Inside Dara
‘เก้า-จิรายุ’ กับวันนี้ ที่โตเป็นผู้ใหญ่
“เส้นทางบันเทิง”
ถามหน่อยตั้งแต่เข้าวงการมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนถึงปัจจุบันนี้นับ ๆ แล้วกี่ปีแล้ว?

“ผมเข้าวงการมาปีนี้ 9 ปีแล้วครับ เหมือนชื่อผมเลย ตอนนั้นเล่นบทในภาพยนตร์เรื่อง “จานบิน” นานมากแล้วครับตอนนั้นยังจำความไม่ได้สักเท่าไร จนมาเป็นที่รู้จักจริง ๆ ก็ตอนที่เล่น ภ.ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาค 1 ตอนองค์ประกันหงสา แล้วจากนั้นที่คนจำผมได้เยอะมากที่สุด ก็ตอน ภาพยนตร์ “ห้าแพร่ง”

ระยะเวลาที่ผ่านมาการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงชีวิตยังไงบ้าง?

“ผมเองรู้สึกว่าโตขึ้นมีความรับผิดชอบเยอะ สิ่งที่คนอื่นมองผมจากเด็ก ๆ ในอดีตมันมีข้ออ้างได้ ตอนเด็กก็อาจอ้างได้ว่า ผมไม่ค่อยรู้เรื่อง หรือทำตัวงี่เง่าไม่ว่าใครจะว่าอะไรอาจจะมองว่าน่ารักด้วยซ้ำ พอโตแล้วไม่ได้มีความน่ารักแบบเด็กให้หลงเหลือ แต่กลับทำตัวเด็ก ๆ ซึ่งตรงนี้เกิดการเรียนรู้มีการปรับตัวมากขึ้น ผมว่าธรรมชาติก็สร้างให้ทุกคนต้องปรับตัวไปพร้อม ๆ กันพอผมเจอเรื่องกดดันต้องรู้แล้วว่าการแก้ปัญหาในแบบของผู้ใหญ่เป็นยังไงก็แตกต่างแน่นอนก็ต้องมีความคิดที่ซับซ้อนมากขึ้นแล้วก็ต้องมีความอดทนมากขึ้น”

“สั่งสมประสบการณ์”
ตอนนี้เหมือนประสบการณ์สอนให้เรียนรู้เยอะขึ้น?

“ครับ...แน่นอนทุก ๆ อย่างทำให้ผมโตขึ้นมีประสบการณ์ขึ้นมันทำให้ต้องรู้อะไรเยอะขึ้นต้องทำยังไงที่เรียกว่านิ่งมากขึ้นให้ได้จากการที่ตรงนั้นใช่หรือไม่ใช่ ได้ลองผิดทุกอย่างเป็นประสบการณ์”

“เก้า” ผ่านเหตุการณ์ที่หนักเหล่านั้นได้อย่างไร?

“ผมว่าอยู่ที่ทัศนคติมากกว่า ว่าคนคิดกับงานของผมยังไง มองมันเป็นแค่มาเพื่อหาเงินหรือผมมองเป็นศิลปะ หรือมองเป็นธุรกิจเพื่อแค่โกหกใส่กัน คือ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้แล้วก็หัดที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นว่าเขาจะเป็นคนแบบไหน การที่ผมทำงานในวงการอาจเจอคนหลากหลายรูปแบบที่สำคัญทำให้รู้ว่าแต่ละคนต้องคุยแบบไหน ทำยังไงให้อยู่บนพื้นฐานที่มีความสุขที่สุด มีอยู่หลาย ๆ ช่วงเหมือนแบบที่ผมเบื่อแล้วรู้สึกว่าชีวิตในวงการมันไม่ใช่

แต่ที่สุดมันก็ต้องมองให้เป็นประสบการณ์แล้วมองหาสิ่งดี ๆ รอบตัว คนที่ให้โอกาสและเป็นมิตรกับเราก็มีอยู่เยอะแยะมากมายและไม่สามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้ ถ้าไม่มีคนอื่นสนับสนุนก็ต้องมองว่าคนเหล่านั้นที่ช่วยเหลือ ถือว่าเขาก็มีจิตใจที่จะช่วยจริง ๆ มั้ย ผมคิดแบบนี้ก็ทำให้มีกำลังใจในการทำงานต่อไปให้ตัวเองกับครอบครัว ซึ่งทุกวันนี้แม้จะทำงานเหนื่อยแค่ไหนพอกลับบ้านเจอครอบครัวที่ให้กำลังใจเจอคนที่แบบคุยได้ทุกเรื่อง ไม่คิดจะทำร้ายผมแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว”

ที่มองว่าวงการเป็นศิลปะคือมองยังไง?

