอดีว่ายิปซีมีเพื่อนแบบนี้จำนวนนึง เลยจะรู้ว่าคนประมาณนี้มีบุคลิกภายนอกยังไง เราก็เอามาถ่ายทอดในแบบของเราค่ะ”

เข้าวงการมา 5 ปี ได้เรียนรู้อะไรบ้าง?

“เยอะมากเลยนะ มันเป็นประสบการณ์ล้วน ๆ คือยิปซีเข้าวงการมาตอนแรก เราไม่ได้คิดว่าจะทำงานนี้เป็นอาชีพ เราทำเป็นงานพาร์ทไทม์ ได้เงินมากินขนม พอทำเรื่อย ๆ มันก็เหมือนเป็นงานของเรา ส่วนนึงที่ได้รับมาคือความภูมิใจที่เราสามารถดูแลตัวเองและคนที่เรารักได้ สิ่งที่เรียนรู้หลัก ๆ คือการปรับตัวไปเรื่อย ๆ ให้เข้ากับการทำงานและสังคมที่ต่างกันออกไป เพราะโดยพื้นฐานยิปซีเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง เรียกว่าอีกนิดนึงก็หัวแข็งแล้ว เราไม่ถนัดการเสแสร้งหรือเฟคเลย และเราก็อยู่ของเรา ซึ่งเราก็เชื่ออย่างนั้นและคิดว่าจะทำอย่างนี้จริง ๆ คือตอนนั้นเรายังไม่ได้เรียนรู้ว่า มันยังมีทางอื่นที่จะทำงานและอยู่ร่วมกับคนอื่นทั้งในและนอกเวลางานให้มันดีกว่านี้ได้โดยที่ไม่ต้องเฟค พอเริ่มมาทำงานเราก็มีความรับผิดชอบมากขึ้น ในเมื่อมันเป็นอาชีพของเรา เราก็ตั้งใจกับงานทุกชิ้นมาก ไม่ว่าเราจะทำออกมาแล้วมันจะดีหรือไม่ก็ตามค่ะ”

ที่บอกว่าเราได้เรียนรู้การอยู่ในวงการได้โดยไม่ต้องเฟค เป็นยังไง?

“ทุกวันนี้ก็ถือว่าเรายังทำได้ไม่ดีมากนะคะ การเปลี่ยนตัวเองมันยากมากสำหรับทุกคน ยิ่งอะไรที่มันเป็นพื้นฐานแน่น ๆ เราอาจจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนคงไม่ได้ แต่ทุกคนสามารถปรับได้ เราคงต้องเรียนรู้ให้เป็นคนที่ใจกว้างขึ้นในแง่ของการทำงาน และด้วยเรามีอาชีพเป็นนักแสดง อีกเรื่องนึงเลยคือเราต้องเป็นคนที่เปิดรับอะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา มันก็เหมือนเป็นการฝึกให้เราใจกว้างขึ้นไปโดยอัตโนมัติ เพราะการที่เราต้องเล่นเป็นคนหลาย ๆ แบบ แล้วแต่ละคนมันมีเหตุผลของตัวเอง มันทำให้เราเข้าใจคนหลากหลายขึ้น เราเรียนรู้จากตัวละครมาว่าทำไมคนนี้คิดแบบนี้แล้วทำแบบนี้ มันทำให้เรามีมิติ มองได้หลายมุมมากขึ้นและพร้อมที่จะลองเปิดใจให้คนอื่น ๆ ที่คิดไม่เหมือนเรามากขึ้นค่ะ ส่วนข้อคิดที่ได้จากการเป็นนักแสดง คือเราต้องทำตัวเองเป็นฟองน้ำ ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก เพราะเราได้เรียนรู้แล้วว่ามนุษย์มีหลายแบบจริง ๆ อย่าเอาตัวเรามาตัดสินว่าเพราะฉันเป็นแบบนี้ ฉันเลยถูก การทำตัวเป็นฟองน้ำมันต้องยืดหยุ่นและดูดซับค่ะ พร้อมที่จะรับอะไรต่าง ๆ เข้ามา แม้จะเป็นสิ่งที่เราไม่เห็นด้วยโดยสิ้นเชิง แต่อย่างน้อยเรารับเข้ามาก่อน กลั่นกรองแล้วคิด ลองคิดในมุมเขาบ้าง มันไม่มีใครผิดถูกไปทุกอย่างค่ะ”

ถามถึงความสัมพันธ์กับ “เจษ” หน่อย ณ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?

