Inside Dara
โบ – ณัฐชลัยย์ ยอดมนุษย์สาวเจ้าเสน่ห์

'ไฮเปอร์ ติสต์แตก แหกกฎ' นั่นคือนิยามความเป็นตัวตนของ โบ - ณัฐชลัยย์ สุขะมงคล ให้เราได้รู้จักสาวคนนี้พอเป็นน้ำจิ้ม เธอเป็นนางเอกใหม่ป้ายแดงของหนุ่มติ๊ก เจษฎาภรณ์ หลังจากใช้ชีวิตเป็นสาวครีเอทีฟอยู่ดีๆ ก็ขอปลีกตัวมาแคสต์หนังดูบ้าง แต่เผอิญดันแคสต์ผ่าน เพราะด้วยบุคลิกน่ารักดูเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญความมีเสน่ห์ ทำให้ผู้กำกับไม่ลังเลใจที่จะเลือกเธอเป็นตัวเด่นในภาพยนตร์ 'ยอดมนุษย์เงินเดือน' ทั้งที่ไม่เคยมีทักษะการแสดงมาก่อนเลย

โบเป็นนางเอกที่ทีมงานตามหาตัวมานาน เพราะบทนี้บอกเลยว่าเขียนมาเพื่อเธอแน่ๆ ราวกับถอดจากลักษณะนิสัยของเธอเองเลย โบเป็นคนตรงๆ ง่ายๆ รักอิสระ แม้จะเรียนครูมา แต่ขอตามฝันทำงานด้านครีเอทีฟ ระเบียบ กฎเกณฑ์ อาจใช้ไม่ได้กับคนนอกกรอบอย่างเธอ คำพูดคำจาดูฉลาดไม่ใช่น้อย ตอบตรงและชัดเจนทุกคำถาม ใครที่ว่าใจนักเลง หากมาเจอสาวแบบเธอคนนี้อาจต้องหลบไป

มาแคสต์นางเอกแบบขำๆ

งานประจำที่ต้องนั่งเพ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อาจทำให้สีสันชีวิตดูจืดชืดลง โบเลยมาลองแคสต์งานเติมแรงบันดาลใจใหม่ให้ชีวิตสักครั้งหนึ่ง ตามคำชวนของพี่ทีมงานกองถ่ายหนังที่รู้จักกัน แต่เธอไม่รู้เลยว่าการเข้ามาแค่คิดอยากทดลองครั้งนั้นจะเปลี่ยนชีวิต จากสาวออฟฟิศธรรมดาๆ มาเป็นนางเอกจอยักษ์ได้

“เผอิญมีพี่ที่รู้จัก เขาทำงานอยู่ในทีมยอดมนุษย์เงินเดือนนี่แหละค่ะ เหมือนกับว่าเขากำลังหาคน เราเองก็รู้จักกัน คาแร็กเตอร์เหมือนจะใกล้เคียง เขาก็เลยเรียกไปแคสต์ดู เราก็ผ่านการแคสติ้งมาปกติ

วันที่มาแคสต์เจอหลายคนเหมือนกัน จะมีน้องๆ เด็กๆ เรียนมหา'ลัย เราก็จะแก่มาก ถึงดูหน้าเรายังเด็กอยู่นะ แต่เวลากรอกฟอร์มไง เขียน 29 ปีนะ (หัวเราะ) แคสต์รอบแรก เขาชวน เราก็ไปลองดูเฉยๆ ปกติเราดูคนอื่นที่เขาแคสต์ แต่ก็ไม่เคยแคสต์เอง เลยอยากรู้ว่าเขาแคสต์กันยังไงบ้าง