“พอโตขึ้นมาสิ่งที่ทำได้มันไม่ใช่แค่ว่าไปทำงานได้เงิน รับงานอีเวนต์ข้อดีของการทำงานในวงการนี้มันคือการที่พอผลงานมันออกไปแล้วสู่สายตาประชาชนสิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ ผลตอบรับที่คิดกลับมาเป็นยังไงแล้ว งานที่ทำอยู่มันเกิดขึ้นจากว่าคือศิลปะทั้งนั้นเลย ศิลปะผมคิดว่ามันคือการที่ทำงานอะไรซักอย่างที่ทำให้กล่อมเกลาจิตใจคนได้ อย่างสร้างภาพยนตร์ซักเรื่องหนึ่งสามารถทำให้จากคนหนึ่งท้อแท้ในชีวิตจะด้วยอะไรก็แล้วแต่กลับมาลุกขึ้นสู้ได้ ภาพยนตร์หลายเรื่องทำให้คนมองชีวิตไว้แบบหนึ่ง สามารถกลับมามองอีกมุมแล้วเปลี่ยนไปเลยมันเกิดขึ้นหลายครั้งมาก ผมก็รู้สึกว่าถ้าทำงานศิลปะแบบนี้ได้ซักครั้งความเจ๋งของศิลปะที่เกิดขึ้นเป็นคุณค่าที่น่าส่งเสริมนะ”

“ตุ๊กแกรักแป้งมาก”

ตอนนี้ชีวิตยุ่งไหมทำหลายอย่าง?

“ก็ไม่เรียกว่ายุ่งเหยิงซะทีเดียว ถึงจะมีเดินสายโปรโมตภาพยนตร์ และก็เพลง แต่อาจจะเหมือนหนักหน่อยกว่าเดิม แต่ก็ดีอย่างน้อยพอเวลาผ่านไปได้ซักครั้งหนึ่งก็ทำให้แข็งแรงมากขึ้น”

อัพเดทผลงานหน่อย ล่าสุดมีภาพยนตร์ “ตุ๊กแกรักแป้งมาก” ไปทำงานไกลถึงเชียงคานเล่าให้ฟังหน่อย?

“มี 2 ช่วงเวลานะครับช่วงแรก ๆ เปิดกล้องใหม่ ๆ ไปเชียงคานคิวแรกตอนเริ่มถ่ายผมและทีมงานครั้งแรกไปเชียงคานตอนนั้นหนาวนะ จะแข็งตายให้ได้ตอนเช้าหายใจเป็นควันออกปากซึ่งไม่น่าเชื่อว่าประเทศไทยจะมีช่วงที่หนาวมากอากาศดีเลยผมชอบนะครับ แต่พอไปถ่ายรอบ 2 ตอนปิดกล้องต่างกันราวฟ้ากับดินเลยร้อนแบบช็อก ซึ่งทำงานกับพี่ต้อม(ยุทธเลิศ สิปปภาค) เป็นครั้งแรกโชคดีนะครับที่เรื่องการแสดงไม่ค่อยมาตั้งกรอบให้ ค่อนข้างปล่อยอยากจะเล่นแบบไหนก็เล่นมีบางอย่างตามใจครับ ทั้งเรื่องแอ๊คติ้งท่าทางเวลาแสดงดูภาพรวมมากกว่าว่าอารมณ์เป็นประมาณไหน เล่นแล้วเยอะไปมั้ย ชอบหรือเปล่า”

“ฉายเดี่ยว”

ตอนนี้ย้ายออกมาอยู่คอนโดฯ?

“ก็ทำให้อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยใกล้เมืองแล้วก็เดินทางไปไหนมาไหนทำงานง่ายด้วย ที่สำคัญผมจะได้ให้ความสำคัญกับวันว่าง หรือวันหยุดมากขึ้น เพื่อเทรนด์ตัวเอง ฟิตหุ่นเพิ่มรูปร่างให้กับตัวเองถ้าหากตามอินสตาแกรมผมก็จะทราบ”

จะได้ฝึกดูแลตัวเองมากขึ้นทั้งเรื่องชีวิตและเรื่องเรียน?

“ถ้ามองแบบนั้นก็ถูกครับ คือ ประมาณหนึ่งถ้าดูแลตัวเองก็ดูแลได้อย่างติดต่องานเป็นเรื่องปกติที่ต้องมีคนดูและช่วยเป็นปกติ แต่อย่างการไปมหาวิทยาลัยใช้ชีวิตรับผิดชอบในตัวเองที่ต้องทำอย่างเรื่องเรียนผมก็ต้องทำมากขึ้นซึ่งโชคดีที่มีเพื่อนคอยช่วยด้วยก็หลาย ๆ อย่างจะช่วยหมดก็ไม่ได้อย่างเวลาสอบปากกาก็อยู่ในมือเอง

ถ้าหากไม่ได้ท่องมาไม่มีอะไรในหัวเลยก็สอบไม่ได้อยู่ดีก็ต้องเรียนถ้าจะอยู่แบบไม่เคยไปเรียนเลยทำงานอย่างเดียวพอถึงเวลาสอบไม่ได้ มันก็จะไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ดีก็เห็นความสำคัญของการไปมหาวิทยาลัยได้หลายอย่างได้ทั้งเพื่อนเรื่องเรียนก็ยังรู้สึกว่ามันขาดไปไม่ได้ให้ความสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่งไปเลย”

“โลกสีชมพู”

ความเป็น “เก้า-จิรายุ” เวลาอยู่มหาวิทยาลัยสาว ๆ กรี๊ดตึม?