“คือมันก็สนิทกันมากขึ้นตามกาลเวลา ความสัมพันธ์มันคงใช้คำว่าเรื่อย ๆ นะคะ เพราะมันก็คล้ายเดิมมาตลอด แต่ในความเรื่อย ๆ นั้นมันก็เป็นความเรื่อย ๆ ที่ดี มันผ่านช่วงที่เรียนรู้มาค่อนข้างเยอะแล้ว จริง ๆ เราสองคนเรียนรู้กันอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น เหมือนสนิทกันเร็วมากและก็ยังสนิทกันเท่าเดิมมาจนถึงวันนี้”

ใกล้คำว่า “แฟน” รึยัง?

“ถ้าเกิดมันมีการพูดว่าฉันขอเป็นแฟนเธอนะเกิดขึ้น มันคงมีคำว่าแฟนระหว่างเรา แต่สิ่งที่เราทำก็แค่คุยกันต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้ ปัจจุบันนี้ยิปซีว่าหลายคู่นะที่ไม่ได้เอาคำว่าแฟนมาปั๊มเอาไว้ว่าฉันกับเธอเป็นแฟนกันนะ มันอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเราคุยและอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข แล้วยังมีความสุขอยู่จนถึงตอนนี้ก็อยู่ด้วยกันต่อไปดีกว่า และเราก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้คนอื่นเข้าหาเรานานแล้วค่ะ (ยิ้ม) ส่วนที่หลายคนอาจมองว่าการเรียกว่าแฟนเหมือนเป็นการให้เกียรติกัน อันนี้มันแล้วแต่รสนิยมของแต่ละคู่นะคะ พอดีว่ายิปซีและเจษเป็นแบบนี้ทั้งคู่มั้ง คือชิล ชิล ไม่ซีเรียสทั้งคู่ เรามองว่ามันไม่ได้อยู่ที่คำพูดนะ แต่มันอยู่ที่การปฏิบัติมากกว่า”

เจษทำให้เราประทับใจเรื่องอะไร เราถึงยอมเปิดใจคุยกับเขา?

“จริง ๆ ก่อนนี้หน้านี้ยิปซีก็ไม่ได้ปิดหัวใจ แต่มันไม่ได้เจอคนที่เรารู้สึกว่าโอเค เข้ากันได้จริง ๆ คือช่วงนั้นก็มีคนเข้ามา แต่ไม่ใช่เราก็เลยไม่คุยด้วย ส่วนกับเจษคือเขามีนิสัยหลายอย่างที่คล้ายกัน เขาโอเคที่เราเป็นเรามาก ๆ คือเขารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราเยอะมาก เรื่องการปรับตัวอีกคือไม่มีเลย เพราะอย่างที่บอกว่าเราสนิทกันในช่วงเวลาอันสั้น คือในช่วงที่มาเริ่มรู้จักกันทั้งสองคนก็เป็นตัวเองใส่กันเต็มที่ไปเลย มันเลยเหมือนรู้แล้วว่าคนนี้เป็นอย่างนี้นะ แล้วคุณโอเคมั้ยล่ะ ซึ่งพอเริ่มมาแบบนั้นแล้วมันโอเคตั้งแต่แรก ก็เลยยังโอเคถึงตอนนี้ เพราะส่วนใหญ่คู่ที่มีปัญหาคือตอนแรกไม่ค่อยเป็นตัวเองเท่าไหร่ พออยู่มาสักพักก็มาเริ่มเรียนรู้ตัวตนเบื้องลึกของกันและกัน มันก็มีจุดเปลี่ยนและความไม่โอเคเกิดขึ้น เพราะเคยเชื่อว่าเมื่อก่อนเธอเป็นอีกแบบนึง ยิปซีเลยตัดปัญหาตรงนั้นคือเราเป็นตัวเองตั้งแต่แรก ถ้าไม่โอเคจะได้ไม่เสียเวลาทั้งคู่ แต่ถ้าโอเคก็ถือว่าโชคดี ซึ่งสำหรับยิปซีแล้วก็ถือว่าโชคดีของเราที่คลิกกันค่ะ”