แคสต์ครั้งแรก เราก็ทำเต็มที่ เขาให้เราทำอะไรก็ทำ ลองดูค่ะ เราก็พอรู้แล้วว่า ถ้าไปแคสต์ต้องทำอะไรบ้าง มีบทมาให้อ่าน มีอะไรก็ว่าไป แล้วเราผ่านรอบแรกเข้ามา เลยต้องมีการแคสต์รอบสอง แต่รอบสองก็เหมือนไม่ได้เจอคนเยอะแล้ว เบาบางลง เราก็ไม่รู้นะว่ามีคนผ่านเข้ามาเหมือนเรากี่คน แต่รอบนี้เราได้แคสต์กับพี่ติ๊กตัวจริงเลย เขาก็เล่นกับทุกคนที่ผ่านเข้ารอบมา ไม่เคยคิดเลยนะว่าจะได้เล่น เราเป็นคนคิดแค่อยากสนุก พอเขาชวนมา เราก็ตกลงไปก็ได้ อยากรู้ว่าเขาทำยังไงกัน จริงๆ เราแค่นั้นแหละ แต่พอมันผ่านเป็นรอบสองแล้ว เราก็แปลกใจนิดหน่อยว่า อ้าว!...ได้เหรอ เลยต้องลองดูสักทีนึง รอบสองเราเริ่มจริงจังขึ้น พอมีพี่ติ๊กเข้ามา ก็เริ่มเกร็งๆ นิดนึง (หัวเราะ)”

บทนี้สร้างมาเพื่อเธอ

'หวาย' สาวร่าเริง รักอิสระ ไม่ชอบตีกรอบให้ตัวเอง ซึ่งบทนี้ใกล้เคียงกับชีวิตจริงของ 'โบ' สาวที่เปี่ยมไปด้วยความฝัน ความเป็นธรรมชาติ ทำให้ตัวละครนี้มีสีสันมากขึ้นกว่าเดิม

โจ้ วิรัตน์ เฮง ผู้กำกับหนุ่มไฟแรง ได้บอกเล่าที่มาของโบ นางเอกของเรื่องว่า ตัวนางเอกก็แคสติ้งมาจากคาแร็กเตอร์เป็นหลัก เขารู้สึกว่าคาแร็กเตอร์นี้แปลกประหลาดมาก แล้วก็พยายามหาว่ามันเป็นแบบไหน มันไม่มีตัวอย่างเลยว่าเหมือนตัวละครไหนที่เคยเห็นมา พอยิ่งนึกภาพดารานักแสดงที่มีชื่อยิ่งนึกไม่ออก เขาก็เลยคิดว่างั้นลองใหม่ดีกว่า

กว่าจะหาตัวนางเอกเจอ ต้องใช้เวลานานมากๆ พอผู้กำกับมาเจอโบ ก็รู้สึกว่าเธอน่าสนใจมาก ทั้งที่บอกว่า โดยทักษะการแสดงของโบไม่ได้มากกว่าผู้มาแคสติ้งคนอื่นๆ แต่สิ่งที่ทีมงานเห็นตรงกันก็คือ ความมีเสน่ห์ ความเป็นธรรมชาติของเธอ หรือว่าบทนี้เขียนมาจากลักษณะนิสัยของเธอเลยหรือเปล่า กลายเป็นว่าผู้กำกับได้เพิ่มบทเข้าไปให้มีสีสันมากขึ้น ซึ่งนั่นมันเป็นตัวเธอจริงๆ แบบในชีวิตจริง

“บทในหนัง แสดงเป็น 'หวาย' ค่ะ หวายเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง แต่จุดเด่นของเขา คือเป็นคนที่รักอิสระมาก เพราะฉะนั้น ด้วยความที่เป็นคนรักอิสระ เลยไม่อยากทำงานออฟฟิศ ไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ เกลียดการออกคำสั่ง เหมือนมีความไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรอบขนาดนี้ ไม่ชอบความเป็นเวลาเป๊ะๆ ก็เลยทำให้ช่วงที่ผ่านมา หวายไม่เคยทำงานออฟฟิศเลย ตั้งแต่เรียนจบ

