Inside Dara
"แจม" น้อมรับทุกคำติชมเพื่อพัฒนา

“แจมก็ได้เข้าไปเช็คผลตอบรับของตัวเองในอินเตอร์เน็ตบ้าง ก็จะมีบางเสียงวิจารณ์ว่าเล่นแข็งไปบ้าง ตาดุไปบ้าง เสียงห้าวไป อันนี้เรารู้ตัวอยู่แล้ว ซึ่งเราจะพยายามเอาสิ่งเหล่านี้ไปปรับในเรื่องต่อไปให้แสดงได้ดีขึ้น”

นับว่าเป็นอีกละครที่กระแสแรงแบบสุด ๆ สำหรับ “สุสานคนเป็น” ซึ่งเรื่องนี้ยังได้แจ้งเกิดนางเอกน้องใหม่อย่างสาว แจม-ปาณิชดา แสงสุวรรณ ที่ในเรื่องรับบทเป็น “อุษา” ด้วย วันนี้ดาวต่างมุมเลยไม่รอช้า รีบพาสาวน้อยคนนี้มาให้แฟน ๆ ได้รู้จักเธอมากขึ้น อยากรู้แล้วละสิว่าตัวตนและความคิดของนักแสดงน้องใหม่คนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตามมาอ่านบรรทัดต่อไปกันเลย

ฟีดแบ็ก “สุสานคนเป็น” สำหรับเราเป็นยังไงบ้าง?

“กระแสตอบรับละครเรื่องนี้ดีมาก ๆ สำหรับแจมมันเกินคาด ตอนนี้ไม่มีใครเรียกว่าแจมแล้ว ทุกคนเรียกว่า “อุษา” ก็รู้สึกดีใจและขอบคุณทุกคน จริง ๆ ต้องบอกก่อนว่า “สุสานคนเป็น” ทำมากี่เวอร์ชั่นก็ดังทุกเวอร์ชั่นเลย พอมาเวอร์ชั่นนี้ก็ดังอีก ส่วนนึงเป็นเพราะเราได้นักแสดงที่มีคุณภาพ แต่เราเป็นน้องใหม่อยู่คนเดียว แรก ๆ ก็มีกดดันและตื่นเต้นบ้าง แต่ตอนหลังเราก็เริ่มปรับตัวพร้อมกับพัฒนาตัวเอง และคิดว่าแสดงได้ดีขึ้น ตอนแรกที่รู้ว่าตัวเองต้องมาเล่นเป็น “อุษา” เราก็มีเรียนแอ๊คติ้งเพิ่ม ซึ่งแจมดูเวอร์ชั่นเก่าบ้างแบบผ่าน ๆ เพราะผู้กำกับบอกว่าอยากให้เล่นเป็นอุษาในแบบที่เป็นเรา เราก็ดูของเก่าเป็นแนวทาง แต่ไม่ได้เอาบุคลิกของอุษาเวอร์ชั่นเดิมมาแสดง และเล่นให้มีความเป็นตัวแจมมากขึ้นค่ะ”

บท “อุษา” มีความยากตรงไหน และคิดว่าตัวละครนี้มีคาแรกเตอร์เหมือนหรือต่างกับตัวเรายังไง?

“ยากทุกตอนเลยค่ะ เพราะว่าอุษาเป็นผู้หญิงที่ยิ้มน้อยมาก จะร้องไห้ตลอดเวลา และด้วยความที่เราเป็นเด็กใหม่ เวลาร้องไห้ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ บวกกับความกดดัน ที่พี่นักแสดงทุกคนเล่นเป๊ะกันหมด เหลือแต่เราคนเดียว แต่พี่ยุ้ย-จีรนันท์ ก็ให้คำแนะนำตลอด หลังจากแสดงไปแล้ว พี่ยุ้ยก็จะเรียกแจมมานั่งดูตัวเองที่มอนิเตอร์ และบอกข้อบกพร่องของเรา อย่างบทร้องไห้พี่ยุ้ยก็บอกตลอดว่า เข้าใจว่าเราเป็นเด็กใหม่ ยังไม่สามารถอินกับบทเหมือนนักแสดงรุ่นพี่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้เราร้องไห้ออกมาได้ ก็คือการใช้การสัมผัส ดังนั้นก่อนเข้าฉาก แจมก็จะกอดพี่ยุ้ยค่ะ ซึ่งคาแรกเตอร์ของอุษาก็ต่างจากตัวแจมเยอะมากเลย เพราะว่าอุษาเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อย อ่อนหวาน แต่ตัวจริงแจมไม่ได้เรียบร้อยเลย จะแก่น ๆ ห้าว ๆ เพราะที่บ้านมีแต่พี่ผู้ชายค่ะ สำหรับความคาดหวังกับผลงานเรื่องแรก อย่างน้อยแจมขอให้ละครเรื่องนี้ดัง คือถ้าเรื่องนี้ดัง เราก็มีสิทธิแจ้งเกิด เพราะเราแสดงเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ส่วนเรื่องการปรับปรุงการแสดง แจมคิดว่าตัวเองยังมีอีกเยอะค่ะ”

มีบางคนบอกว่าเรายังเล่นแข็งอยู่ รู้แล้วบั่นทอนกำลังใจบ้างรึเปล่า?