รักของคู่เราไม่มีช่วงโปรโมชั่นเลย?

“นั่นสิ ไม่มีเลยค่ะ (หัวเราะ) ส่วนมันเป็นสิ่งที่ดีมั้ย มันก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน อันนี้มันเป็นเรื่องของมุมมอง ผู้หญิงหลายคนอยากมีช่วงโปรโมชั่น สามเดือนแรกพีคสุด ต่อจากนั้นค่อยมานั่งทะเลาะกัน งอนกันไป แต่ยิปซีไม่ค่อยชอบ คือเราก็เคยมีโปรโมชั่นแบบนั้นมาตลอดแหละ และก็รู้สึกลองแบบใหม่บ้างดีมั้ย ลองเป็นตัวเองไปเลย ซึ่งยิปซีคุยกับเจษมาได้ปีกว่า ๆ แล้ว แต่รู้สึกสนิทมาก เพราะเรามีระบบความคิด การแก้ปัญหาคล้ายกัน มันเหมือนเจอคนพูดภาษาเดียวกัน เวลาเจอปัญหาเล็ก ๆ ก็เลยแก้ด้วยวิธีคล้ายกัน ปัญหาก็หมดไปเร็ว เราไม่ได้มานั่งจุกจิกซึ่งกันและกันค่ะ”

โดนจับตามองตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้มีความรู้สึกอึดอัดบ้างมั้ย?

“เขาและเราเองก็ไม่ได้อึดอัดอะไร เพราะส่วนใหญ่ยิปซีก็ไม่ค่อยอึดอัดกับการเป็นข่าวอยู่แล้ว เราก็แค่ทำชีวิตของเราปกติ เป็นยังไงก็พูดอย่างนั้น และเขาก็เป็นคนคล้าย ๆ เรา มันก็เลยไม่มีใครอึดอัดทั้งคู่ ถ้ามันไม่มากระทบกับงานเรา”

มีข้อตกลงในการคบหากันบ้างรึเปล่า?

“ไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจนขนาดนั้น แต่จะเป็นอะไรที่รู้กันมากกว่าค่ะ ไม่มีห้ามอะไรกันเลย ยิปซีไม่ชอบห้ามใคร เพราะเราจะรู้สึกอึดอัดและไม่ชอบให้ใครมาห้ามด้วย อันนี้จะยิ่งอึดอัดมาก คือมันมีใครเค้าชอบโดนห้ามด้วยเหรอ อันนี้เราไม่รู้นะ แต่แค่ยิปซีไม่ชอบและเราก็จะไม่ทำ เลยไม่ห้ามอะไรกันเลย แต่มันเหมือนควรจะรู้อยู่แล้วว่าอะไรที่ทำแล้วเขาไม่ชอบ ก็อย่าทำเอง แต่มันก็มีนะว่าเขาไม่ชอบอะไร แต่เราไม่เคยรู้มาก่อน เขาก็จะมาบอกเลยว่าอันนี้ไม่ชอบนะ อันนี้เราก็โอเครู้แล้ว ก็ไม่ทำค่ะ”

คู่เราเหมือนค่อย ๆ เรียนรู้กันไป?