หวายเป็นคนทำงานไม่เป็นที่เป็นทาง คือทำงานไม่ติดที่ แต่งานทุกอย่างที่เขาเคยทำมาจะไม่ใช่งานที่อยู่ในออฟฟิศเลย จะเป็นแบบช่วยเพื่อนขายเสื้อผ้า ไปอยู่ไร่องุ่นกับลุง ทุกอย่างที่ทำมันมีเบื้องหลัง จริงๆ แล้วหวายเขาอยากเป็นนักวาดการ์ตูน เป็นความฝันของเขา เพียงแต่ว่าไม่ชอบอยู่ในกรอบ เลยไม่มีการวางแผน และหวายก็มีความเชื่อว่าการที่ได้เดินทางไปในที่ต่างๆ เป็นการเหมือนหาแรงบันดาลใจ เป็นคนแนวๆ นิดๆ ต้องมีแรงบันดาลใจนะ ถึงจะทำได้ ชีวิตจึงเดินไปเรื่อยๆ

จนวันหนึ่ง โดนแม่บังคับให้มาทำงานในออฟฟิศ เพราะอยากให้ลูกเป็นหลักเป็นแหล่ง เลยได้เข้ามาเจอกับปั้น นั่นก็คือ 'พี่ติ๊ก' หนุ่มเป๊ะแมน บุคลิกเราไม่ตรงกันเลย ปั้นก็ตึงไป ส่วนหวายก็หย่อนไป

บทหวายกับตัวเอง มีบุคลิกที่ตรงกันบางอย่างในความสนุกสนาน ร่าเริง วาดรูปการ์ตูน อะไรก็ว่าไป แต่ที่มันไม่ตรงเลย คือการเป็นคนไม่วางแผนเท่าไหร่ และหวายมีความเป็นเด็กกว่าเราในชีวิตจริงนิดหน่อย ในบทหวายอายุประมาณ 25 ปี แต่คือเรา 29 แล้ว พอเวลาเราเล่นก็ต้องนึกย้อนไปสมัยเราเด็กๆ หน่อย มันมีความใกล้เคียงตัวเราเหมือนกันนะ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ประมาณ 70% เพราะที่เหลือชีวิตจริงเราก็มีการวางแผนบ้างนะ”

ครั้งแรกกับพี่ติ๊ก

แคสต์งานครั้งแรก แสดงหนังครั้งแรก แถมประกบคู่กับพระเอกฮอตอย่าง ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ เป็นครั้งแรกอีกด้วย เชื่อเลยว่าสาวๆ ต้องพากันอิจฉาเธอ ที่เปิดตัวครั้งแรกก็ผ่านฉลุย คนมันจะเกิด ต่อให้เอาอะไรมาฉุดก็ไม่อยู่แล้วทีนี้

“ครั้งแรกเรารู้สึกตื่นเต้นนะ คิดว่ามันยาก แต่ตอนที่แคสต์ผ่าน ได้ไปเรียนการแสดงก่อนนะ มีเวิร์กชอปหลายครั้ง เขาก็จะปูพื้นฐาน ทำให้เรารู้ว่ามันก็มีความยากในเรื่องของการแสดงมากกว่าที่เราคิด ตอนแรกก็คิดว่ายากแล้ว ไกลตัวเรามาก แต่พอได้มาเวิร์กชอปจริงๆ มันมีเหตุการณ์ให้เล่น เราต้องรู้สึกจริงๆ ต้องมีแอ็กชัน มีจินตนาการ ก็ค่อนข้างยากมาก

แม้บางฉากที่มันง่ายๆ ของคนอื่น แต่มันยากสำหรับเรา อย่างแค่ฉากอยู่ด้วยกันหลายๆ คน แล้วเราต้องพูดโพล่งออกมา แค่นี้ก็ยากแล้ว มันเป็นเรื่องของจังหวะด้วย ครูบอกว่าอย่าพยายามท่องบทให้มันเป๊ะ บทมันก็ต้องจำอยู่แล้ว เพียงแต่อย่าจดจ่อมาก ถึงคิวเรา เราพูด แต่เราต้องดูบริบทโดยรอบ ว่าฟิลล์ประมาณไหน เราต้องรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ รอจังหวะแล้วพูดออกไป

การแสดงเป็นสิ่งใหม่ที่เรายังไม่เคยทำ เลยยังงงๆ อยู่ แต่ก็ดีใจที่มีโอกาส ถ้าเราไม่ได้ตอบรับไปวันนั้น “ก็ได้พี่” ตอนนี้ก็คงพลาดไป พอมาลองเล่นก็สนุกดีนะ การเล่นหนัง”

