Inside Dara
'ปุ๊กลุก'ลุยสนิท'แพท'เกาเหลาฮิต!

ปุ๊กลุก-ฝนทิพย์ วัชรตระกูล ณ บัดนาว กลายเป็น “สาวดัง” เพราะเธอตั้งใจจะเกิดมาเป็น “ดาว” เกิดจากเวทีนางงาม เพราะความมั่นใจเต็มร้อย ตอนเธอค้าขาอ่อน ลงประกวดเวที มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ปี 2553 เธอได้ฉายาว่า “นางงามสายพันธุ์ใหม่” เพราะไม่ได้เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ แต่ ปุ๊กลุก พร้อมฉีกกฎทุกเวที

ปีที่ ปุ๊กลุก ประกวด ก็มีข่าวว่าเธอเด่น ด้วยการโพสท่า ยกขา จนเกิดกระแส ว่า “ทำตัวเด่น” แต่มันไม่สำคัญอะไร เพราะสุดท้ายเธอก็ได้ตำแหน่งมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส และขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน แถมบนเวทีสาวงามระดับโลก มิสยูนิเวิร์ส 2010 ปุ๊กลุก ก็ได้รับโหวตจากอินเตอร์เน็ต จนคว้ารางวัลชุดประจำชาติ และ Miss Photogenic มาครองได้ แสดงว่า ความตั้งใจของ ปุ๊กลุก สัมฤทธิผล เธอได้เป็น นางงามดัง สมใจ

เส้นทางการเป็น “ดารา” ถือเป็นก้าวต่อไป ที่ ปุ๊กลุก อยากจะเดิน และเธอก็ทำได้ พ้นจากเวทีขาอ่อนก็มาเป็น นางเอกไก่อ่อน ประเดิมเรื่องแรก “คุณพ่อหวานแหวว” ประกบ วี–วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ ก็เลยเสร็จพระเอก ได้เป็น “นางเอก” ทั้งในจอและนอกจอ ประมาณว่าแพ้คารม “คาสโนว่าวี” ว่างั้นเหอะ!!

ช่วงแรกรักหวาน เพราะการร่วมงานราบรื่น วี เสน่ห์เหลือร้าย พร้อมทำหน้าที่ “ป๋าดัน” น้องปุ๊กลุก ให้ถึงฝัน แต่แล้วรักแรก (ในวงการ) ของ ปุ๊กลุก ก็ไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะ ปุ๊กลุก เป็นโรคลมพิษหึงขึ้นหน้า แว่วว่า วี ซึ่งมีนิสัย “หวั่นไหวเมื่อใกล้เธอ” ใกล้สาวไหนก็ชอบเทกแคร์ มักทำให้ ปุ๊กลุก เกิดอาการหึง ตามราวี และมักมีข่าว “เกาเหลากับสาวๆ ของวี” อยู่บ่อยๆ ทั้ง ทับทิม–อัญรินทร์ ที่มีข่าวในตอนนั้นว่า วี ไปหยอดขนมจีบ แต่ก็ยังประคองรักบนความสั่นคลอน รอดมาได้แต่แว่วว่า “แตงโม–ภัทรธิดา” คือสาวซ่าส์ ที่สามารถเข้ามาตีหัวใจ ปุ๊กลุก กับ วี จนแตกกระเจิง จนรักแตกต้องแยกทางไป แบบคอนเวิร์สทางใครทางมัน และนับจากนั้น ปุ๊กลุก กับ แตงโม ก็ซด “เกาเหลา” อย่างถาวร ช่วงแรกเขม่นกันหนัก ถึงขั้นออกงานคู่ แต่ไม่ยอมถ่ายรูปคู่ และไม่สัมภาษณ์คู่ แต่พอความโกรธคลายลง ปุ๊กลุก ก็เพิ่งรับงานที่มี แตงโม ได้ ถือเป็นการ “รับทรัพย์ รับโชค” จากเกาเหลา แต่ถ้าถามว่าคืนดีกันแล้วเหรอ ปุ๊กลุก ตอบว่า “ยังเหมือนเดิม ยังไม่มีความคืบหน้า” ตอบแบบนี้ ถ้าให้ “เดา” ก็น่าจะ “คืนดีกันแค่เรื่องรับเงิน!”