“ไม่ได้ดังอะไรขนาดนั้นส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยเหมือนเห็นเหมือนทุกคนเจอกันบ่อย ๆ ก็ชินกันแล้วมีขอถ่ายรูปปกติแต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดว่ารุมกันกรี๊ดหรอกครับ (หัวเราะ) ซึ่งมองมุมนี้ผมกลับมองว่าเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ถ้าโดนขอถ่ายรูปแต่ถ้าคิดในทางที่ดีว่ามันก็เป็นสิ่งที่อย่างน้อยอาจจะเป็นผลจากผลงานก็เป็นเรื่องที่ดีมีคนชอบผลงานของผมทำอะไรออกไปแล้วมีคนชอบมันก็เป็นผลดีแบบตัวผมที่ไม่ได้เจอเราทุกวัน”

เรื่องหัวใจสีอะไร?

“4 ห้องหัวใจตอนนี้ผมเป็นสีแดงปกติ เหมือนความรักปกติเพียงแต่ว่าอาจจะไม่ใช่รูปแบบหนุ่มสาวเท่านั้นเอง ผมมีเรื่องครอบครัวเป็นหลักเรื่องการทำงานผมก็เต็มที่มากขึ้นก็เป็นช่วงที่ต้องทำงานเยอะขึ้นหน่อยเพราะมันปิดเทอมด้วยแต่ชิวิตมันก็ค่อนข้างมีหลายด้านอาจจะไม่ได้มีเวลาไปทำความรักเรื่องหนุ่มสาว แม้จะมีคุยกันก็ขอยังไม่พัฒนาความสัมพันธ์ขอให้อยู่ในกรอบไปก่อน ด้วยสถานะเวลาหลาย ๆ อย่างแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่คุยกับใครเลยก็คุยแบบให้เป็นแรงบันดาลใจ คือก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรคือคิดว่าทุกคนก็คงเข้าใจ ถามว่ามีไปดูหนังฟังเพลงปกติมั้ย ก็มีบ้างแต่ค่อนข้างน้อยเพราะงานหนัก”

วางแผนอนาคตไว้อย่างไรกับช่วงเวลา 3 ปี หรือ 5 ปี ต่อจากนี้?

“ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมมองว่าถ้าถึงตอนนั้นยังมีความสุขก็พอแล้ว เพราะตอนนี้ผมก็ไม่ได้กดดันตัวเองอะไรมากมายอย่างครอบครัวก็ฐานะปานกลางพออยู่ได้นะครับ ไม่ได้รู้สึกว่าต้องไปขวนขวายอะไรยิ่งใหญ่มากมาย ก็แค่ทำในสิ่งที่ชอบแค่นั้นเองถึงตอนนั้นก็อาจพบอะไรบางอย่าง หรือใช้ชีวิตให้สบายที่สุด เพราะถ้าตอนนี้ผมเลือกมีความสุขพูดได้เลยแบบไม่ต้องคิดเลยครับเงินไม่ใช่ความสุข ถ้าถามว่าต้องค้นหาอะไรหรือเปล่า ผมก็คงไม่ต้อง แต่แค่หาความหมายในชีวิตเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้มีความสุขที่ท้าท้ายแล้วนะ เพราะถ้าให้ผมตอบฟันธง อาจจะยังไม่กล้าชัดเจนซะทีเดียว เพราะอนาคตเป็นของไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้เสมอ เพียงแต่จะตั้งรับกับสิ่งเหล่านั้นไว้แค่ไหน ไม่แน่ผมอาจจะไปจับธุรกิจอะไรแล้วก็เป็นมหาเศรษฐีได้ แต่ตอนนี้คงยังไม่ใช่แล้วก็ยังไม่ถึงเวลา ขอแพลนชีวิตไปเรื่อย ๆ ค่อยเป็นค่อยไปก่อนจะดีกว่า”

คงจะได้เต็มอิ่มเต็มร้อยกับความเจ้าเสน่ห์แล้วก็พัฒนาของหนุ่มน้อยคนนี้ “เก้า-จิรายุ ละอองมณี” ที่ปีนี้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและกล้าคิดกล้าทำมากกว่าเดิม ใครที่เป็นแฟนคลับแล้วอยากติดตามผลงานทั้งภาพยนตร์ “ตุ๊กแกรักแป้งมาก” แล้วซิงเกิ้ล “รักเธอคนเดิม” ของหนุ่มคนนี้ด้วยนะจ๊ะ.