พอเริ่มแสดงหนังจริงๆ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับครั้งแรกของคนที่ยังไม่เคยทำมาก่อน แต่เธอก็ขอสู้ไม่ถอย แม้ผู้กำกับจะสั่งเทกแล้วเทกอีก เทกจนเธอเกรงใจเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะพระเอกคิวยาวเป็นหางว่าวอย่าง 'ติ๊ก' แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพของเขา ก็ช่วยทำให้เธอทำงานผ่านไปได้ด้วยดี

“บ่อยเหมือนกันที่เล่นออกมาแล้วมันไม่มีความเป็นธรรมชาติ ก็ต้องคัต แต่ไม่เป็น 100 เทกนะ การถ่ายหนังมันมีทั้งมุมกว้าง มุมแคบ เลยต้องถ่ายซ้ำๆ บางทีต้องมโนภาพให้ได้ว่าตอนนี้มีอะไรอยู่ บางฉากคุยกับพี่ติ๊กอยู่ แต่จริงๆ ไม่มีพี่ติ๊กอยู่ตรงนั้นแล้ว มันก็ยากเหมือนกัน แล้วตาจะไปโฟกัสตรงไหน แต่พี่ติ๊กจะน่ารักมาก เขาไปยืนต่อบทให้หลังกล้อง

ตอนแรกที่เจอพี่ติ๊ก เกร็งค่ะ ประสบการณ์เขาก็เยอะ พระเอกแถวหน้า ส่วนเราก็โนเนม ไม่เคยเล่นอะไรมาก่อน กลัวเล่นแล้วเขาจะเสียเวลา แต่ด้วยความเป็นพี่ติ๊กด้วยมั้ง พี่เขาจะเป็นกันเองมาก เขาทำให้เราผ่อนคลายได้ เพราะเขาไม่เคยแสดงอาการหงุดหงิด เทกบ่อย แล้วต้องมารอเรา เขามีความรับผิดชอบในการเป็นนักแสดงได้ดี ทำให้คนร่วมงานทำงานได้ง่าย ไม่ใช่คนเรื่องเยอะ

ถามว่าเข้าฉากกับพี่ติ๊กเขินไหมเหรอ เขินบ้าง เราแสดงเป็นผู้ช่วยที่ตัวพระเอกตามหาอยู่ แต่จริงๆ แล้วเขาอยากได้คนที่ทำงานเก่ง แต่หวายไม่ได้อยากทำ ทำงานไปงั้นๆ หวายกะทำ 3 เดือนแล้วจะลาออก เหมือนทำตามใจแม่เฉยๆ เป้าหมายของหวายเลยไม่คิดถึงเรื่องโบนัสเหมือนคนอื่นๆ ในออฟฟิศ”

ในเรื่องเป้าหมายของทุกคนในออฟฟิศ คืออยากได้โบนัสตอนสิ้นปีกัน แต่เงื่อนไขของการได้รับโบนัสครั้งนี้ คือการทำโปรเจกต์ด่วน ให้เสร็จภายใน 3 เดือน ก่อนสิ้นปี มันเลยเป็นเหมือนการชี้เป็นชี้ตายว่าจะได้โบนัสกันไหม จึงต้องร่วมหัวจมท้ายกันเพื่อให้โปรเจกต์นี้ลุล่วง ซึ่งระหว่างทางจะมีเรื่องราวของแต่ละเส้นเรื่อง แต่ละคนก็มีความฝัน ความต้องการที่อยู่ในใจ และสุดท้ายแล้ว ใช่โบนัสจริงๆ หรือเปล่าที่คนพวกนี้ต้องการ

“หนังเรื่องนี้จะมีครบรสเลย มันไม่ใช่แค่พระเอกนางเอกเป็นตัวเดินเรื่อง คือมันมีหลายๆ ตัวแทนของคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีความน่าสนใจของมันเอง ถ้ามาดูก็จะเห็นตัวเองและอาจจะได้คำตอบดีๆ กลับไป แล้วก็คงจะได้อิ่มไปกับมันค่ะ”