นอกจากนี้ ปุ๊กลุก ยังมีข่าวเกาเหลาทั้ง “ใบเตย” อาร์สยาม เพราะมีข่าวกับ ป๋าวี นอกจากนี้ก็มีข่าวเกาเหลากับ โบวี่ เพราะหนุ่มไฮโซ แพท–ประกาศิต พรประภา จีบ ปุ๊กลุก และ โบวี่ ในเมื่อเป็น “คู่แข่งหัวใจ” ก็เลยมีข่าว “เกาเหลา” อ๋อ...ยังมีอีกหนึ่งนางงาม ที่ซดเกาเหลากับ ปุ๊กลุก คือ ฟ้า–ชัญษร สาครจันทร์ มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปีล่าสุด เพราะ ปุ๊กลุก เป็น สาวมั่นพันธุ์ (ปาก) แรง วิจารณ์ ฟ้า ไปซะหน้าชาว่า “ภาษาไทยเป็นภาษาแม่กรุณาพูดให้ชัดงดดัจด้วยค่ะ” บ้างก็ว่า ปุ๊กลุก สร้างกระแส แต่เธอเลือกปฏิเสธทุก “หม้อเกาเหลา” แต่คนก็เหมาไปแล้วว่า “เกาเหลา” เป็นอาหารโปรดอันโอชะ ที่ ปุ๊กลุก กิน เพราะมีข่าวบ่อยเหลือเกิน

ปุ๊กลุก ฉีกกฎนางงามต้องเรียบร้อย เธออวดองค์ทรงเอว ให้เห็นเป็นประจำ ยิ่งช่วงนี้ “หัวใจว่าง” ยังไม่มีใครคอยมาคุม ปุ๊กลุก เลยสนุกโชว์ นิตยสาร “IN LOVE” เป็นงานล่าสุดที่เธออวดความสาว ยี่ห้อ ปุ๊กลุก รับรอง “หนุ่มคลั่งกับนางงามกล้าโชว์!”

หลังจาก เลิกวี เธอก็มีข่าว คลั่ง นิว–วงศกร ปรมัตถากร แบบเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เมื่อได้ร่วมงานกันในละคร “เพลงรักบ้านนา” ปุ๊กลุก เคยออกปากว่าปลื้ม หนุ่มนิว เอามากๆ ทำตัวสนิทดี๊ด๊าทุกครั้งที่ใกล้ นิว แต่ฝ่ายชายสงวนท่าที ปฏิเสธไม่มีอะไร พอละครใกล้ปิดกล้อง ปุ๊กลุก ก็ดันโพสต์ข้อความทำให้คิดได้ ว่าเธอกำลัง “เพ้อ” ถึง หนุ่มนิว ข้อความว่า “ตั้งแต่วันนี้...จะหักห้ามใจไม่ให้ไหวหวั่น ความรักบนเส้นขนาน จบกัน ต่างคน...ต่างไป ลาก่อน” ถึงจะปฏิเสธ แต่ก็ทำให้คนอดคิดไม่ได้ และสุดท้าย ปุ๊กลุก กับ นิว ก็เป็น “เส้นขนาน” ดั่งข้อความที่เธอโพสต์จริงๆ

ตามวัฏจักร...ของคนบันเทิง “ละครจบ รักจบ” และ “ซู่ซ่าส์ เมื่อได้ร่วมงานคนใหม่ๆ” แต่รักรอบนี้ ปุ๊กลุก ฉีกกฎทุกอย่าง เธอกระโดดไปมีข่าวกับ แพท–ประกาศิต พรประภา และยอมรับแล้วว่าเป็นพี่ที่รู้จักกัน แต่ แพท ดันมีข่าว “คั่ว 2นางเอก” ปุ๊กลุก และ โบวี่–อัฐมา ชีวนิชพันธ์ งานนี้ก็เลยต้องลุ้น ว่าสุดท้าย ปุ๊กลุก จะกำชัยชนะ หรือเปิดศึกเกาเหลากับ โบวี่ เหมือนที่ผ่านๆมา ก็ขออวยพรให้ แพท ถูกใจ ปุ๊กลุก นางงามสุดซ่าส์ จะได้ไม่ต้องมีข่าว “ซดเกาเหลา” กับสาวทั้งประเทศไทย!


