Inside Dara
หมดยุค 3 ช่า !!?? “หม่ำ” ท้อ “เท่ง-โหน่ง” เตรียมชิ่ง “ตุ๊กกี้” โดนพักงาน เวิร์คพอยท์เห่อ The Mask

ถ้าไม่นับความเปลี่ยนแปลงในส่วนของบอร์ดบริหาร ที่มีการดึงอดีตผู้บริหารระดับสูงของบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด หรือ เอไอเอส เข้ามาเสริมทัพ อีกข่าวหนึ่งในช่อง 3 ที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือนโยบายใหม่ นั่นก็คือการเพิ่มหน่วยงาน “บริหารศิลปิน” (Artist Management) โดยการกำหนดกติกางดดารารับงาน พรีเซ็นเตอร์ และ/หรือออกอีเวนต์เอง ทุกอย่างต้องผ่านการ “ว่าจ้าง” ผ่านต้นสังกัดทั้งสิ้น

แตกต่างจากเมื่อก่อน ที่นักแสดงสังกัดช่อง จะเซ็นสัญญาเฉพาะเรื่องละคร ส่วนงานจ้างอื่นๆ ก็จะมี “ผู้จัดการดารา” ของแต่ละคน คอยดูแลและจัดหาให้ ซึ่งผู้จัดรายดารารายใหญ่ ที่ดูเหมือนจะมีพาวเวอร์ที่สุด ก็น่าจะไม่มีใครเกิน “เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร” เพราะนักแสดงเบอร์ใหญ่ๆ เกือบทั้งหมดของช่อง ล้วนเป็นเด็กในสังกัด โดยเฉพาะนักแสดงฝ่ายชาย ไม่ว่าจะเป็นณเดชน์ , เจมส์ มาร์ ,เคน-ภูภูมิ,มาริโอ้ ฯลฯ

แน่นอนว่านโยบายใหม่นี้ กระทบกับบารมี และรายได้ของเอ-ศุภชัยโดยตรง จะเรียกว่าเป็นการตัดเส้นทางการทำมาหากินก็ว่าได้ อย่าลืมว่าบ่อเงินบ่อทองส่วนใหญ่ของเอคือนักแสดงสังกัดช่อง 3 ล้วนๆ

แต่ช่อง 3 ก็จำเป็นต้องทำ ก็มันเรื่องอะไรที่จะให้เอ-ศุภชัยอยู่ดีกินดีคนเดียว ในภาวะที่ช่อง 3 กำลังวิกฤตหนักเรื่องรายได้โฆษณาที่ไม่เป็นไปตามเป้า

จุดประสงค์ของนโยบายนี้ ก็คือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์ที่มีอยู่ นั่นก็คือตัวของนักแสดงในสังกัด รวมทั้งเป็นการรองรับการขายโฆษณาแบบเหมาเป็นแพคเกจ เพื่อให้สอดคล้องกับตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรมโฆษณา ที่ไม่นิยมซื้อโฆษณาเป็นครั้งๆ แบบที่เรียกว่ารูทสปอต แต่เน้นไปที่การซื้อโฆษณาในรูปแบบของ “สปอนเซอร์ชิป” และการ่วมผลิตเนื้อหาและออกอีเวนต์เพิ่มขึ้น

จริงๆ ช่อง 3 น่าจะใช้ระบบนี้มาตั้งนานแล้วด้วยซ้ำไป แต่มาใช้ตอนนี้ก็ยังไม่สาย อาจจะถือเป็นการ “ล้างบาง” แบบขุดรากถอนโคนบรรดาผู้จัดการดาราผู้ทรงอิทธิพล ซึ่งที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนมีการพยายามจะตัดตอนเรื่องนี้มาหลายครั้งหลายครา แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ

นอกจากช่อง 3 แล้ว ช่องเวิร์คพอยท์เอง ก็หันมาใช้ระบบนี้บ้างเหมือนกัน นั่นก็คือการเข้มงวดในเรื่องการรับงานนอก ที่จะต้องผ่านต้นสังกัดเท่านั้น