มีหลายเรื่องที่เธอประทับใจในกองถ่าย นอกจากพี่ติ๊ก พระเอกหนุ่มอัธยาศัยดีแล้ว ทุกคนในกองถ่ายก็ทำเอาสาวโบเป็นปลื้มสุดๆ “พี่ทุกคนมีความเอื้ออาทรกันดี เราก็ไม่รู้หรอกว่ากองอื่นเขาเป็นยังไง แต่รู้ว่าทำงานกองนี้สนุกดี ทุกคนดูเป็นเพื่อนกัน เพราะนอกจากนักแสดงที่เห็นในโปสเตอร์ ก็จะมีส่วนอื่นๆ อย่างพี่ต้นหอม เขาจะมีแก๊งผู้หญิงของเขา ไปกองเหมือนไปเล่น สนุกสนานดี และมีฉากหนึ่งน่ารักดี เป็นการเล่นนอกกอง วันนั้นพี่ติ๊ก หรือพี่โจ้ ผู้กำกับไม่รู้ เขาร้องเพลงขึ้นมาระหว่างรอจัดไฟ เพลงคนล่าฝัน ของ 'แอ๊ด คาราบาว' มั้ง พอคนนึงร้องขึ้นมาประโยคหนึ่ง อีกคนก็ร้องต่อ ร้องต่อกันจนหมด น่ารักดี บรรยากาศโอเค ตัวผู้กำกับเขาก็ไม่ทำให้นักแสดงเกร็งเลย”

มนุษย์เงินเดือนอย่างเราต้องอดทน

ในฐานะที่โบก็เป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง บทบาทในเรื่องจึงไม่ต่างจากชีวิตจริงเท่าไหร่นัก ภาพคนทำงานออฟฟิศที่ใช้เงินมือเติบตอนต้นเดือน แต่พอไม่ถึงสิ้นเดือนดีก็กระเป๋าแฟบ นั่งเมาท์กับเพื่อนจนเลิกงาน พลีกายถวายชีวิตให้เจ้านาย ถึงแม้ตายก็ยอม... สารพัดเรื่องราวที่หนุ่มสาวออฟฟิศต้องเจอทุกวันแบบซ้ำๆ จำเจ แล้วในมุมมองของโบ บรรยากาศออฟฟิศที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างไรบ้าง

“เราก็เป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ถ้าจะมองภาพของมนุษย์เงินเดือนในชีวิตจริง คิดว่าเป็นอาชีพที่มีความรับผิดชอบสูง เพราะว่าเขาต้องทำงานเป็นเวลา รู้สึกว่าเป็นอะไรที่อยู่ในกรอบค่อนข้างมาก โดยส่วนใหญ่นะคะ ค่อนข้างเสียสละนิดนึงด้วยแหละ การที่เป็นพนักงานออฟฟิศ เหมือนเราเป็นหนึ่งในองค์กร ต้องเสียสละที่ต้องทำงานเป็นทีม มีผลกระทบซึ่งกันและกัน เขาจึงต้องเสียสละประมาณหนึ่งเลยทีเดียว

แต่ชีวิตจริงออฟฟิศเรา มันไม่เหมือนออฟฟิศแบบนี้ ออฟฟิศที่เราเจอตั้งแต่เรียนจบ ครีเอทีฟมันค่อนข้างสนุกสนานอยู่แล้ว มีเพื่อนเล่น แต่ต้องรับผิดชอบงานนะคะ แต่ที่ทำงานอื่นอย่างของเพื่อนเรา ออฟฟิศเขามันจะเป็นระบบระเบียบกว่านี้เยอะ เราก็ต้องจินตนาการตามที่เพื่อนพูดให้ฟัง แล้วปรับเอามาแสดงหนังได้ด้วย