ควักหัวใจ 'ตูมตาม' ให้ 'แนน' ได้แค่เพื่อนรัก!?!

หล่อไม่เท่าไหร่ แต่เสียงดีทีเดียว ตูมตาม เดอะสตาร์ ยุทธนา เบื้องกลาง กับมิสปิ๋วจากเวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012 แนน-กรกนก วิมลสุขนพรัตน์ สัมพันธ์รัก (ไม่) ลับ จะคืบหน้าไปแค่ไหน ตูมตามจะมาตอบเอียงอายแบบเขินๆ


แนน-กรกนก (ว่าที่)กิ๊กตูมตาม

ความรักตอนนี้ราบรื่นดีไหม? "ก็สังคมเพื่อนเป็นปกติ ผมก็บอกทุกครั้งว่าเป็นเพื่อน ส่วนใหญ่เพื่อนผมจะเป็นผู้หญิง ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเรียน ที่มีข่าวก็เป็นเพื่อนในวงการที่รู้จักกันเท่านั้นครับ" แค่เพื่อนเหรอคะ? "ครับ ผมก็ยอมรับว่ากับแนนเป็นเพื่อนที่สนิทมากจริงๆ ครับ เขาเป็นเพื่อนที่ช่วยมาตั้งแต่เรียนมหาลัยทีแรก เขาคอยดูแลเรื่องเรียนมาตลอด เป็นเพื่อนสนิท เพื่อนรักคนหนึ่ง(ยิ้ม)" เนื้อหอมจัง สาวๆ รุมจีบรุมแย่งตูมตาม? "เคลียร์ครับๆ ไม่มีใครมาแย่งชิงอะไรกันเลย ตอนนี้ผมก็ไม่ได้คิดเรื่องแบบนี้นะครับ" สาวแบบไหนที่ชอบและใช่เลยสำหรับตูมตาม? "ก็เป็นคนที่เข้าใจเรานั่นแหละครับ อนาคตผมก็ไม่รู้เพราะไม่ได้ตั้งสเปกไว้ ขอแค่เป็นคนที่ดูแลเราได้ไปจนแก่เฒ่าก็ดี (ยิ้ม)"

งานละครทีวีแฟนๆ อยากดูๆ? "เวลาไปทัวร์ต่างจังหวัด แฟนๆ ก็จะถามว่าทำไมไม่เห็นเล่นละครทีวี ตอนนี้กำลังเตรียมตัวอยู่ครับ บทบาทไม่ทิ้งห่างอั้นในสี่แผ่นดิน เป็นบทบาทที่มีฐานะร่ำรวย ค่อนข้างไม่แคร์ใคร เร็วๆ นี้นะครับ" ละครเวทีจะรีเทิร์นไปแสดงอีกเมื่อไหร่? "คิดถึงครับ เคยอยู่กับกองละครทั้งวันตอนนี้ไม่มีแล้วก็ใจหายเหมือนกัน ละครเวทีเป็นศาสตร์ที่ได้ดูแล้วคุ้มสุดๆ เพราะแอ็กติ้งสดๆ มีทั้งเพลงเพราะๆ ได้อรรถรสให้ฟังด้วย" นักร้อง-นักแสดง ชอบอันไหนมากสุดๆ? "เรื่องการแสดงชอบประมาณหนึ่งเลยแหละ รู้สึกปลื้มได้มาศึกษาและเรียนรู้ หลักๆ ชอบการร้องเพลงมากที่สุดอยู่แล้ว การเป็นนักร้องทำให้เรามีจิตใจอ่อนโยนเข้าถึงการแสดงได้ ส่วนการแสดงทำให้เราเข้าใจได้ลึกขึ้นและนำมาใช้กับการร้องเพลงได้มากขึ้น ทำให้ถ่ายทอดอารมณ์ได้จริง คนฟังก็จะมีความสุขครับ".