“ไม่รู้สึกแย่อะไรเลยค่ะ เพราะก่อนหน้านี้เราเตรียมตัวยอมรับอยู่แล้วว่าจะยอมรับทุกคำติชม เพราะมันไม่มีใครที่เล่นเรื่องแรกแล้วจะแสดงได้เป๊ะ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องคำชมแจมก็จะเอามาเป็นกำลังใจ ส่วนคำติแจมก็จะเอามาพัฒนาให้ดีขึ้น ซึ่งแจมก็ได้เข้าไปเช็กผลตอบรับของตัวเองในอินเทอร์เน็ตบ้าง ก็จะมีบางเสียงวิจารณ์ว่าเล่นแข็งไปบ้าง ตาดุไปบ้าง เสียงห้าวไป อันนี้เรารู้ตัวอยู่แล้ว ซึ่งเราจะพยายามเอาสิ่งเหล่านี้ไปปรับในเรื่องต่อไปให้แสดงได้ดีขึ้น สำหรับเสียงวิจารณ์แบบนี้แจมไม่ได้เก็บเอามานอยด์นะ พอเราเจอคำติ เรารู้สึกขอบคุณมากกว่าที่บอกเรา จะได้เอามาพัฒนาให้มันดีขึ้นกว่าเดิมค่ะ”

เห็นว่ามีละครต่ออีกเรื่องแล้ว?

“มีเรื่อง “หลานสาวนิรนาม” ค่ะ แจมเล่นเป็นคู่ 2 จริง ๆ แจมดีใจที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสเรามีงานละครต่อเนื่อง ไม่ใช่พอละครเรื่องนี้จบก็ปล่อยว่าง จริง ๆ แจมเล่นได้หมดทุกบท ไม่ว่าจะเป็นนางเอกหรือไม่ใช่ เพราะจะได้เป็นการฝึกตัวเอง ได้ประสบการณ์ด้วย คือแจมเข้ามาในวงการไม่ได้คิดว่าตัวเองต้องยึดบทนางเอก จริงอยู่ที่ใคร ๆ ก็อยากเป็นนางเอก แต่แจมคิดว่าผู้ใหญ่ให้บทอะไรเรา แปลว่าเขาเห็นสมควร แจมก็เล่นได้ คำว่านักแสดงมันไม่ได้ต้องมาถือว่าเราเป็นนางเอก การเป็นนักแสดงเราต้องแสดงได้ทุกบทบาท แจมคิดแบบนี้ค่ะ”

สมัยนี้มีนักแสดงหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย กลัวเรื่องการแข่งขันบ้างมั้ย?

“ก็กลัวนะคะ เพราะว่าเดี๋ยวนี้มีคนหน้าตาดี มีความสามารถก็มีเยอะ แต่ถ้าเรามัวแต่ไปเปรียบเทียบว่าเราต้องแข่งขันกับคนอื่น จะรู้สึกแย่มาก ๆ เลย เลยคิดว่าไม่ต้องแข่งกับใคร แข่งกับตัวเองดีกว่า ซึ่งถ้าคิดได้แบบนี้ แจมก็สบายใจค่ะ”

ถามถึงจุดเริ่มต้นการเข้าวงการของเราหน่อย?

“แจมเข้าประกวดโครงการ “สปีด วัน ดรีม สตาร์ 2011” และเข้ารอบ 7 คน คือไม่ได้ตำแหน่งอะไรเลย จากนั้นพี่ตุ๊ก (ผู้จัดการของยุ้ย) ก็พาไปแคสติ้งเรื่องสุสานคนเป็นที่ช่อง 7 ค่ะ และก็ได้รับบทอุษามา สิ่งที่ทำให้แจมตัดสินใจเข้าประกวด เพราะตอนเด็กเรามีความฝันอยากเป็นดารา และคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้ เลยลองประกวดดู ซึ่งตอนที่มาประกวดไม่ได้คาดหวังอะไรเลย เราเป็นแค่เด็กคนนึง ฟันก็ยังดัดไม่เสร็จ ในขณะที่คนอื่นเขาพร้อมแล้ว ถือว่าเป็นโชคดีจริง ๆ ที่วันนี้แจมเข้าวงการได้สำเร็จค่ะ”

ตั้งแต่เข้าวงการจนถึงวันนี้คิดว่าชีวิตตัวเองเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน?