“ยิปซีว่ามันเริ่มมาค่อนข้างดี จากการที่จริงต่อกันร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่โกหกกันตั้งแต่แรก เริ่มมายังไงก็อยู่ไปแบบนั้น คู่เรามีความเชื่อใจค่อนข้างสูงเหมือนกัน ณ วันนี้เขาเองก็ทำให้เราเชื่อใจ มันก็อยู่อย่างนี้มาเรื่อย ๆ บางวันก็ต่างคนต่างไป ไม่มีเช็กโทรศัพท์กันเลยค่ะ ถามว่าคู่เรามีช่วงโรแมนติกบ้างมั้ย จริง ๆ ก็มีนะคะ เซอร์ไพร้ส์กันตามวันสำคัญทั่วไป ยิปซีจะเป็นคนที่โรแมนติกกว่าเขา เขาเป็นผู้ชายแบบผู้ชายมาก ไม่ค่อยลงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำนะคะ แต่บางทีเขาคิดไม่ถึง เขารู้ประมาณไหน ก็ทำแค่นั้น แต่โดยปกติยิปซีเป็นคนชอบคิดทำโน่นทำนี่อยู่แล้ว”

คาดหวังกับรักครั้งนี้แค่ไหน?

“กับรักคราวที่แล้วคาดหวังเยอะกว่าค่ะ ครั้งนี้ไม่ค่อยคาดหวังนะ (ยิ้ม) ชิลกว่าเยอะเลย ถ้าอยู่ไปเรื่อย ๆ แล้วโอเคก็อยู่ต่อ หลักง่าย ๆ แค่นี้เลย แล้วถ้าเมื่อไหร่ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกไม่โอเค ตอนแรกเราก็คงต้องพยายามหาปัญหาว่ามันอยู่ตรงไหน ก็แก้กันก่อน ถ้าไม่เวิร์ก ก็เคารพสิทธิของแต่ละคนค่ะ ไม่โอเคก็ไม่ต้องอยู่ เพราะถ้าอยู่แล้วไม่มีความสุขจะอยู่ทำไม ไม่จำเป็นต้องทนก็ได้ เราชิลแบบนี้มันก็สบายดีนะคะ มันอาจจะไม่ได้หวือหวาอะไรมาก แต่ช่วงจังหวะในตอนนี้ถือว่าดีต่อชีวิตค่ะ เพราะว่าเราทำงานเยอะแล้ว ต่างคนต่างมีหน้าที่ แล้วถ้ามันต้องมาดราม่า นั่งทะเลาะกันปวดหัว มันอาจจะไม่เป็นผลดีต่อชีวิตประจำวันเท่าไหร่ ดังนั้นยิปซีว่าแบบนี้มันดี”

เห็นเราเคยมีมุมมองความรักเป็นความเสี่ยง ณ วันนี้เราเปลี่ยนมุมมองนั้นรึยัง?

“หลัก ๆ แล้วยังเหมือนเดิมนะ แต่เสี่ยงในที่นี้ไม่ได้แปลว่าไม่ชอบนะ เพราะยิปซีชอบความรักมากค่ะ ชอบที่จะมีความรัก ไม่กลัวเจ็บ เสียใจอกหักได้ เราคิดว่ามีความรักดีกว่าไม่มี มันทำให้เรารู้สึกแบบมีชีวิต ความรักสำคัญสำหรับยิปซีค่ะ ถามว่าเจษใกล้เคียงคำว่าใช่สำหรับคนที่เคยคิดอยากได้เข้ามาดูแลเรามั้ย เอาจริง ๆ ยิปซีไม่เคยมีสเปกวางไว้ว่าคนที่ใช่สำหรับยิปซีต้องมีลักษณะข้อหนึ่งสองสามอะไรบ้าง มันใช้ความรู้สึกล้วน ๆ ว่ามันเชื่อมกันแค่ไหน รู้สึกโอเคกับคนนี้ สบายเวลาอยู่ด้วยกันแค่ไหนมากกว่า เราไม่อยากตีกรอบในสิ่งที่มันเป็นอิสระในตัวของมันเองค่ะ”

เคยคิดเรื่องแต่งงานมั้ย?