พี่สอนน้อง "โด่ง อรรถชัย" จดหมายถึง "ตั๊ก บงกช" กรณี "อากง" ดาราควรอยู่ข้างประชาชน

จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในกรณีที่ ในสังคมโซเชียล เน็ตเวิร์ก ในช่วงวันที่ 9 พฤษภาคมถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2555 มีการโพสต์รูปข้อความทางเฟซบุ๊ก ในชื่อ "บงกช คงมาลัย" ซึ่งไปตรงกับชื่อของนักแสดงนางเอกสาวชื่อดัง ตั๊ก - บงกช คงมาลัย ซึ่งเป็นข้อความที่แสดงความเห็นที่รุนแรงในกรณีการเสียชีวิตของ "อากง"

จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เอง ในเพจ "Red Intelligence" ได้นำจดหมายของดารารุ่นพี่ "โด่ง-อรรถชัย อนันตเมฆ" เขียนถึงดาราสาว ซึ่งทางเพจได้อ้างว่า นำมาจากเฟซบุ๊ค Attachai Anantameak :Poppy มีข้อความดังนี้คือ

โด่ง-อรรถชัย อนันตเมฆ

"จดหมายถึงตั๊ก จากพี่โด่ง อรรถชัย อนันตเมฆ ผ่านเฟซบุ๊ค Attachai Anantameak :Poppy
เรื่อง..... ตั๊กคงไม่รู้