งานประจำตอนนี้ที่ทำอยู่ก็เป็นแบบที่เราชอบนะ เพราะจริงๆ เราเรียนจบจาก ร.ร.มัธยมสาธิตปทุมวัน จบมหาวิทยาลัย จากจุฬาฯ ป.ตรีเรียนครุศาสตร์ ธุรกิจศึกษา ส่วน ป.โท เรียนนิเทศฯ เอกโฆษณา ทั้งสองอย่างเรียนไม่ใกล้เคียงกันเลย ธุรกิจศึกษาจะเรียนคล้ายๆ บัญชีค่ะ แต่ที่มาเรียนนิเทศฯ เพราะตอนจบ ป.ตรี เราไม่ได้อยากเป็นครู เราสนใจด้านโฆษณา เลยมาสมัครออฟฟิศโฆษณา แล้วเราก็ทำมาเรื่อยๆ จนจะต่อโท เลยคิดต่อโฆษณาเลย

ส่วนการใช้เงินเดือนชนเดือนของมนุษย์เงินเดือนนั้นเป็นเรื่องปกติ (หัวเราะ) เราก็เป็นเหมือนกัน เมื่อถึงจุดจุด หนึ่ง เราจะมีการวางแผนกันเอง ในวัยที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เพราะที่ผ่านมาชีวิตการเงินก็ค่อนข้างเละเทะอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเราเป็นมนุษย์เงินเดือนเราจะเรียนรู้วิธีการเอาตัวรอดได้”

เราทำงานประจำด้วยแล้วเอาเวลาไหนมาทำงานบันเทิง? “ก็ไม่มีอะไรมาก เราก็กางตารางให้เขาดู ว่าจะมีถ่ายหนังวันไหนบ้าง ซึ่งมันโชคดีตรงที่ไม่ได้ถ่ายทีเดียว 5 วันติด อย่างมากก็แค่ 3 วัน ตอนแรกก็ว่าจะลา แต่พอเราดูจากตารางแล้ว หัวหน้าบอกวันที่มีถ่ายหนังก็ไปถ่าย ส่วนวันไหนที่ไม่มีก็มาทำงาน ก็เลยใช้ชีวิตแบบนั้นไป

มาทำงานกับไปถ่ายหนัง พอกันเลยนะ มันเหนื่อยตรงที่ถ้าเราทำงานออฟฟิศ วันนี้วันนั้นต้องมีประชุม ต้องมีส่งงาน เราต้องใช้วิธี โทร.คุยกับคู่เรา เพราะโดยตำแหน่งเราทำงานเป็นคู่ รับผิดชอบคนละอย่าง แต่ต้องทำร่วมกัน เราเป็นครีเอทีฟ ก๊อบปี้ไรเตอร์ ซึ่งต้องคู่กับ อาร์ต ไดเร็กเตอร์ คือเหมือนกับเรา manage ทีมเราให้ดี ก็จะไม่มีปัญหา แต่บางทีก็มีบ้างที่ต้องฝากเขาจริงๆ อย่างบางทีมีอัดเสียง ก๊อบปี้ไรเตอร์ต้องไปฟัง เราไปไม่ได้ก็ต้องให้นายไปแทน (หัวเราะ)”

ชีวิตสนุกๆ ของคนรักอิสระ

เล่นกีตาร์, ตีกลอง, แบดมินตัน, ว่ายน้ำ, ท่องเที่ยว, เล่นดนตรี, ขี่จักรยาน, ทำขนม และ วาดภาพ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นกิจกรรมที่เธอทำอยู่ประจำ ถ้ามีเวลาว่างมากพอ แต่ช่วงที่ผ่านมาต้องเข้าคิวจับงานแสดงก็เลยลดภารกิจลงไป แต่ถึงอย่างไรสาวไฮเปอร์อย่างเธอ อยู่นิ่งๆ ไม่ได้นาน ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องขยับกาย โยกย้ายหาอะไรทำแก้เซ็งอยู่ดี

“ยามว่าง ถ้าว่างเยอะๆ ก็ไปต่างจังหวัด ถ้าว่างน้อยเสาร์ อาทิตย์ ก็จะอยู่แค่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ ไปดูหนัง กินข้าว ปั่นจักรยาน Mountain bike หาอะไรทำตลอด แต่ตอนกำลังถ่ายหนัง เขาไม่ให้ขี่ เพราะกลัวล้ม ส่วนใหญ่จะขี่เล่นแถวๆ บ้าน ออกถนนบ้าง แต่ก็ไม่ได้บ่อย