“ยิปซีเป็นคนวางเอาไว้ว่าไม่อยากแต่งงาน เราคิดว่าการแต่งงานไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น ถ้าโชคดีได้เจอคนที่อยู่ด้วยกันแล้วโอเคไปเรื่อย ๆ ดูแลกันไปได้ตลอด การแต่งงานก็คงเกิดขึ้น แต่ถ้าไม่เจอแล้วเราอยู่กับตัวเองมีความสุขกว่า ก็คงอยู่กับตัวเองค่ะ การใส่ชุดเจ้าสาวไม่ได้เป็นความฝันของยิปซี คือการแต่งงานมันเป็นชีวิตของเราที่เหลือเลยนะ คือเราก็เทียบกันสองด้านง่าย ๆ ว่าถ้าอยู่คนเดียวแล้วดีกว่า กับแต่งแล้วชีวิตแย่ลง เราก็เลือกด้านที่ดีกว่าค่ะ”

อย่างนั้น “เจษ” ก็คงยังต้องพิสูจน์ตัวต่อไปว่าจะเป็นคนที่เราเลือกใช้ชีวิตด้วย?

“เขายังเด็กอยู่เลย ยังไม่ได้มานั่งคิดอะไรแบบนี้ น้องอายุยังไม่เท่าไหร่ เขาห่างจากเรา 5 ปี แต่อายุเขาไม่ได้เป็นอุปสรรคในการคบหาเลยนะ เขามีความเป็นผู้ใหญ่ และนี่ก็เป็นอีกข้อนึงเลยที่เราโอเคกับคนนี้ เพราะเราไม่ได้มองอายุ เรามองที่ความคิดเขาว่ามันเท่ากันและไปด้วยกันได้มั้ย และเขาก็ถือว่าความคิดโตกว่าอายุ แต่เรื่องแต่งงานเราปล่อยไปตามธรรมชาติ อย่าคาดหวังเลย เดี๋ยวผิดหวังแล้วจะไม่ดี (ยิ้ม)”

เห็นว่าจะกลับมาร่วมงานกับ “เจษ” อีกครั้ง ใน “เล่ห์รตี” เกร็งมั้ย?

“ก็มีเกร็งนิดนึงนะคะ เพราะมันต้องมีคนแซวอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เราสองคนเกร็งคือว่ากลัวทำออกมาไม่ดีมากกว่า เพราะเรื่องที่แล้วที่เราเล่นคู่กันกระแสมันค่อนข้างดีมาก จนเราตกใจว่าทำไมคนชอบเยอะจัง อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นมีแฟนคลับของคู่เราเกิดขึ้น ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดีนะ แต่ในใจเราก็กลัวว่าจะทำให้คนดูผิดหวังรึเปล่ากับเรื่องนี้ เพราะบทในเรื่องเราเป็นคู่กัดกัน ก็ต้องลองดูกันไป”

สุดท้ายฝากอะไรถึงแฟน ๆ ?

“ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาเรื่อย ๆ บางคนเข้ามาดูตลอดเลยเวลาที่เราอัพเดทงานในไอจี สำหรับคนที่ติดตามตลอด หรือเพิ่งได้มาเจอกัน ก็ขอขอบคุณทุกคนที่ชอบผลงานของเรา ขอบคุณทุกคำติชม เพราะถ้ามีคำชมตลอดเวลา เราคงไม่ต้องพัฒนาอะไร ยิปซีก็จะทำหน้าที่ตัวเองตรงนี้ให้มันดี ๆ ต่อไป และหวังว่าจะได้อยู่เอ็นเตอร์เทนทุกคนต่อไปนาน ๆ ค่ะ”

เรียกว่าเส้นทางชีวิตของเธอในตอนนี้สดใสจนน่าอิจฉา ทั้งในหน้าที่การงานและความรักเลยนะจ๊ะ