ตอนนี้ที่มีข่าวไม่ค่อยสู้ดีเกี่ยวกับระบบหลังบ้านของเวิร์คพอยท์ก็อาจจะสืบเนื่องมาจากนโยบายนี้

คือถ้ามีงานในมากพอ นักแสดงในสังกัดอิ่มหมีพีมันกันถ้วนทั่ว ต่อให้ไม่ต้องไปรับงานนอกเลย ก็คงไม่มีใครเดือดร้อน แต่เรื่องมันมาเกิดก็เพราะบังเอิญงานในก็แทบไม่มีเหลือ จะกระเสือกกระสนไปรับงานนอก ก็โดนสั่งห้าม ใครจะไปทนไหว !!???

ว่ากันว่าตอนนี้แก๊ง 3 ช่า เริ่มมีปฏิกิริยา และรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะไม่มีที่ยืนในเวิร์คพอยท์แล้ว

จากที่เคยเป็น “ตัวขาย” ประจำช่อง พอถึงจุดอิ่มตัว ความนิยมหดหาย ชื่อเสียงเริ่มถดถอย ความมั่นคงก็เริ่มสั่นคลอน

พูดง่ายๆ ว่าพอหมดยุคทอง แค่หายใจก็ผิดแล้ว

อย่าง “ตุ๊กกี้-สุดารัตน์” ที่เคยเป็นคนโปรดสุดๆ ถึงขนาดพอใกล้หมดสัญญา เวิร์คพ้อยท์ยังต้องพยายามทำทุกวิถีทาง หว่านล้อมก็แล้ว บีบบังคับก็แล้ว เพื่อให้เซ็นสัญญาต่อ สรุปเซ็นต่อไป 10 ปีถ้วน อยู่ๆ ก็มาโดนสั่งพักงาน เหตุเพราะดันไปทำอะไรขัดหูขัดตาผู้ใหญ่เข้าให้ ก็เลยมีคำสั่งเบรกงานทุกชนิดเป็นเวลา 90 วัน แถมพอมีข่าวหลุดออกมา ก็ยังโดนเรียกเข้าห้องเย็นไปปรับทัศนคติอีก ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน สมัยที่ยังขายได้ คงไม่โดนหนักแบบนี้

เรื่องนี้ลองถาม “พชร์ อานนท์” ดูก็ได้ เพราะโดนหางเลขไปเต็มๆ ทั้งที่ตกปากรับคำมั่นเหมาะว่าจะให้ตุ๊กกี้มาเล่นหนัง “ตุ๊ดตู่กู้ชาติ” สุดท้ายก็โดนเท จนต้องเปลี่ยนตัวแสดงเป็น “ผัดไท-ดีใจ ดีดีดี” มาเล่นแทน โดยฝ่ายบริหารศิลปินให้เหตุผลสั้นๆ ง่ายๆ ว่า....ผู้ใหญ่มีเรื่องไม่พอใจตุ๊กกี้อยู่

ยังดีที่ก่อนหน้านี้โกยเงินไว้เยอะพอประมาณแล้ว ในช่วงโดนพักงาน ก็อาจจะไม่เดือดร้อนเรื่องค่าครองชีพเท่าไหร่ แต่ก็ไม่รู้ว่าพอพ้นจาก 90 วันแล้ว จะโดนอะไรอีกหรือเปล่า

ตุ๊กกี้ยังขนาดนี้ “ส้มเช้ง สามช่า” ไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้คนแทบจะลืมหน้าไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะเหลืองานในสังกัดให้ทำอยู่แค่รายการเดียว นอกนั้นไม่เคยถูกเรียกมาใช้งานอีกเลย ทั้งที่สัญญาก็ยังคาอยู่

ว่ากันว่าตอนนี้ “เท่ง เถิดเทิง” กับ “โหน่ง ชะชะช่า” กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะต่อสัญญาดีหรือไม่ !!???