ตั๊ก คงไม่เข้าใจเรื่องอากง มันไม่ใช่อย่างที่ตั๊กแสดงความคิดออกมา
ตั๊ก รู้ไหมว่าอากงไม่ใช่คนเสื้อแดง .... ?
ตั๊กรู้ไหม ว่าอากงรักในหลวงเหมือนตั๊ก .....? ( ที่บ้านอากงมีหลักฐานมากมาย ที่พี่เห็นในภาพอาจมากกว่าที่บ้านตั๊กซะด้วยซ้ำ )
ตั๊กรู้ไหมว่า อีมี่ โทรศัพท์ มือถือ ที่ใช้เป็นหลักฐานมัดอากงนั้น มันปลอมได้ ( มาบุญครองทำซ้ำขายมากมาย )
ตั๊กรู้ไหมว่า อากงส่งเอสเอ็มเอสหมิ่นดังกล่าวไปยังเลขาอภิสิทธิ์
ตั๊กคิดไหมว่า หากใครสักคนต้องการส่งข้อความหมิ่นเพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่สถาบัน เขาจะส่งไปยังเลขา "ส่วนตัว" นายกเพื่ออะไร
ตั๊ก.... แล้วตั๊กคิดว่า เบอร์โทรศัพท์ ของเลขา "ส่วนตัว" ของนายกนี่มันหามาส่งกันง่าย ๆ หรือ แม้แต่ในศาลก็ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าอากง รู้เบอร์นายสมเกียรติ " เลขาส่วนตัว " นายกนั่นได้อย่างไร
ตั๊กรู้ไหมว่า กระบวนการพิจารณาของศาลไทย เป็นระบบกล่าวหา ที่จำเลยต้องพิสูจน์เองว่า "ไม่ได้ทำ" ไม่ใช่อัยการต้องพิสูจน์ ว่า "จำเลยทำ" ดังนั้น บางเรื่องที่ยังมีข้อสงสัย หากอากงพิสูจน์ไม่ได้ว่าไม่ได้ทำ ศาลก็อาจใช้ดุลยพินิจ ตัดสินให้ติดคุกได้
ตั๊กรู้ไหม ว่า จากระบบกฏหมายดังกล่าว หากตั๊กตกที่นั่งเดียวกับอากง ตั๊กก็คงลำบาก
ตั๊กรู้ไหมว่า หากศาลยังไม่ตัดสินถึงที่สุด ตามกฏหมายยังถือว่า อากงบริสุทธิ์ และ อากงติดคุกอยู่ในฐานะคนบริสุทธิ์ จนตาย ( ยังมีคนที่ติดอยู่ในคุกในสภาพนี้อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนไม่มีวาสนา )
ตั๊กรู้ไหม ว่า การรับสารภาพของอากง เป็นสิ่งที่ทนายแนะนำ เพราะจะทำให้ติดคุกน้อยกว่าการยืนหยัดต่อสู้ความจริง
ตั๊กเข้าใจเรื่องการประกันตัวไหม รู้เรื่อง เขาให้กำนันเป๊าะ วัฒนา อัศวเหม ประกันตัว ไหม
กระบวนการยุติธรรมไทยปัจจุบัน ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐมาก เปิดช่องให้ ผู้มีอำนาจ ผู้มีวาสนา ผู้ถือกฏหมาย เจ้าหน้าที่รัฐ มากมาย ด้วยคำว่า ดุลยพินิจ ซึ่งบ่อยครั้ง ดุลยพินิจ ทางราชการ กับ ดุลยพินิจ ของประชาชนไม่ตรงกัน
ในกรณีของอากง ศาลใช้ดุลยพินิจ ว่า กลัวอากงหลบหนี จึงไม่ให้ประกัน ในขณะเวลาเดียวกัน สนธิ ลิ้มทองกุล ศาลให้ประกัน ทั้งที่อัตราโทษ 85 ปี มากกว่า อากง ถึง 70 ปี ( อากงโทษจำคุก 15 ปี )
เราคงไม่ตำหนิดุลยพินิจของศาล .... ( เพราะห้ามวิจารณ์ )
แต่ถามจริง ๆ ในดุลยพินิจของตั๊ก ใครมันจะอยากหนีมากกว่ากัน ระหว่างคนที่มีโทษจำคุก 85 ปี กับ 15 ปี
และถ้าหาก เหตุการณ์นี้ ตกมาที่ตั๊กและญาติมิตรในอนาคต ตั๊กจะทำอย่างไร
แท้จริง ประเด็นของอากง มันเกี่ยวข้องกับคำถามที่ว่า " อากงผิดจริงหรืไม่ " ไม่ใช่ เรื่อง " หมิ่นสถาบัน " อย่างที่ตั๊กเข้าใจ
ตั๊กรู้ไหมว่าการเมืองมันเป็นเรื่องสกปรก
ตั๊กเคยรู้หรือไม่ ว่าตลอดเวลามีคน ใช้สถาบันเป็นเครื่องมือ ทางการเมือง ในการใส่ร้ายฝ่ายตรงกันข้าม
ตั๊กเคยได้ยิน เรื่อง ที่คนตะโกนในโรงหนัง ว่า " ปรีดี ฆ่าในหลวง " ไหม ( ไปหาอ่านได้ตามเว็บไซด์ต่างๆ พิมพ์ในกุเกิ้ลก็น่าจะมี )
ตั๊กคิดว่าพวกที่ใช้สถาบันเป็นเครื่องมือ กับ อากง ใครเป็นภัยต่อในหลวงมากกว่า กัน ถ้ารักในหลวง ตั๊กควรทำอย่างไร
สุดท้าย อยากให้ตั๊กรู้ว่า คนที่ออกมาต่อสู้เรื่องอากง ไม่ได้มีแต่คนเสื้อแดง แต่มีนักวิชาการ อาจารย์ มากมาย ที่ไม่ใช่คนเสื้อแดง ตั๊กรู้ไหมว่าพวกเขาไม่ได้มาต่อสู้พียงเพื่ออากง แต่เขามาต่อสู้เพื่อ ตั๊ก และ ครอบครัวด้วย
แท้จริงพวกเขามาต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของคนไทย ต่อสู้เพื่อมนุษย์ทุกคนที่อาจไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบกฏหมายไทยที่ยังมีข้อบกพร่อง จนอาจเป็นเครื่องมือของใครต่อใครที่มีอำนาจ ซึ่งในที่สุด เมื่อสังคมมีกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม
ทุกคนก็จะได้รับประโยชน์ แม้แต่ ตั๊ก ครอบครัวของตั๊ก ลูกของตั๊กในอนาคต สามีตั๊ก คนที่ตั๊กรัก แม้แต่คนเสื้อทุกสี ก็จะได้รับประโยชน์ จากการต่อสู้ของพวกเขาในครั้งนี้
อยากให้ตั๊กได้รู้ว่า ตั๊กคือคนหนึ่งที่พวกเขาออกมาต่อสู้เพื่อ ....
พี่รู้จักตั๊ก เชื่อว่าแท้จริงแล้ว ตั๊กมีจิตใจที่ดี ตรงไปตรงมา และ เป็นคนรากหญ้า เชื่อว่าที่ตั๊กโพสต์ออกมาแบบนั้น ก็เพราะ ตั๊กไม่รู้ ดังนั้น ตั๊กต้องขจัดความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ โดยด่วน
ตั๊กไม่ใช่คนโง่ แต่ที่ตักไม่รู้ พี่วิเคราะห์ว่าเพราะตั๊ก " ไม่ฟัง "
และ การไม่ฟังอาจเกิดจาก " อคติ "
เราเป็นดารา มีชีวิต มีอาชีพวันนี้ได้ แท้จริงก็เพราะประชาชน
เราเป็นคนของประชาชน ต้องรักประชาชน ประชาชนทุกคน มีบุญคุณกับตั๊ก "ไม่เว้นแม้แต่อากง"
พี่เชื่อว่า ในช่วงชีวิตอากง อากงและครอบครัว ต้องเคยสนับสนุนตั๊กบ้าง ไม่มาก ก็ น้อย
น้าทอม ดันดี เคยพูดว่า " ข้าวชามน้ำจอก ที่ชาวบ้านให้เรากิน เราอย่าลืมบุญคณ "
แค่ขจัดอคติที่มีกับประชาชน รับฟังพวกเขาบ้าง แค่นี้ก็ดีมากแล้ว
หวังว่าตั๊กคงได้อ่านที่พี่เขียน และทบทวนสิ่งที่ตัวเองคิดให้ดี เชื่อพี่ รักประชาชน กตัญญูต่อประชาชน รับใช้ประชาชน อยู่ข้างประชาชน แล้วจะเจริญอย่างมีเสรีภาพ ครับ