ส่วนงานอดิเรกอื่นๆ ทั่วๆ ไปเลยค่ะ มีเล่นกีตาร์ ตีกลอง ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นเขา แม้ว่าผู้หญิงตีกลองจะไม่ค่อยมี แต่มันก็ไม่ได้ออกแนวแปลก เราชอบทางด้านดนตรี อย่างตีกลองก็ไปเรียนมาหลายปี แต่มาหยุดเรียนตอนช่วงถ่ายหนังนี่แหละ เดี๋ยวมันต้องลาบ่อย เพราะปกติเรียนตีกลองอาทิตย์ละครั้ง จึงต้องขอเขาลาก่อนจบจนถึงบัดนี้ (หัวเราะ)”

“นิสัยเราค่อนข้างอิสระ แต่ไม่ถึงขั้นหวายนะ ที่ออกไปทำงานนั่น นู่น นี่ตลอดเลย แบบไร้การวางแผน แต่ของเราวางแผนตลอดนะ ส่วนใหญ่นิสัยออกจะแมนๆ ไม่ค่อยหวานแหวว ไม่เป็นคนเรื่องมาก ชอบแบบง่ายๆ ไม่ขี้จุกจิก แต่บางทีก็มีมุมปัญญาอ่อนบ้าง บ้าๆ บอๆ อย่างเวลาอยู่ออฟฟิศ เอาปากกามาเขียนเปลือกตาเป็นรูปลูกตา แล้วถ่ายรูปเล่นกัน ค่อนข้างสนุกสนานกันไป

สมัยเด็กก็เป็นแบบนี้เลย นิสัยไม่ต่างกัน ถามว่าดื้อไหม ออกจะเงียบๆ มากกว่า ไม่ค่อยแสดงออกมาก พอโตมาก็มีบ้าง เถียงพ่อ เถียงแม่ ถ้าสมมติเรารู้สึกว่ามันมีสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราก็จะดุขึ้นมา บางคนเขาอาจจะคิดว่าเราคงไม่มีมุมที่จะลุกขึ้นไปด่าใครได้ หรือจะแรงได้ แต่ถ้าเขาทำเราก่อน เราก็ปรี๊ดกลับได้เหมือนกัน ดูเป็นคนรุนแรง (หัวเราะ) แค่เป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดเท่านั้นเอง

เราเป็นตัวของตัวเองสูง อย่างมาเล่นหนังเรื่องนี้ เราบอกให้พ่อแม่เขารู้ตอนถ่ายหนังเสร็จแล้ว บอกแค่พี่ชาย คือที่ไม่บอกพ่อกับแม่ก่อน ไม่ใช่อยากปกปิดอะไรนะ คิดแค่อยากสนุกดี ให้เขาเซอร์ไพรส์เลยดีกว่า พอเขารู้ก็งงๆ เพราะเราไม่มีแววจะไปทางการแสดงเลย แต่เขาก็ดีใจกับเราที่ทำสำเร็จได้”

รักกันน้อยๆ แต่ขอนานๆ

“นิยามความรักของตัวโบเอง มันไม่มีอะไรมากเลย แค่รู้สึกซื่อสัตย์และเข้าใจ ทุกครั้งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ” โบอธิบายมุมมองความรักของเธอที่ผ่านมา และตอนนี้ก็ยังคงอยู่อย่างนั้น ฟังจากคำพูดที่ตรงไปตรงมา คงเหมือนกับความรักที่ซื่อสัตย์ของเธอ หรืออย่างที่มีคนเคยพูดกันไว้ว่าคนเรามีความคิดอย่างไร การกระทำก็ออกมาอย่างนั้น และความรักก็เช่นเดียวกัน เรารู้สึกอย่างไร การกระทำก็บอกได้ คงไม่สามารถโกหกได้ทุกครั้งไป

“โดยส่วนตัวจริงๆ แล้วเรามีแฟน เราไม่ต้องมีอะไรมากมาย แค่ไม่โกหก มีอะไรก็บอกกัน เพราะการที่เราคุยกัน มันทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น แต่ถ้าเราไม่บอก ไม่พูดสิ่งที่เราคิดออกไป บางทีมันทำให้เกิดการเข้าใจผิด หรืออาจคิดไปเอง แล้วไปแปลความหมายเป็นอย่างอื่น