“ณ ตอนนี้คิดว่าเปลี่ยนแต่ไม่ได้ถึงขนาดหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งแจมก็ไม่ต้องปรับตัวอะไรเยอะมาก แต่แค่เราก็ต้องรู้จักวางตัว จากที่เมื่อก่อนเราคิดอะไรก็พูดและทำเลย แต่ตอนนี้เราต้องคิดก่อน เพราะเรามีคนรู้จักเพิ่มขึ้น จะทำอะไรเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว เพราะว่าคนเริ่มจับตามอง บางทีเขาอาจจะเอาเราไปเป็นแบบอย่างอยู่ก็ได้ ทำอะไรก็ต้องระวังค่ะ”

คิดว่างานในวงการทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องอะไรมากที่สุด?

“อย่างแรกเลยคือสอนให้เรามีความอดทน มีความตรงต่อเวลาในหน้าที่การงานของเรา มันเป็นเรื่องพื้นฐานเลยนะ ตอนแรกแจมคิดว่าการทำงานในวงการมันเป็นเรื่องที่ง่าย แต่พอเราเข้ามาแล้ว จากเรื่องง่ายที่เราคิดไว้ ทุกอย่างยากหมด แต่แจมก็ไม่ได้ท้อ ตอนแรกเราก็มีคิดว่าไม่อยากมาถ่ายละครเลย แต่พอได้เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ก็กลายเป็นว่าเราอยากทำ เพราะว่าเราเริ่มชอบ และพอเราเริ่มชอบ เวลาแสดงเราก็มีความสุข พอยิ่งทำแล้วยิ่งมีความสุข มันก็จะกลายเป็นสิ่งที่เรารักค่ะ”

เรื่องเรียน ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?

“แจมเรียนอยู่ปี 2 ม.กรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ หลังจากที่เข้าวงการมาแรก ๆ ก็มีปัญหากับเรื่องเรียนเหมือนกัน แต่แจมก็ให้ผู้จัดการไปคุยกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย เขาก็ให้เราเซ็นเป็นนักศึกษาทุนศิลปิน วันไหนมีเรียนก็ต้องมาเรียนปกติ แต่วันไหนต้องทำงานก็ไปทำงานได้ ดังนั้นเราอาจจะลงเรียนได้น้อยกว่าคนอื่น จริง ๆ เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยมันก็หนักมากสำหรับแจม เพราะแค่เราทำสิ่งเดียวให้มันดีก็ยากแล้ว แต่เราต้องทำสองอย่างควบคู่กันไปให้มันดี ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ แต่ยังไงแจมทำงานในวงการก็คิดว่าจะไม่ทิ้งเรียนค่ะ จะควบคู่กันไป แจมเตรียมใจไว้แล้วว่ามันอาจจะไม่จบตามเกณฑ์ อย่างน้อยก็น่าจะ 5 ปี คือเราตามเพื่อนไม่ทันอยู่แล้ว แต่แจมไม่ได้ซีเรียสนะ เพราะเราอยากทำงานด้วย มันถือเป็นโอกาสที่ดีค่ะ”

เรื่องประทับใจที่สุดในชีวิต?

“แจมประทับใจคุณพ่อกับคุณแม่ค่ะ คือตอนที่เราประกวด ดรีม สตาร์ บ้านแจมอยู่ที่ จ.สุพรรณฯ ก็ต้องขับรถไปกลับกับกรุงเทพฯ ซึ่งระยะทางไกลมาก ๆ ท่านขับไปรับมาส่งเราทุกวัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเราจะได้ ตำแหน่งอะไรรึเปล่า เวลาที่เราท้อ ไม่อยากไป ท่านก็จะบอกว่าพ่อกับแม่ยังไม่เคยท้อที่จะไปรับส่งเราเลย ทำไมเราถึงท้อ พูดตรง ๆ ว่าถ้าไม่มีคุณพ่อคุณแม่ในวันนั้น แจมก็คงไม่มีวันนี้ค่ะ ครอบครัวสำคัญกับแจมที่สุดจริง ๆ”

ถามถึงเรื่องหัวใจ ณ วันนี้มีใครรึยัง?