พี่โด่ง"
รักไม่รู้จบ ของ“รอง-ปทุมวดี”

เป็นศิลปิน-นักแสดงอาวุโสอีกคู่หนึ่งของวงการบันเทิง ที่ใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมานานกว่า 40 ปี หลายคนในวงการฯเรียกจนติดปากว่า “พ่อรอง” หรือ “รอง เค้ามูลคดี” และเรียก “แม่ทุม” หรือ “ปทุมวดี โสภาพรรณ” เนื่องจากเป็นผู้ใหญ่ที่รักและเคารพของทุกคน รวมไปถึงสื่อมวลชนด้วย เมื่อไม่นานนี้ “แม่ทุม” ป่วยเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ ได้เข้ารักษาตัวที่ รพ.ตำรวจมาเกือบ 2 เดือน จนอาการดีขึ้นตามลำดับ หมอก็เลยให้กลับบ้านได้ วันก่อนเราก็เลยถือโอกาสไปเยี่ยมเยียน “แม่ทุม” ที่บ้านพัก ซอยลาดพร้าว 71 เพื่อถามไถ่อาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง วันนั้นโชคดีมากได้เจอ “พ่อรอง” ที่เสร็จจากถ่ายละคร รีบกลับบ้านมาดูแลแม่ทุม..น่ารักอ่ะ

บอกตรง ๆ เจอ “แม่ทุม” เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม่คุยเก่งยังไงก็หยั่งงั้น ที่ดูไม่เหมือนเดิมก็เห็นจะเป็นรูปร่างที่ผ่ายผอมเท่านั้นเอง สวัสดีผู้ใหญ่เรียบร้อย เราก็เริ่มฝอย..คุยเลย ตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้างคะ “สดชื่นดีค่ะปกติดี ช่วงที่ไม่สบายอยู่ รพ. ก็พยายามคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไร หมอก็ดี๊ดีให้กำลังใจตลอด ไม่เป็นไรแล้ว ๆ พยาบาลก็ดูแลดีมาก ซึ่งทำให้เราโล่งขึ้นดีขึ้น แล้วคนที่ดูแลเราดีมาก ๆ พ่อ (รอง เค้ามูลคดี) พ่อให้แม่จนแบบเหมือนพระเลย คือสิ่งที่นึกไม่ถึงว่าพ่อจะให้ขนาดนี้ เช่นดูแลทุกอย่าง การเงินการงาน คือดูแลทุกอย่าง เขารู้ว่าแม่ทำอะไรไม่ได้ พ่อ เป็นพระเลย เขาคือสุดยอดของมนุษย์ ปกติพ่อเขาเป็นคนสนุกสนานสไตล์ รอง เค้ามูลคดี แต่พอแม่ป่วยนึกไม่ถึงว่าพ่อจะดูแลขนาดนี้ ป่วยคราวนี้ถือว่าหนักที่สุดในชีวิตของแม่ รู้เช่นเห็นชาติก็ตอนที่แม่ไม่สบายนี่แหละ”