แฟนที่คบกันตอนนี้ก็ดีนะคะ เราเป็นคนไม่มีสเปก แค่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เขาไม่ได้มาบีบบังคับให้เราเปลี่ยนแปลงอะไร แต่บางอย่างเราก็เปลี่ยนเอง เพื่อให้คนสองคนเข้ากันได้ เหมือนทุกอย่างมันเป็นไปแบบธรรมชาติ เราไม่ได้พยายามมากเป็นพิเศษจนเกินพอดี จนไม่เป็นตัวเรา เพราะเราใช้เวลาศึกษากันเป็นปีก่อนที่จะเป็นแฟนกัน เราเริ่มคบกันจากที่เป็นคนรู้จักกัน เราเห็นตัวตนของกันก่อนที่จะตกลงเป็นแฟนกัน พอเป็นแฟนกันแล้ว ก็ไม่อยากให้มันหวือหวาเกินไป อยากให้ไปเรื่อยๆ แบบหวานน้อยๆ แต่ขอนานๆ ดีกว่า

ขอไม่เปิดเผยชื่อแฟนนะ ตอบเหมือนดารา (หัวเราะ) แต่ไม่ได้คิดว่าเป็นดารานะ เรายังใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แค่คิดว่าสิ่งนี้เป็นโอกาสในการทำงานอย่างหนึ่ง เป็นโอกาสดีที่เราเข้ามา แต่ยังไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นดาราเลย เพราะไม่รู้ว่างานแสดงต่อไปจะยังมีโอกาสแบบนี้อีกหรือเปล่า ถ้าผู้ใหญ่ให้โอกาสอีกครั้งก็ดีใจนะคะ แต่ก็ต้องดูอีกว่าเราทำอะไร แสดงอะไร หลังจากนี้ต้องดูอีกทีว่าชีวิตจะเป็นไปทางไหน แต่ตอนนี้ยังตอบไม่ได้เลย”


ประวัติส่วนตัว ชื่อ-นามสกุล : ณัฐชลัยย์ สุขะมงคล (โบ)
อายุ : 29 ปี
ส่วนสูง-น้ำหนัก : 158 ซม./ 46กก.
การศึกษา :
ปริญญาตรี ครุศาสตรบัณฑิต เอกธุรกิจศึกษา เกียรตินิยมอันดับ 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปริญญาโท นิเทศศาสตรบัณฑิต เอกโฆษณา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ความสามารถพิเศษ : เล่นกีตาร์, ตีกลอง
กีฬาที่ชอบ : แบดมินตัน, ว่ายน้ำ
งานอดิเรก : ท่องเที่ยว, เล่นดนตรี, ขี่จักรยาน Mountain bike, ทำขนม และ วาดภาพ
สไตล์การแต่งตัว : สบายๆ เซอร์ๆ
สัตว์เลี้ยงตัวโปรด : สุนัขพันธุ์คอร์กี้ (บิ้งกี้+ไบก้อน)
คติประจำใจ : สมรรถภาพในการปรับตัว คือความสำเร็จในชีวิต
ประวัติการทำงาน :
เริ่มงานที่บริษัท M&C Saatchi ในตำแหน่ง account coordinator และกลายมาเป็น copywriter ในปีต่อมา รวม 3 ปี
บริษัท TBWA\Thailand ในตำแหน่ง copywriter จากปี 2551 จนถึงปัจจุบัน
รางวัลจากการทำงาน :
ได้รับตำแหน่ง Book Fair Ambassador จากการทำงานในสัปดาห์หนังสือนานาชาติ (2547)
ชนะการคัดเลือกโครงการ Young Lotus ของรายการประกวด AdFest เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันกับ Young creative จากประเทศอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิก (2553)
ผลงานที่ผ่านมา : เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Uniqlooks ของ Uniqlo ประเทศไทย
ผลงานล่าสุด : ภาพยนตร์เรื่อง ยอดมนุษย์เงินเดือน (2555)