“ตอนนี้หัวใจว่างมาก แจมไม่สนใจเรื่องนี้ ทำงานก่อนดีกว่า มันมีคนเข้ามาจีบบ้าง แต่แจมขอคุยเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกันก่อนดีกว่า เรายังไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ยังต้องพึ่งพาคุณพ่อคุณแม่อยู่เลย และแจมจะไปดูแลใครได้ยังไง สำหรับหนุ่ม ๆ ถ้ามีคนไหนที่โอเค แจมจะพาไปรู้จักคุณพ่อคุณแม่ก่อนแน่นอน แต่ที่บ้านแจมก็ไม่ค่อยเป็นห่วงเรื่องหนุ่ม ๆ นะ เพราะท่านเองก็เชื่อใจ รู้ว่าเราควรทำตัวยังไง อีกอย่าง ณ ตอนนี้เราอายุแค่นี้เอง ยังไม่ควรจริงจังเรื่องความรัก แจมเอาไว้เป็นเรื่องรองลงไปเลย เพราะตอนนี้แจมมีทั้งเรื่องเรียนและงาน ซึ่งมันหนักมากอยู่แล้วค่ะ”

มีสเปกชายในฝันบ้างมั้ย?

“ขอแบบหนุ่มเกาหลี “โท มินจุน” ที่แสดงโดย “คิม ซูฮยอน” ค่ะ (หัวเราะ) แจมชอบผู้ชายตี๋ ๆ ขาว ๆ ส่วนนิสัยขอแบบเอาใจเก่งนิดนึง เพราะเราเป็นคนชอบให้คนตามใจ ณ วันนี้แจมก็เปิดใจนะคะ แต่ว่ายังไม่ขอมีแฟนจริงจังเป็นตัวเป็นตน คือเราก็อยากให้มีคนเข้ามาคุยอยู่แล้ว มันเป็นกำลังใจให้กัน แต่แจมอยากได้แบบเป็นที่ปรึกษามากกว่าที่จะเข้ามาแบบผูกมัด ต้องเป็นแฟนกัน ซึ่งตั้งแต่แจมมีชื่อเสียงก็ยอมรับว่ามีคนเข้ามาเยอะมาก และก็เข้ามาหลายรูปแบบ ทั้งแบบที่น่ากลัวโรคจิตก็มี ที่เข้ามาแบบอยากควงดารา หวังอะไรในตัวเราก็มีค่ะ แต่เวลาที่แจมคุยกับใครจริง ๆ แจมจะดูรู้ว่าใครเข้ามาหวังดีหรือไม่ดี”

เชื่อพรหมลิขิตรึเปล่า?

“ไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิต แต่คิดว่ามันเป็นเวรกรรมมากกว่า เพราะการที่คนสองคนจะมาเจอกันหรือรักกันได้ แจมว่ามันเป็นเรื่องของเวรกรรมที่ต้องมาชดใช้กัน เพราะมันมีทั้งร่วมทุกข์ร่วมสุข ซึ่งหากแจมมีความรักแบบในละครเหมือนของอุษากับผู้หมวดธารินทร์ได้ก็จะดีมาก เพราะในเรื่องผู้หมวดเป็นแฟนที่ดีมาก แต่ในชีวิตจริง ณ ตอนนี้ยังไม่มีแบบนั้นเข้ามาเลยค่ะ”

รูปแบบความรักแบบไหนที่แจมต้องการมากที่สุด?

“ขอแค่ความเข้าใจ แจมว่าความเข้าใจเป็นหลักที่เราจะมีความรัก อีกอย่างเราทำงานในวงการบันเทิง ก็จะมีเรื่องของเวลาเข้ามา คือเขาอาจจะมีเวลาให้เรา แต่เราอาจจะไม่มีเวลาให้เขา แจมเชื่อว่าผู้ชายร้อยทั้งร้อยต้องการผู้หญิงที่มีเวลาให้ ดังนั้นถ้าจะคบกันจริง ๆ อย่างน้อยต้องมีความเข้าใจและเวลาให้กันค่ะ”

ท้ายสุดฝากถึงแฟน ๆ หน่อย?

“แจมอยากให้ติดตามแจม ดูการพัฒนาของแจมในด้านการแสดง ว่าเรามีการพัฒนามากน้อยแค่ไหน แจมไม่อยากให้มองแค่ว่าแจมเรื่องเดียวแล้วก็จบ อยากให้ติดตามกันไปเรื่อย ๆ นะคะ”

คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่นัดเธอมาพูดคุยวันนี้ เพราะนอกจากเธอจะสวยแล้วยังเห็นความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม ยังไงก็ขอให้สาวแจมประสบความสำเร็จในวงการอย่างที่หวังนะจ๊ะ.