“พ่อดูแลแม่ดีมากจนแม่ไม่มีสิทธิพูดอะไรอีกแล้ว แม่ไม่มีสิทธิผยองอีกแล้ว ที่ผ่านมาแม่ผยองแม่ชอบอาละวาด มาตอนนี้แม่หมดสิทธิแล้ว ถ้าแม่ทำถือว่าแม่เลว (น้ำตาคลอ) คิดดูซิ..ถ้าเขาไม่ดูแลถ้าเขาทิ้งแม่ แล้วแม่จะทำยังไง มนุษย์นะแม่รู้จิตมนุษย์ พ่อคือพระองค์หนึ่งที่มาเกิด แล้วเขาไม่ใช่เฉพาะแม่ กับคนอื่นถ้าเขามีเขาก็ช่วยเหลือ นี่แม่ก็ภาวนาขอให้เขามีงาน เพราะเขาต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัว ก็หนักนะ ที่ผ่านมาเราโดนโกงไปเยอะ”

จากนั้นเราก็หันไปคุยกับ “พ่อรอง” ที่เพิ่งกลับจากถ่ายละคร ตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ “มีความสุขหลังจากที่ทุกข์มาระยะหนึ่ง ไม่เครียด เพราะว่าทุมเขากลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมแล้ว ตอนที่เขาป่วยอยู่โรงพยาบาลเกือบ 2 เดือน พ่อนอนอยู่ข้างเตียงเขาทุกวัน พ่อถ่ายละครเสร็จกลับตี 1 มาถึงโรงพยาบาลตี 2 เช้าก็ไปทำงานต่อเป็นอย่างนี้ทุกวัน มาก็ไม่ได้นอนเดี๋ยวเขาก็เรียกจะเข้าห้องน้ำ ก็คอยให้กำลังใจเขา แม่ดีขึ้นแล้วนะเดี๋ยวก็หายแล้ว อย่างตอนนี้ก็มีหน้าที่ดูแลคอยถามเขาว่า อยากกินอะไรเราก็ไปซื้อมา พยายามหาของกินที่เขาชอบมาให้ เพราะต้องการให้เขากินเยอะๆ จะได้อ้วนท้วนเหมือนเดิม”

“พ่อรอง” มีหลักในการดูแลครอบครัวยังไง “คือเราเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นหน้าที่ที่เราปฏิเสธไม่ได้ เราต้องดูแลให้ทุกคนมีความสุขตามอัตภาพ เราจะทุกข์เราจะสุขเราจะเครียด เราจะมีปัญหาอะไร ต้องไม่ให้ทุกคนรู้ ต้องพยายามปรับตัวเองเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเราไม่เหนื่อย เราไม่เครียดเพื่อให้ทุกคนมีความสุข คนในบ้านทุกคนต้องมีความสุข กินได้นอนหลับ มันเป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว” แล้วอย่างนี้ไม่กดดันตัวเองเหรอคะ “ไม่กดดันนะ เวลาขับรถแหกปากร้องเพลง ถ้าเครียดมาก ๆ ตะโกนโวยวาย ๆ คนเดียวในรถ เมื่อก่อนขับรถเร็วมาก แต่ปัจจุบันก็เบาลงมาเยอะแล้ว เพราะอายุเรามากขึ้น แล้วคิดว่าข้างหลังยังมีคนที่รอเราอยู่อีกเยอะเหลือเกิน”