เพราะถ้าเซ็นต่อไปแล้วไม่มีงานป้อน ก็เท่ากับตัดแขน ตัดขา ตัดอนาคตตัวเองเปล่าๆ

ขณะที่แกนหลักของแก๊ง 3 ช่าเอง อย่าง “หม่ำ จ๊กมก” ก็เปรยออกมาแล้วว่าอยากพักงานในวงการบันเทิง ทำให้ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมีน้ำหนักมากขึ้น

“บางทีมันก็รู้สึกท้อๆ บ้างจนอยากบวช แต่ถ้าหยุดไปมันรู้สึกเหมือนนักมวยที่ไม่ได้ซ้อม ก็ห่างๆ ไปบ้าง ลดรายการไปหนึ่งรายการแล้ว เหลือแต่ชิงร้อยชิงล้าน กับซุปเปอร์หม่ำ ส่วนอีกรายการผมไม่ได้ทำแล้วเพราะรู้สึกเหนื่อย อยู่กับ เวิร์คพอยท์มาจะ 30 ปีแล้ว ไม่ใช่นักแสดงในสังกัดแต่เป็นเหมือนครอบครัว”

ความจริงในเรื่องนี้ ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่า เวิร์คพ้อยท์อยู่ในยุคผลัดใบ และกำลังหลงใหลได้ปลื้มกับความสำเร็จใหม่ๆ ของรายการยอดนิยมอย่าง “The Mask Singer หน้ากากนักร้อง” และก็นักแสดงในสังกัดคนใหม่ ที่ได้รับการประคบประหงมอย่างเต็มที่ ก็คงไม่มีใครเกิน”กันต์ กันตถาวร”

เอาง่ายๆ ว่าตอนนี้กันต์แทบไม่มีเวลาไปรับงานละคร หรืองานนอกอื่นๆ เลย เพราะลำพังรับงานพิธีกรในช่อง ก็เก็บกินไม่หวาดไหวแล้ว ซึ่งหลักการนี้ เป็นกลยุทธ์เดียวกับสมัยเมื่อครั้งที่เวิร์คพ้อยท์ปั้น “กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์” ตอนนั้นเรียกว่าเห็นหน้าแทบทุกรายการ คือจะเอาให้เบื่อหน้ากันไปข้างหนึ่ง แต่ก็ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่เป็นบวกมากกว่าลบ เพราะกฤษณ์ก็สามารถแจ้งเกิดเป็นพิธีกรระดับต้นๆ และก็เสมือนเป็นการประทับตราลายเซ็นของรายการเวิร์คพ้อยท์ไปในตัวด้วย

ถ้ากันต์จะงานล้นไปกว่านี้ ก็อาจจะยังไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกมากมายเท่าไหร่ เพราะมองว่าเป็นหลักการตลาด ที่พยายามสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง โดยการให้คนดูจดจำภาพในฐานะที่เป็นพิธีกรประจำของช่องเวิร์คพ้อยท์ แต่ที่สะเทือนใจพลพรรคแก๊ง 3 ช่าที่สุด เหตุก็เพราะ “คนนอก” แท้ๆ หลายคน โดยเฉพาะ “ดีเจ. นุ้ย” ยังมีงานในเวิร์คพ้อยท์มากกว่านักแสดงในสังกัดเสียอีก

ว่าง่ายๆ ว่าตอนนี้นุ้ยโผล่หน้ามาถี่มาก ทั้งรายการเกมโชว์ รายการเพลง ที่ผูกปิ่นโตเป็นคอมเมนเทเทอร์หลัก ทั้งที่ไม่ได้เซ็นสัญญากับช่องด้วยซ้ำ

หรือมันจะถึงกาลอวสานของ 3 ช่า ที่จะเหลือไว้เพียงตำนานแล้วจริงๆ