ยังมีอะไรที่รู้สึกเป็นห่วงและกังวลอีกมั้ยคะ “ก็มีนะอยากให้คุณแม่ของตัวเอง อายุ 86 ปี ที่ไม่สบาย หายดีเป็นปกติ แล้วก็ทุม ถ้าเขาสองคนกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมได้เราก็จะมีความสุข เวลานี้ห่วงทั้งแม่ห่วงทั้งเมียวุ่นไปหมด อีกอย่างหนึ่งก็คือขอให้ทุกคนในครอบครัว รักใคร่กัน มีความสุขตามอัตภาพที่เราควรจะมี เราห่วงอยู่แค่นี้แหละ”

ที่เขาพูดกันว่า ศิลปิน-นักแสดงในสมัยก่อน มีแต่ชื่อเสียงแต่ไม่รวย (ต่างกับนักแสดงยุคนี้..รวยม้าก..มาก) สำหรับ “พ่อรอง” เป็นยังไงคะ “รวยนะ รวยน้ำใจ คือมันต้องมีความภาคภูมิใจที่เราอยู่วงการบันเทิงมานานมาก คนเวลาเจอหน้าเรา ยกมือไหว้เรียกพ่อทุกคน เราไม่ได้บังคับให้เขาเรียก เราก็ต้องมาคิดว่าเขาเรียกเราเพราะอะไร ว่าเราทำตัวยังไง ถ้าเราทำตัวเลวทำตัวไม่ดี เขาคงไม่เรียกเราว่าพ่อ เพราะฉะนั้นก็เป็นความภูมิใจของเรา และเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวว่าเอ็งทำเลวไม่ได้นะ เอ็งต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้รุ่นลูกรุ่นหลาน”

มีอะไรจะฝากถึงคนในวงการบันเทิงบ้างมั้ยคะ “อยากให้คนในวงการบันเทิงสามัคคีกัน ไม่มีแบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่มีแบ่งค่าย อยากให้ทุกคนสามัคคีกันเหมือนสมัยก่อน เมื่อก่อนไม่มีใครช่องนั้นชั้นช่องนี้ ไม่มี ทุกคนเป็นพรรคพวกกันหมด คนนี้ไปเล่นช่องนั้นได้คนนี้ไปเล่นช่องนี้ได้ แล้วมันอยู่ด้วยการห่วงหาอาทรซึ่งกันและกัน ใครเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกคนก็จะเป็นห่วงเป็นใย ทุกข์ร้อนก็ไปดูแลช่วยเหลือกันได้ตามอัตภาพ และที่สำคัญทุกคนรู้กฎกติกามารยาท รู้เลยว่าเขานัดกี่โมง เขานัดแปดโมงมาสิบเอ็ดโมง อันนี้ก็น่าตีเหมือนกันนะ เรื่องเวลาเป็นเรื่องสำคัญ”

“เขาถามทำไมพ่อรองมาทำงานเช้าเหลือเกิน เขานัด 2 โมง โมงครึ่งมาถึงแล้ว บอกพ่ออายุมากแล้วขับรถเร็วเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ กลัวรถมันติดกลัวหลงทาง ออกจากบ้านแต่เช้ามาเรื่อย ๆ ก็ถึงก่อน แล้วบางคนมาสายจะรีบกลับอีก เขานัด 8 โมงมา 11 โมง บ่าย 3 โมงจะไปอีกแล้ว มันไม่ได้ หลาย ๆ อย่าง บางคนมาถึงเขายังไม่ถ่าย ก็บ่นอยู่นั่นแหละ จนเรารำคาญ เราก็ต้องบอกเขา เราก็ต้องเตือนเขาเมื่อไม่มีใครเตือน เราก็ต้องถือโอกาส ส.ใส่เกือกนิดนึง ก็บอกเขาเขาก็ฟัง ตอนหลังก็ดีขึ้น” เนื้อที่หมดพอดี เสียดายจัง!..จริง ๆ แล้วยังมีเรื่องคุยอีกเยอะ ล้วนให้แง่คิดดี ๆ สำหรับทุกคน เพื่อปรับใช้ในชีวิตอย่างมีคุณค่า.